คุณว่าไหมว่า ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีทำให้คนไทยชอบเที่ยวเมืองนอกอย่างเราๆเคยตัวกับการที่ให้เราเข้าไปเที่ยวได้แบบไม่ต้องขอวีซ่า หรือแม้แต่ประเทศที่ต้องขอวีซ่าแต่บางทีก็ใจดีให้มาสิบปีอย่างอเมริกาก็ทำให้เราสบายใจเชิ้บๆ ไม่ต้องคิดถึงการขอวีซ่า ดังนั้นพอจะไปเที่ยวอังกฤษกับสก๊อตแลนด์ อารมณ์การขอวีซ่าก็กลับมาเยือนฉันอีกแล้ว แค่คิดถึงก็ถอนหายใจให้ยาวๆ นี่ขนาดพิมพ์เล่ายังเผลอถอนหายใจอีกรอบ (อะไรจะขนาดนั้นจ๊ะ)
พอได้ตั๋วเครื่องบิน ก็เริ่มวางแผนเที่ยว เปิดกูเกิลเวิร์ด และเอ็กเซลมาใส่พวกค่าใช้จ่าย ที่พัก แผนว่าจะไปเที่ยวไหนไว้ เริ่มจองที่พัก ค่าตั๋วเดินทางในประเทศเค้า ทั้งที่ยังไม่ได้วีซ่านี่แหละ เพราะการขอวีซ่า เราจะรีบไปขอเกินก็ไม่ได้ ขอช้าไปก็ไม่ได้ ต้องพอดีๆ ความพอดีของแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกันนะ แต่ฉันคิดว่าไม่เกินสองเดือนก่อนถึงวันไปน่าจะโอเค
คาดเดาได้ว่าอยากจะไปขอช่วงนี้ๆ ก็เปิดกูเกิลถามใจเธอว่า ต้องเตรียมเอกสารไรบ้าง อ่านรายละเอัียดในเว็บไซต์ออฟฟิเชียลของการขอวีซ่า ฉันก็ได้ข้อสรุปว่า ฉันส่งแต่ใบรับรองการทำงาน และพวกรายละเอียดบัญชีที่จะใช้ยื่นประกอบ แล้วก็เข้าไปกรอกเอกสารออนไลน์ แล้วก็จ่ายเงิน แล้วถึงจะจองวันที่จะไปยื่นเอกสารได้ และจากประสบการณ์ที่ได้มาจากการเคยขอวีซ่าไปญี่ปุ่นสมัยญี่ปุ่นยังต้องการอยู่ ก็รู้ว่าถึงเราจะไปเยี่ยมเพื่อน น้อง พี่ ใครต่อใครที่โน่น แต่ถ้าเราไม่ได้ไปใช้เงินเขาทำอะไร ก็ไม่ต้องไปบอกว่าเราจะไปหาพี่น้องเพื่อนหรอก ก็บอกว่าเราไปเที่ยว เพราะความจริง เราก็ไปเที่ยวนะ ไม่ได้จะไปอยู่เฉยๆกับใครที่โน่นนี่นา เพื่อตัดปัญหาการต้องขอเอกสารรับรองโน่นนี่นั่นจากทางโน้น
เมื่อรู้ว่าตัวเองใช้เอกสารแค่นั้น ก็เลยจัดการขอใบรับรองการทำงานพร้อมเงินเดือน แล้วก็ไปขอใบสเตทเมนท์จากทางธนาคาร ไอ่ความเหนื่อยจริงๆ มันยังไม่เริ่มต้น มันจะเริ่มต้นตอนที่เราต้องกรอกเอกสารออนไลน์ที่มีประมาณเกือบสิบหน้า และแต่ละหน้าก็ต้องอ่านให้ดีๆนาจา ดีนะที่ระบบให้เราเซฟข้อมูลที่กรอกไปได้ แล้วก็คอยบอกเราว่าเรายังกรอกขาดอะไร คือฉันใช้เวลากรอกตรงนี้อยู่สองสามวันเลยล่ะ และแผนที่วางไว้กับจำนวนเงินที่เคยคิดคร่าวๆ ก็มีประโยชน์ตอนนี้ เพราะเขาอยากรู้ด้วยค่ะ เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อย ได้จ่ายเงินค่าวีซ่า ก็เลือกวันเวลาเพื่อไปยื่นเอกสาร
เมื่อถึงวันไปยื่นเอกสาร ตีกของเอเจนซี่อยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้านานามากนัก ลงแล้วก็เดินได้สบายๆ พอไปถึงก็เจอคนมายื่นกันอยู่ไม่น้อย แถมที่นี่รับยื่นอยู่สองสามประเทศ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นของเอเจนซี่อังกฤษ ก็ต้องผ่านส่วนรักษาความปลอดภัย แล้วเข้าไปนั่งรอเรียกไปยื่นเอกสาร ซึ่งรอเรียกก็ไม่ถูก บางทีก็ประกาศไม่ทันกับเลขที่รันขึ้นจอ ฉันก็คอยมองจอไป ฟังไป แล้วพอถึงคิวตัวเองก็เจอคุณน้องเอเจนซี่ ซึ่งเขาก็ตรวจเอกสารฉัน ซึ่งมีพาสปอร์ต 3 เล่ม ใบรับรองการทำงานพร้อมเงินเดือน และใบสเตทเมนท์จากทางธนาคาร แล้วเขาก็ถามฉันว่า จะยื่นเท่านี้เหรอคะ ฉันก็ด้วยความมั่นใจ ก็บอกว่าใช่ค่ะ แล้วก็ถามเขาต่อว่า ถ้าทางสถานทูตอยากได้อะไรเพิ่มจะแจ้งมาใช่ไหมคะ น้องเอเจนซี่บอกว่าไม่ค่ะ ถ้าอยากยื่นอะไรก็ต้องให้ไปให้หมดค่ะ ฉันเกิดอาการช็อคชั่วขณะ อ่าว ทำไมล่ะ อยากได้อะไรก็บอกมาสิ แล้วนี่ก็อ่านมาแล้ว เขาบอกว่าแค่ไปเที่ยว แบบคนเดียวด้วย ก็ยื่นแค่นี้แหละ แถมในนั้นยังบอกว่าพวกเครื่องบิน โรงแรม แผนเที่ยวไม่ต้องยื่น ทั้งหมดคือคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับน้องเอเจนซี่ แล้วเดินจากช่องยื่นเอกสารแบบถึงบางอ้อ ก็ว่าทำไมในกระทู้พันทิพ ถึงชอบมีคนมาอธิบายว่ายื่นอะไรบ้าง แล้วก็ร่ายยาวไปประมาณ 10 ข้อ ซึ่งฉันก็คิดว่าสงสัยเขาไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวเลยต้องยื่นอะไรเยอะแยะ พอมาเจอคำตอบน้องเอเจนซี่ เกิดอาการสั่นไหว แต่ก็ยังคิดตามที่อ่านในเว็บออฟฟิเชียลว่าให้ยื่นแค่นี้นิ
ต่อจากยื่นเอกสาร เราก็จะไปรอพิมพ์รอยนิ้วมือแบบอิเล็กทรอนิกส์และถ่ายรูปดิจิตอล ซึ่งขั้นตอนนี้่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันได้รับแจ้งว่าภายใน 15 วันทำการสำหรับการจะรู้ผลวีซ่า โดยฉันเลือกจะให้ส่งเมสเสจมาบอกเรื่องให้ไปรับเล่ม กับจะไปรับเล่มเอง
รอไปประมาณสิบวันกว่าๆ ก็ได้รับเมสเสจ แล้วฉันก็กลับไปที่เดิม แต่ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย ซึ่งการรับเล่มดูมีความวุ่นวาย เพราะเหมือนเราต้องไปยืนออๆกันตรงช่องสองช่อง แล้วรอเขาเรียกแบบไม่มีไมค์ หนึ่งช่องเขาจะเอาไว้เรียกเราเพื่อถามชื่อเรา เอาใบรับวีซ่าไป แล้วเราก็ต้องรอเขาไปค้นเล่มเรา แล้วก็รอเรียกอีกเพื่อไปรับซองอีกช่อง ก็จะได้ซองพัสดุที่ใส่เล่มพาสปอร์ตเราคืนมา
ฉันได้มาแล้วก็เปิดดูอย่างใจลุ้นๆ ถึงใครๆจะบอกว่าได้วีซ่าอยู่แล้ว แต่คำตอบของน้องเอเจนซี่ตอนนั้นทำเอาเป๋ไป แต่สุดท้ายก็ได้มาค่ะ ตามระยะเวลาปกติ 6 เดือน แต่วันที่เริ่มนับวีซ่าคือวันที่ฉันกรอกไปว่าจะถึงอังกฤษวันนั้นพอดีเด๊ะ นี่ถ้ากรอกผิดวันไปแบบช้าไปวันหนึ่ง มีสิทธิ์ต้องเปลี่ยนตั๋วตามวีซ่าเลยนะ คือเป๊ะมากค่ะ
เอาเป็นว่าได้วีซ่าละ อยากจะร้องเพลงพี่โคลด์เพลย์ประกอบการขอวีซ่าทีเดียวเชียว
And the hardest part
Was letting go, not taking part
Was the hardest part
And the strangest thing
Was waiting for that bell to ring
It was the strangest start
ปะ ไปอังกฤษกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in