มือล้วงกระเป๋า ขาก้าวเข้าร้านหนังสือ บรรยากาศที่ผมได้คือกลิ่นความอบอวลอึมครึม แยกขาดกันกับความวุ่นวายของผู้คนด้านนอกอย่างชัดเจน ภายในร้านเต็มไปด้วยการซ้อนทับของอากาศที่หนาแน่น . กลิ่นชีวิตที่ถูกกลั่นกรองอย่างเข้มข้น ถูกรีดจนแบนอัดทับซ้อนเป็นเล่มตามเนื้อหา จำแนกประเภท แบ่งชั้นวรรณะ ต่างส่งเสียงเพรียกเรียกหาผ่านหน้าตาสวยงามของปกที่ขับสีกระทบแสงเด่น ดึงดูดให้ผมเข้าไปจดจ้อง สังเกต ลูบสัมผัส บ้างเย้ายวลให้พลิกเปิดเนื้อใน อ่านคำนิยม เชยชมเนื้อหาบางตอน ทำให้ผมนึกไปถึงมนุษย์อีกครั้ง . มนุษย์ที่มากหน้าหลายตาในโลกฟกช้ำใบนี้ ที่ต่างขับเปล่งความเป็นตัวตนเข้าแข่งขัน ประชัน เรียกร้องความสนใจใคร่รู้ กู่ก้อง ให้เป็นที่จ้องมองของผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง บ้างเงียบขรึม บ้างหัวเราะร่า บ้างน้ำตาซึม เหล่านี้ล้วนแต่อยากให้ผู้ใดสักคน เดินทอดเงาผ่านมา ยื่นมือดึงกายขึ้น นำพาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งเสมอ . "เรามาที่โลกนี้เพื่อพบกันและกัน ตัวเราเองไม่รู้มาก่อน แต่นั่นคือจุดประสงค์ที่เรามาที่นี่"(1Q84 : มูราคามิ) . วลีลอยขึ้นมาในอากาศ ราวกับหิ่งห้อยที่ล่องลอยผ่านมาในความมืด แล้วผลิแสงต่อหน้า ทำเอาสำนึกสะดุด เบี่ยงสายตาจ้องมองไปที่ชั้นหนังสือ พินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เรามักจะเดินไปหาผู้คนที่เราต้องการ เลือกใครคนใดคนหนึ่ง จากใบหน้า ท่าทาง คำพูดจาเชิญชวน . เช่นเดียวกัน หนังสือก็มักถูกผลิตมาเพื่อบางคน คนที่ต้องการมัน . เราต่างต้องการกันและกัน เพื่อเชื่อมโยง ต่อยอด ผลักดัน นำพาเราจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง . ... ผมหยิบหนังสือขนาดเหมาะมือมาเล่มนึง เปิดอ่าน เรียนรู้ เพื่อเตรียมนำไปทดแทนเล่มที่ผมอ่านใกล้จะจบ เล่มที่ผมหยุดความสัมพันธ์ไว้ก่อน . เล่มที่ผมรอให้ผมทำใจได้และพร้อมที่จะจากลามัน . เมื่อได้ที่ถูกใจ ผมเลือกมา มือถือเดินไปที่จัดจำหน่าย จ่ายราคาค่างวด . ยังไงก็คงต้องถึงเวลา ที่ผมต้องอ่านเล่มต่อไป อยู่ดี #หนังสือ