เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sleeveless Loverainbowflick17☂️
Michael Dillon ข้ามศาสนา ข้ามน้ำข้ามทะเล และข้ามเพศ
  • ลอบซานฟ์ ชิวก (Lobzanf Jivaha) นักบวชผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาศาสนาและเขียนหนังสือล้มป่วยหนักและจากไปในปี 1962 เถ้าถ่านชีวิตกระจัดกระจายในเทือกเขาหิมาลัย  อัตชีวประวัติที่เขาพิมพ์*เอาไว้เกือบจะมอดไปด้วยเช่นกัน: หลังจากที่เสียชีวิต พี่ชายของเขาติดต่อขอต้นฉบับ
    ชีวประวัติเพื่อจะเอาไปโยนลงเตาผิงที่บ้าน แต่ผู้จัดการงานเขียนของเขาอ้างสิทธิ์และทวงคืนงานชิ้นนั้นเอาไว้ได้ทัน (Kenneddy, 2007)

    งานที่เกือบจะถูกเผาไปแล้วชิ้นนี้เปิดเผยเรื่องราวของไมเคิล ดิลลอน (Michael Dillion) ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เกือบ 50 ปี

    *ใช้เครื่องพิมพ์ดีด 


    Before Michael Dillion 

    โรเบิร์ต ดิลลอน (Robert Arthue Dillon) ทายาทบารอเน็ตแห่งลิสมัลเลน (Lismullen) และ ลอรา แมคคลิเวอร์ (Laura Maud McCliver) มีลูกชายหนึ่งคน และลูกสาวหนึ่งคน ลูกสาวซึ่งเป็นลูกคนเล็กเกิดในปี 1915 หลังจากลอราให้กำเนิดลูกสาวไม่นาน เธอก็เสียชีวิตด้วยภาวะติดเชื้อ (sepsis) ชื่อของลูกสาวจึงมาจากชื่อแม่ โดยมีชื่อเต็มว่า ลอรา มอด ดิลลอน (Laura Maud Dillon)

    โรเบิร์ตส่งลูกทั้งสองคนไปอยู่กับป้า และไม่นานต่อมาในปี 1925 โรเบิร์ต ดิลลอน เสียชีวิต 

    ลอราเข้าเรียนในโรงเรียนหญิงล้วน และต่อมาก็เข้าเรียนที่วิทยาลัยเซนต์แอนด์ของออกซ์ฟอร์ด (St Anne’s College, Oxford) ชนะแข่งพายเรือ (rowing blue)ในทีมผู้หญิง และเรียนจบในปี 1938 


    Girls will be boys


    Laura Dillon,at age 16 in her hometown of Folkestone, England © Liz Hodgkinsons / ภาพจาก tricycle 

    ลอรารู้สึกสบายใจกับเสื้อผ้าผู้ชาย และสะดวกใจจะใช้ชีวิตแบบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมาเป็นเวลานานแล้ว 

    ลอรารับการรักษากับแพทย์ชื่อ จอร์จ ฟอสส์ (Dr. George Foss) แพทย์ที่กำลังศึกษาทดลองใช้ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนเพื่อรักษาอาการเลือดออกมากผิดปกติในระหว่างมีประจำเดือน (excessive menstrual bleeding)ขณะนั้นความเข้าใจเรื่องฮอร์โมนกับเพศยังไม่ลึกซึ้งมาก ฟอสส์ทดลองจ่ายยาเทสโทสเตอโรนให้ แต่กำชับให้ลอร่าปรึกษาจิตแพทย์เสียก่อน 

    ภายหลังจิตแพทย์ที่ว่าก็เอาเรื่องไปคุยต่อว่าลอราอยากเป็นผู้ชาย และเรื่องก็ส่งต่อกันไปทั่วเมือง

    ลอราหนีไปบริสโตลและเข้าทำงานที่อู่ซ่อมรถ ฮอร์โมนที่กินอยู่ใช้ได้ผลถึงขนาดที่ผู้จัดการอู่*ต้องบอกให้พนักงานคนอื่น ๆ เรียกลอราด้วยคำนำหน้าว่า 'เขา' (he) เพื่อที่ลูกค้าที่เข้ามาจะได้ไม่สับสน ลอราได้ทำงานตำแหน่งสูงขึ้น อย่างเช่นเป็นคนขับรถบรรทุกพ่วง และพ่วงด้วยตำแหน่งพนักงานเตือนอัคคีภัย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง**

    *อาจแปลว่าผู้คุมอู่ เจ้าของอู่ก็ได้
    ** ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษโดนระเบิดจากเยอรมัน ไมเคิลมีหน้าที่สังเกตการณ์เพื่อจะเตือนให้หนีเมื่อมีไฟไหม้

  • Michael Dillion 

    ลอรามีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ส่งผลให้วูบไปและมีอาการบาดเจ็บทางศรีษะถึงสองครั้ง ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้น ลอราได้รู้จักกับแพทย์ที่ให้ความสนใจด้านศัลยกรรมตกแต่ง(ซึ่งสมัยนั้นมีไม่มากด้วย) ศัลแพทย์ตกแต่งคนนี้ช่วยทำการผ่าตัดเอาเต้านมออกออกให้ลอราในปี 1942 และยังเขียนใบรับรองแพทย์เพื่อจะให้เขาสามารถเปลี่ยนสูติบัตรใด้ด้วย

    ในปี 1944 ลอราจึงแก้ไขสูติบัตร เปลี่ยนจาก ลูกสาว เป็นลูกชาย จาก ลอรา มอด ดิลลอน เป็น ลอเรนซ์ ไมเคิล ดิลลอน  พี่ชายของลอรารู้เรื่องแล้วตกใจมากถึงกับตัดพี่ตัดน้องไปเลย (ต่อจากนี้จะเรียกลอราว่าไมเคิล)

    นอกจากจะผ่าตัดเต้านมให้แล้ว ศัลยแพทย์ตกแต่งคนนั้นยังแนะนำให้ไมเคิลรู้จักกับแพทย์เพื่อนของเขาอย่าง ฮาโรลด์ กิลลีส์* (Harold Gillies) ศัลยแพทย์ตกแต่งรุ่นบุกเบิก ที่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะ บิดาแห่งศัลยกรรมตกแต่งสมัยใหม่

    *และจริง ๆ เชี่ยวชาญโสตศอนาสิกวิทยา 
    ก่อนหน้านี้กิลลีส์เคยผ่าตัดซ่อมอวัยวะเพศชายให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บและเคยผ่าตัดอวัยวะเพศให้คนที่มีอวัยวะเพศสองเพศมาแล้ว กิลลีส์ยินดีที่จะผ่าตัดสร้างอวัยวะเพศชาย (Phalloplasty) ให้กับไมเคิล แต่ยังไม่สามารถทำในช่วงนั้นได้ เพราะเป็นช่วงที่ยังอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขายังคงวุ่นวายอยู่กับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก


    ภาพจาก http://leopoldest.blogspot.com/2011/02/michael-dillon-al-nacer-le-llamaron.html 

    ระหว่างนั้นไมเคิลจึงสมัครเข้าเรียนโรงเรียนแพทย์ที่วิทยาลัย ในดับลิน แน่นอนว่าสมัครด้วยชื่อ ไมเคิล ดิลลอน อดีตอาจารย์สอนพิเศษของไมเคิลพยายามโน้มน้าวนายทะเบียนออกซ์ฟอร์ดให้เปลี่ยนข้อมูลในใบทรานสคริปต์ของเขาจากวิทยาลัยเซนต์แอนที่เป็นวิทยาลัยหญิงไปเป็นวิทยาลัยชายล้วนบราซีโนส ( Brasenose)  เขาเข้าไปเป็นนักพายเรือที่โดดเด่นเหมือนครั้งยังเป็นเด็ก เพียงแต่ตอนนี้เขาอยู่ในทีมผู้ชายแล้ว 

    ระหว่างปี 1946 - 1949 กิลลีย์ผ่าตัดไมเคิลอย่างน้อยก็ 13 ครั้ง ระหว่างนั้นเขาปิดบังคนอื่นด้วยการวินิจฉัยว่าไมเคิลเป็นไฮโปสปาเดีย (hypospadias) หรือรูเปิดท่อปัสสาวะต่ำกว่าปกติ 

    ไมเคิลมักใช้ช่วงเวลาว่างที่พอจะมีอยู่บ้างไปเพลิดเพลินกับการเต้นรำ เขาหลีกเลี่ยงการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้หญิงเพราะกลัวว่ามันจะนำไปสู่การเปิดเผยตัวตนเอาได้ 

    ในบันทึกยังมีการกล่าวถึงสาเหตุอื่น ๆ ด้วย เช่น เขาไม่สามารถผลิตลูกให้ผู้หญิงได้ จึงไม่อยากจะให้ผู้หญิงมารู้สึกรักหรือสานสัมพันธ์ด้วย เพราะหากสุดท้ายเธออยากมีลูกขึ้นมาก็จะมีปัญหา รวมถึงการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งนี้หมายความว่าเขาอาจจำต้องบอกเรื่องราวเกี่ยวกับเพศกำเนิดในช่วงใดช่วงหนึ่งในความสัมพันธ์ด้วย 

    ในพอดคาสต์ของ Stuff you should know ตอน Michael Dillon: Trans Pioneer วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า ดูเหมือนว่าไมเคิลไม่ได้สนใจเรื่องมีคู่รักอยู่แล้วตั้งแต่ต้น เขาอยากจะได้รับความยอมรับว่าเป็นผู้ชาย และเข้าไปอยู่ในสังคมผู้ชายได้เต็มตัวมากกว่าที่จะสนใจเรื่องความรัก

    กลายเป็นว่าเขาต้องสร้างเรื่องให้ตัวเองเป็นพวกจงเกลียดจงชังผู้หญิงไปด้วย แต่ในบันทึกเขากล่าวว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ เพียงแต่พยายามป้องกันความลับของตัวเองเท่านั้น



  • ข้อความของชายข้ามเพศ ที่ส่งต่อไปถึงหญิงข้ามเพศ


    ภาพจาก http://www.doctorsreview.com/history/transgender-tipping-point/


    ในระหว่างที่ไมเคิลพอจะมีเวลาว่างบ้างช่วงเป็นพนักงานเตือนภัย เขาเริ่มเขียนหนังสือเรื่อง Self: A Study in Ethics and Endocrinology  ต่อมาได้ตีพิมพ์ในปี 1946 

    ในสองบทแรกของหนังสือเล่มนี้ ไมเคิลอธิบายเกี่ยวกับเรื่องฮอร์โมน ก่อนที่จะเปิดเผยเรื่องที่เขาต้องการจะบอกจริง ๆ ในบทที่สาม 

    ขณะนั้นยังไม่มีศัพท์คำว่า Transgender แต่เขาได้อธิบายเรื่องของผู้ชายที่เกิดมากับ "มุมมองทางจิตใจและภาวะอารมณ์ของเพศอื่น" โดยใช้ สตีเฟ่น กอร์ดอน (Stephen Gordon) ตัวละครในนวนิยายเรื่อง Well of Loneliness* เป็นตัวอย่าง ตรงนี้เราอาจจะแปลไม่ถึงเลยเข้าใจยากซักนิดนะคะ ส่วนที่เข้าใจง่ายกว่าน่าจะเป็นประโยคนี้ของเขา

    "Where the mind cannot be made to fit the body,---the body should be made to fit, approximately at any rate, to the mind."

    แปลสรุปความได้ประมาณว่า 
    เมื่อไม่อาจปรับจิตใจให้เข้ากันได้กับร่างกาย อย่างนั้นควรเปลี่ยนร่างกายให้พอดีกับจิตใจ**

    *The Well of Loneliness คือนวนิยายเลสเบี้ยนโดยนักเขียนอังกฤษ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปั 1928 และโดนแบน แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องที่ดังมาก ๆ 
    ** แปลไม่ครบ ไม่ได้แปล approximately at any rate เพราะยังไม่สามารถแปลให้สื่อความได้จริง ๆ ค่ะ กลัวใส่แล้วยิ่งงง
    Michael Dillon at about age 35, walking with his aunt © Liz Hodgkinsons
    ภาพจาก Tricycle 
    (เกิด 1915 พอ 1950 ก็อายุ 35 พอดี จึงเป็นรูปที่ตรงกันกับเหตุการณ์ที่เล่าอยู่ค่ะ)

    หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ดังมากมาย แต่ก็ส่งต่อไปถึง โรเบิร์ตต้า โคเวลล์ (ชื่อเดิม โรเบิร์ต) ผู้ซึ่งกำลังศึกษาและอยากจะเปลี่ยนร่างกายภายนอกโดยกำเนิดของตัวเองให้ตรงกับเพศจริง ๆ ของเธอ หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเธอก็ได้ลองทานฮอร์โมนเอสโทรเจนดู และตัดสินใจเดินทางไปหาไมเคิล 

    ทั้งสองเจอกันในปี 1950

    ไมเคิลชอบพอโรเบิร์ตต้าเพราะเธอมีประสบการณ์คล้ายกัน และเป็นคนที่ดูจะเข้าใจความเป็นมาของเขาได้  เขาสะดวกใจพอที่จะเล่าเรื่องราวจริง ๆ ของตัวเองให้เธอฟัง
    ไมเคิลผ่าตัดอัณฑะออกให้โรเบิร์ตต้า* และนายแพทย์กิลลีย์เป็นคนผ่าตัดช่องคลอดต่อให้เธอ

    โรเบิร์ตต้า โคเวลล์ กลายเป็นผู้หญิงอังกฤษข้ามเพศคนแรกที่ผ่าตัดแปลงเพศสำเร็จ

    *ทำอย่างผิดกฎหมายเพราะตอนนั้นไมเคิลยังไม่มีใบอนุญาติแพทย์ นอกจากนั้นการผ่าตัดอวัยวะเพศออกโดยเฉพาะของเพศชายก็ยังผิดกฤหมายอยู่ด้วย โดยถือว่าผิดฐานทำร้ายร่างกาย (Mayhem) หากไม่ได้ผ่าออกเพราะสาเหตุว่าเกิดมาพร้อมอวัยวะเพศสองเพศ(intersex) เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะช่วงนั้นต้องการทหารด้วย 


  • The truth. 



    ส่วนหนึ่งจากหนังสือ out of the ordinary, หน้า 8 

    ไมเคิลเป็นแพทย์เต็มตัวในปี 1951 ในปีเดียวกันนี้ เขาขอโรเบิร์ตต้าแต่งงานแต่เธอปฎิเสธ ความผิดหวังครั้งนั้นทำให้เขาหันหลังให้ความรักไปเลย

    ไมเคิลทำงานในโรงพยาบาลดับลิน ก่อนจะเปลี่ยนไปทำงานเป็นศัลยแพทย์บนเรือให้บริษัทจีนแห่งหนึ่งอยู่ 6 ปี 

    เรื่องเพศกำเนิดของเขาเผยขึ้นมาในปี 1958 เพราะว่าเขามีชื่อเป็นทายาทบารอนต่อจากพี่ชาย แต่โดนคู่แข่งทายาทขุดประวัติขึ้นมาว่าไม่ได้มีไมเคิล มีแต่ ลอรา เขาจำต้องโกหกว่าเขาเป็นชายโดยกำเนิด แต่มีอาการไฮโปสปาเดีย (รูเปิดท่อปัสสาวะผิดปกติ)อย่างรุนแรง ทำให้เขาต้องเข้า ๆ ออก ๆ ห้องผ่าตัดตลอดเวลา

    หนังสือพิมพ์คอลัมภ์ซุบซิบออกข่าว ลอรา ดิลลอน ผู้หญิงที่เปลี่ยนตัวเองผ่านทั้งทางกฎหมายและทางแพทย์ จนกลายเป็นไมเคิล ดิลลอน

    ข่าวของเขาเป็นที่ต้องการมาก สื่อมวลชนตามตัวเขาเจอที่บัลติมอร์ระหว่างที่เขายังคงทำงานเป็นแพทย์บนเรือ เขาต้องรับมือกับทั้งคำถาม และคำขู่ว่าจะฉีกเสื้อผ้าเขาออกเพื่อดูหลักฐานการแปลงเพศ

    เขาออกเดินทางไปอินเดียเพื่อหนีจากข่าวและความสนใจจากสื่อมวลชนต่าง ๆ


  • Buddhism


    ที่เมืองกาลิมปง ประเทศอินเดีย เขาพบกับ สังกรชิตา (Sangharakshita) ชื่อเดิม เดนนิส ลิงวูด (Dennis Lingwood) เป็นชายอังกฤษที่บวชเป็นพระ  สองสามวันหลังจากนั้นเขาเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง เปลี่ยนชื่อเป็น ชีวก*  และเริ่มศึกษาพุทธศาสนา 

    ระหว่างที่อยู่ที่กาลิมปงนี่เองที่เขาเริ่มเขียนอัตชีวประวัติของตัวเอง

    *ชีวก มาจากชีวกที่เป็นชื่อหมอพระพุทธเจ้า 
    (ต่อจากนี้จะเรียกชื่อ ชีวก แทน ไมเคิล) 

    พอสังกรชิตาออกธุดงค์ไปรอบอินเดีย ชิวกย้ายไปอยู่ที่สารนาถ เขาเริ่มเขียนบทความให้วารสารรายเล็ก ๆ ภายใต้ชื่อ ชีวก และต่อมาก็บรรพชา*เป็นสามเณรตามประเพณีเถรวาท
    *ในต้นฉบับเขียนว่า vows 
    เมื่อสังกรชิตาธุดงจบ ชีวกกลับไปที่กาลิมปง นุ่งผ้าจีวรสามเณรแล้ว เขาตั้งใจว่าจะบวชเป็นพระหลังจากปฎิบัติได้นานพอ แต่สังกรชิตาไม่ยอมรับ สำหรับเขาแล้ว ชีวกคือผู้หญิง และไม่สามารถบวชเป็นพระได้ เขาไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนเพศสรีระเปลี่ยนตัวตนใด ๆ 

    ไม่กี่เดือนถัดมาชิวกเดินทางกลับไปสารนาถเพื่อนั่งสมาธิ และศึกษาพุทธศาสนาเพิ่มเติม 

    หลังจากพบว่าพุทธเถรวาทไม่อนุญาตให้เขาบวชด้วยข้อจำกัดเรื่องเพศ เขาเข้าไปถามพระธิเบตรูปดังรูปหนึ่งในสารนาถเกี่ยวกับเรื่อง เพศ ของเขา ปรากฎว่าพระรูปนั้นบอกว่าเขาบวชเข้าเป็นพระในพุทธธิเบตได้ ชีวกเขียนจดหมายถึงสังกรชิตา ขอให้เขามาที่สารนาถเพื่อทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษ-ภาษาฮินดี และเป็นประธานในพิธี

    แต่สังกรชิตาไม่ยอม เขียนจดหมายเล่าเรื่องการเปลี่ยนเพศของเขาส่งให้ผู้นำทางศาสนาคนอื่น ๆ พระที่จะทำการบวชให้ชีวกจึงต้องยกเลิกการบวชไป ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากขุ่นเคืองใจกันกับสังกรชิตา

    เขาตัดสินใจเดินทางไปธิเบต และแม้ที่ธิเบตจะมีพระที่เห็นใจเขา และบอกว่าเขาจะต้องบวชได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีใครบวชพระจริง ๆ ให้เขาได้ ได้แต่บรรพชาให้เขาเป็นสามเณรเท่านั้น
    ชีวกใช้ชีวิตที่ธิเบตในชื่อ ลอบซานฟ์ ชิวก (Lobzanf Jivaha) และเขียนหนังสือไว้จำนวนหนึ่ง เงินที่พอได้มาบ้างจากงานเขียนก็ใช้ช่วยนักเรียนที่มีปัญหาในละแวกนั้น 

    ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนบนภูเขาสูง เขาเริ่มค้นพบกับความสุขในตัวตนใหม่


    Lobzang Jivaka (คนที่สี่จากด้านซ้าย) at Rizong Monastery in Ladakh, northern India, with some of his fellow monks, in 1960. Credit : Courtesy of Jacob Lau ภาพจาก https://www.wgbh.org/news/2017/01/02/englishmans-search-truth-was-about-transformation-spirit-and-gender


    ในวันเกิดปีที่ 47 เขาเขียนอัตชีวประวัติของตัวเองจนจบ และตัดสินใจพิมพ์ชื่อผู้แต่ง โดย ไมเคิล ดิลลอน และ เขียนชื่อ ลอบซางฟ์ ชีวก ไว้ในบรรทัดถัดไป 

    สำหรับเขา อย่างน้อยที่สุด เรื่องราวที่ถูกเปิดเผยก็มาจากปากของเขาเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องสังคมรอบข้างกดดัน หรือต้องเก็บความลับอีกต่อไป 

    ในปีเดียวกันนั้น เขาเดินทางไปต่อวีซ่าเพื่อจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบต่อที่ทิเบต แต่เขาล้มป่วยลงกะทันหันในระหว่างทาง และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในอินเดีย วันที่ 15 พฤษภาคม 1962 

    หลังจากที่เสียชีวิต พี่ชายของเขาติดต่อขอต้นฉบับอัตชีวประวัติเพื่อจะเอาไปโยนลงเตาผิงที่บ้าน แต่ผู้จัดการงานเขียนของเขาอ้างสิทธิ์และทวงคืนงานชิ้นนั้นเอาไว้ได้ทัน (Kenneddy, 2007)

    งานที่เกือบจะถูกเผาไปแล้วชิ้นนี้จึงเปิดเผยเรื่องราวของไมเคิล ดิลลอน (Michael Dillion) ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ 47 ปี อย่างที่ได้กล่าวไว้ในตอนเริ่มต้นบทความค่ะ

  • สรุปเกี่ยวกับไมเคิล ดิลลอน

    - แพทย์ นักเขียนหนังสือ นักเขียนวารสาร พระ
    - ผู้ชายทรานส์คนแรกที่ผ่าตัดแปลงเพศ เชื่อกันว่าเป็นคนแรกที่ใช้วิธีรับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในกระบวนการเปลี่ยนร่างกายให้เป็นผู้ชาย
    - ผู้ชายชาวยุโรปผิวขาวคนแรกที่บวชตามประเพณีชาวพุทธในทิเบต

    หนังสืออ่านเพิ่มเติม

    The First Man-Made Man: The Story of Two Sex Changes, One Love Affair, and a Twentieth-Century Medical Revolution




    OUT OF THE ORDINARY : A LIFE OF GENDER AND SPIRITUAL TRANSITIONS
    By Michael Dillon/Lobzang Jivaka Edited by Jacob Lau and Cameron Partridge
    ภาพจาก https://www.fordhampress.com/9780823280391/out-of-the-ordinary/

    Related topic : Roberta Cowell 



    References 
    Bell, M. (2017, January 2). This Englishman's search for truth was about the transformation of spirit, and of gender. Retrieved from https://www.pri.org/stories/2017-01-02/englishman-s-search-truth-was-about-transformation-spirit-and-gender

    Foster, R. (2016, February). Transgender tipping-point. Retrieved from http://www.doctorsreview.com/history/transgender-tipping-point/

    Kennedy, P. (2007, June 1). Becoming Jivaka. Retrieved from https://tricycle.org/magazine/man-made-monk-2/

    Michael Dillon (1915-1962) - The World's First Transsexual Man | Transgender Library and Information. (2012, July 5). Retrieved from http://library.transgenderzone.com/?page_id=635

    MICHAEL DILLON, AL NACER LE LLAMARON LAURA. (2011, 16). Retrieved from http://leopoldest.blogspot.com/2011/02/michael-dillon-al-nacer-le-llamaron.html

    Michael Dillon. (2007, March 25). Retrieved from https://en.wikipedia.org/wiki/Michael_Dillon

    Michael Dillon: Trans Pioneer. (2019, April 30). Retrieved from https://www.stuffyoushouldknow.com/podcasts/michael-dillon-trans-pioneer.htm

    Roach, M. (2007, March 18). The First Man-Made Man - Pagan Kennedy - Books - Review. Retrieved from https://www.nytimes.com/2007/03/18/books/review/Roach.t.html


    -------------------------------

    หมายเหตุคำแปลและอ้างอิงเพิ่มเติม  :https://rbf17ref.home.blog/2019/05/15/ref-notes-dillon/


    *แปลและเรียบเรียงส่วนไหนผิดขออภัยล่วงหน้า โดยเฉพาะในตอนนี้อาจจะถอดชื่อผิด รบกวนทักมาบอก/ให้ความรู้ได้เลยนะคะ


     Contact / ช่องทางการบอก 
    Twitter direct message : @rainbowflick17

    E-mail : rainbowflick37@gmail.com

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in