เคยได้ยินหรือได้ดูหนังเรื่อง Back to the Future กันไหมคะ หนังอาจจะเก่าแต่ฉันถือว่าเป็นหนึ่งในหนังไซไฟที่คลาสสิคเรื่องหนึ่งเลย มีถึงสามภาค นำแสดงโดยไมเคิล เจ ฟอกซ์ เป็นพระเอกที่เดินทางย้อนไปในอดีตสมัยพ่อแม่เขายังหนุ่มสาวด้วยรถยนต์ที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยนักวิทยาศาสตร์ที่ท่าทางดูประหลาดๆเหมือนหลุดมาจากการ์ตูนแนวไซไฟนี่แหละ
ตอนที่หนังเรื่อง Back to the Future ออกมา ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาใช้คำว่า Back กับคำว่า Future ที่แปลว่าอนาคต คือถ้าไปอนาคต ไปข้างหน้า มันน่าจะใช้คำว่า Forward ไหม ทำไมใช้คำว่า Back ที่เราก็แปลว่ากลับ ทำไมถึงย้อนกลับไปในอนาคตล่ะ
แล้วทำไมอยู่ดีๆฉันนึกถึงชื่อหนังไตรภาคเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะฉันรู้สึกว่าการเดินทางไปอังกฤษครั้งนี้ของฉันมันตอบโจทย์ที่ฉันเคยสงสัย ยังไงน่ะรึ ก็ฉันเดินทางด้วยสายการบินอาหรับเอมิเรตส์ที่ต้องไปต่อเครื่องที่ดูไบ ฉันเดินทางออกจากเมืองไทยวันที่ 9 สิงหาคม แล้วก็ไปทรานสิทที่ดูไบ ที่เวลาโลคอลช้ากว่ากรุงเทพ 3 ชั่วโมง แถมยังเป็นการทรานสิทที่นานที่สุดในชีัวิตที่เคยบินมา คือประมาณ 7 ชั่วโมงกว่าๆ แลกกับตั๋วราคาไม่แพงที่หาได้ตอนที่ตัดสินใจซื้อ
ทุกครั้งที่ฉันทรานสิทที่เมืองไหน ฉันจะปรับเวลาที่มือถือให้เป็นเวลาของเมืองนั้น ไม่ว่าจะทรานสิทนานแค่ไหน เพื่อไม่ให้พลาดเวลาที่เครื่องที่ฉันต้องต่อไปยังเมืองปลายทาง การที่รอขึ้นเครื่องที่ดูไบนานถึงเจ็ดชั่วโมง ฉันก็ใช้เวลาดูซีรีส์วาไรตี้เกาหลีที่โหลดเก็บไว้ในแท็บเล็ต โดยเดินไปนั่งดูตรงแถวเกทที่เขาแจ้งไว้ตอนที่ฉันลงเครื่องมา แต่นั่งดูไปจนถึงสักสองชั่วโมงที่เครื่องจะขึ้น ฉันก็เริ่มถูกไล่ที่จากนักเดินทางที่เขามาเป็นกลุ่มๆแล้วรอขึ้นเครื่องแถวที่ฉันนั่ง ฉันเลยตัดสินใจลุกไปหาที่น่ั่งใหม่ แล้วก็เลยไปดูบอร์ดเกทเพื่อเช็คว่ายังเป็นเกทเดิมที่ฉันขึ้นหรือเปล่า แล้วก็ต้องตกใจเล็กน้อยว่าเกทเปลี่ยนนี่นา ดีนะที่มาเช็คอีกที
พอรู้ว่าเกทเปลี่ยน ก็รีบเดินไปเกทใหม่ทันทีแล้วก็พบว่า สนามบินดูไบนี่ใหญ่ไม่ใช่เล่น แถมเกทที่ฉันต้องไปก็อยู่อีกเทอร์มินัล ที่ต้องลงลิฟท์ไปชั้นล่างเพื่อรอขึ้นรถไฟที่เชื่อมระหว่างเทอร์มินัล แล้วพอถึงเทอร์มินัลปลายทางก็ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้นที่เกทตั้ง แถมยังต้องเดินไปอีกไกลแบบใช้ได้ รวมเวลาที่เดินมาเกทใหม่นี่น่าจะเกือบสามสิบนาทีได้นะ
รู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีที่เช็คเกทอีกรอบ แล้วก็พาลทำให้ไปนึกถึงว่าก่อนจะมาเที่ยวนี่ก็มีเรื่องให้ต้องลุ้น ไม่ว่าบัตรเครดิตที่ใช้ซื้อโน่นนี่สำหรับการเดินทางครั้งนี้โดนแฮ็ค ต้องยกเลิกบัตรแล้วขอให้เขาส่งบัตรใหม่มาด่วนก่อนจะบิน แถมบัตรนั้นใช้ซื้อตั๋วรถไฟที่เดินทางจากเอดินบะระไปอินเวอร์เนส ซึ่งการจะไปเอาตั๋วต้องเอาบัตรเครดิตนี้ไปเสียบเพื่อเอา ถึงแม้ว่าเราจะจ่ายเงินไปแล้วก็เถอะ ซึ่งฉันก็ต้องเมล์ไปถามทาง scotrail ว่าจะทำอย่างไรดีกับกรณีที่บัตรเครดิตฉันโดนแฮ็คแบบนี้ ดีนะที่ฝ่ายบริการลูกค้าเขาทำงานเร็ว แล้วเขาก็เลยทำให้เลขซื้อตั๋วรถไฟของฉันเป็นเลขที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแปลว่าใช้บัตรเครดิตเบอร์ไหนมาเสียบเพื่อเอาตั๋วก็ได้
พอนึกว่าจะหมดเรื่อง ก็มาเจอว่าวันจะเดินทาง sims2fly ที่ไปเติมเงินไว้ที่ AIS ก่อนบินสองสัปดาห์ ถูก AIS เปิดว่าใช้ไปแล้ว ทำให้เงินหมด ต้องโทรไปติดต่อ AIS กว่าจะจัดการให้ได้เงินคืนแล้วก็ขอทางเจ้าหน้าที่สมัครแพ็คเกจที่อังกฤษให้ เรียกว่าทำจนนาทีสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องที่กรุงเทพ แถมไม่รู้ว่าสมัครให้สำเร็จไหม ต้องไปพิสูจน์กันเลยที่ลอนดอน เรียกว่าลุ้นกันให้ถึงใจเพื่อไปให้สุดกับทริปนี้
เล่าเรื่อง forward to the past แล้วก็ขอตัดฉากกลับมาที่สนามบินดูไบ เพื่อรอขึ้นเครื่องไปอังกฤษ โดยเป็นการขึ้นเครื่อง A380 ที่มีสองชั้นแบบได้นั่งชั้นบนครั้งแรก ซึ่งก็ชอบมากๆ เพราะเหมือนผู้โดยสารจะน้อยกว่าชั้นล่าง ก็นั่ง หลับๆ ตื่นๆ เพื่อใหัเครื่องบินพาฉันมาลงที่สนามบิน London Gatwick ที่ไม่ใช่ Heathrow ชื่อคุ้นเคยของการลงจอด ณ ลอนดอน พอคุณนักบินจอดเครื่องบินสำเร็จ ปิดไฟที่บอกให้เรานั่งติดเข็มขัด ฉันก็รีบเปิดมือถือเป็นโหมดมองหาเน็ตเวิร์ค แล้วก็ใจชื้นที่มีเมสเสจจากเอไอเอสมาบอกว่า แพคเกจที่ใช้อังกฤษเปิดใช้งานแล้วนะ รู้สึกสบายใจไปหนึ่งเฮือก แล้วฉันก็เปลี่ยนเวลาในมือถือให้เป็นเวลาประเทศอังกฤษ ซึ่งมีความช้ากว่าที่ดูไบ 3 ชัั่วโมง และช้ากว่ากรุงเทพ 6 ชั่วโมง
ฉันมองเวลาในมือถือ เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้า วันที่ 10 สิงหาคม หกชั่วโมงที่ย้อนอดีตเมื่อเริ่มออกจากประเทศไทยในวันที่ 9 ก็พาให้ฉันมาวันในอนาคต นี่ฉันเดินทาง Back to the Future ของจริงนี่นา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in