เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไม่ได้ตั้งใจทริป : KANSAIไปKANTOeiijay_
สถานีเกียวโต-คาวาซากิ-ซากุระจิโช-ไชน่าทาวน์
  • (15)

    จากนาระไปโยโกฮาม่า จากคันไซไปคันโต
    เราแพลนว่าจะเดินทางเข้าใกล้เมืองใหญ่เรื่อยๆ แล้ววันสุดท้ายก็ไปถึงสนามบินนาริตะพอดี
    พอเที่ยวถ่ายรูปกวางจนพอใจในนาระแล้ว ก็ต้องรีบนั่งรถไฟกลับมาสถานีเกียวโตเพื่อขึ้นชินคันเซ็นไปโยโกฮาม่า
    (สถานีที่ชินคันเซ็นผ่านมีแค่ในเมืองใหญ่เท่านั้น ที่จริงนั่งรถไฟจากนาระไปโยโกฮาม่าโดยตรงก็ได้ 
    แต่ลูกพี่ซินคันเซ็นมันเร็วกว่าเยอะเลย ก็ต้องยอมนั่งย้อนกลับมา)
    เรานั่งกลับมาเกียวโต โดยระหว่างทางก็หลับไปด้วย(เพราะกินยาลดน้ำมูกราคา480บาทมา 55555)

    พอถึงก็สะดุ้งตื่นแล้วก็มึนๆลงมาในสถานี เดินไปหาออฟฟิศจองตั๋ว แล้วก็บอกพนักงานว่าไปโยโกฮาม่า
    พนักงานก็ถามว่า ไรท์นาวๆใช่มะ เราก็ดูนาฬิกาแล้ว เอ่อๆ เดินทางเลยละกัน จะได้ไม่เสียเวลา
    พอได้ตั๋วมา เหลือเวลาอีกสามสิบนาทีกว่ารถไฟจะออก เราก็เดินวนไปดูอาหารในสถานีเล่นๆ
    เอ๊ะะะะะ ตรงนั้นมีข้าวกล่องซินคันเซ็นขายด้วย ซื้อไปเลยดีไหมนะ
    ไม่เอาดีกว่า เลี้ยวไปร้านสะดวกซื้อ หันไปหันมา อันนี้ก็ดีอันนู้นก็ดีแฮะ....

    เหมือนลืมอะไรสักอย่าง.... แต่นึกไม่ออก
    เหลือเวลาอีกสิบห้านาที ไปรอที่ชานชลาดีกว่าเนอะ...
    เอ๊ะ........................................... แอออออออออออออออออออออออออออออ๊....
    รู้แล้ว!!! ลืมกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในล็อคเกอร์หยอดเหรียญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ!!!!
    ชิบผายยยยย อันนี้เวิร์สเคสมาก แย่มาก!!...แย่จริงๆแล้ววววววว!!
    วินาทีนั้น เครื่องติดเลย วนลานมาก ขาก็รีบวิ่งหาล็อกเกอร์ที่ฝากไว้
    ...
    .
    ว่าแต่...ล็อคเกอร์แม่มอยู่ไหนวะ!!!
    ถ้าใครเคยไปจะรู้ว่า สถานีเกียวโตมีสามชั้น ล็อคเกอร์มีเป็นร้อยที่ แผนผังทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น เศษกระดาษที่เคยจดไว้มีแค่ว่า อยู่หน้าชานชลาที่8-9(ที่พึ่งลงมาจากนาระนั่นแหละ)
    โอ้ยยยย ตัวกูในอดีตตตต ใครจะไปรู้ล้าาาาาาา

    วิกฤต!! อันนี้วิกฤตของจริงแล้ว!!
    วิ่งหาบนชานชลา บังเอิญไปเจออินฟอร์เมชั่นที่มีป้ายเขียนไว้ว่าสำหรับถามเป็นภาษาอังกฤษโดยเฉพาะพอดี
    สวรรค์โปรดดดด ปรี่เข้าไปถามทันทีเลย ลืมตัวจนไม่ได้ร่างประโยคภาษาอังกฤษมาล่วงหน้าเลยสักนิ

    เจ๊ๆๆ ไอฟอกอตคอยน์ล็อคเกอร์ แวร์ๆๆๆๆ (เอากุญแจที่ได้ยื่นทิ่มๆๆให้พนักงานดู)
    พนักงานยิ้มให้ พร้อมบอกอย่างใจเย็นว่า เลี้ยวทางนี้นะคะ พึ่บๆๆ(ผายมือไปทางชานชลา)
    เราก็แท็งค์กิ้ว แล้วรีบวิ่งมาตามทางที่เจ๊แกบอกมา เอาละเว้ยยยจะเจอแล้ววว
    ...
    .
    อ่าววว เชี่ยยย ไม่เห็นมีล็อคเกอร์เลยนี่เจ๊!!!!
    ไม่ทันแล้วววว เหลือเวลาอีกสิบนาทีรถไฟจะมาแล้ว แถมจอดแป็บเดียวด้วยนะ เพราะเป็นสถานีที่ผ่าน ไม่ใช่สถานีหยุดพัก
    เอาวะเสี่ยงดู สุ่มถามพนักงานสักคน ยื่นกุญแจล็อคเกอร์ให้ดู
    พนักงานก็ชี้ๆไปที่ทางชานชลาเดิม
    เฮีย!! ก็เมื่อกี้วิ่งไปแล้วไม่เห็นมีเลยอ่ะ!! เฮียอย่าหลอกนู๋วววววว!!
    วินาทีนั้นสิ้นหวังแล้วอ่ะ เหลืออีกไม่เกินสิบนาทีกับการไม่เห็นแม้แต่เงาล็อคเกอร์ แล้วไหนจะเวลาวิ่งกลับไปชานชลาเดิมเพื่อไปขึ้นซินคันเซ็น
    แถมรถไฟญี่ปุ่นโคตรตรงต่อเวลา เป็นครั้งแรกที่คิดว่าการตรงต่อเวลาเกินไปนี่เป็นข้อเสีย ไม่ใช่ข้อดีเลยป่ะวะ 555555555

    เอาวะ!! เสี่ยงดู วิ่งลงชานชลาไปอีกรอบ คราวนี้ดันเจอบันไดวงไปทางใต้ดิน
    เอาเว้ย เจอแล้ววววววว!! ล็อคเกอร์ของข้าาาาาา!!
    พอไขกุญแจเอาของเรียบร้อย นี่แทบจะเลี้ยวกลับกลิ้งตัวไปชานชลาชินคันเซ็นด้วยความเร็ว160กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    อีกห้านาที!! ไฟว์มินิทแล็ฟฟฟฟฟฟฟ!!(ทำเสียงชาคริตในเซฟกระทะเหล็ก)
    พอมาถึงชานชลา รถไฟชินคันเซ็นก็เข้าเทียบท่าพอดี ลมพัดปะทะหน้าฟิ้ววววว
    ยืนหอบอยู่ริมชานชลา ก็แอบโล่งใจปนภูมิใจว่าเราพยายามก็ทำได้เหมือนกันแฮะ (ถึงแม้จะเกือบตายก็ตาม 5555)

    ชินคันเซ็นครั้งนั้นกลายว่าเป็นรอบที่สบายใจที่สุด เป็นครั้งแรกที่นั่งมาขบวนเดียวกับเด็กๆที่มาทัศนศึกษา
    เสียงเจี๊ยวจ๊าวเต็มขบวนเลย การเดินทางครั้งนั้นเลยรู้สึกสดใสมากกว่าเพราะทั้งขบวนไม่ได้มีแต่ความเงียบ
    ใช้เวลาราวๆสองชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงโยโกฮาม่า แล้วต้องนั่งรถไฟจากสถานีโยโกฮาม่าไปลงคาวาซากิเพื่อเข้าที่พัก
    ที่จองที่นี่ไปเพราะเหตุผลเดียว... กูอยากมาดูว่าสถานีที่เป็นชื่อรถมอไซจะหน้าตาเป็นยังไง 55555555555
    พอมาถึงก็เปิดกูเกิ้ลแมพ นำทางไปที่พัก... และก็แน่นอน มันพาเราหลงอีกแล้วว่ะ 5555555
    แต่โชคดีที่โรงแรมมีป้ายบอกระหว่างทาง ป้ายก็นำเราลึกเข้าซอยไปเรื่อยๆ
    สภาพข้างทางตอนนี้พอๆกับแถวๆสยามตอนสามสี่ทุ่มเลย เงียบๆ มีไฟข้างทางปะปราย แล้วก็มีคนเดินสวนสองสามคน
    แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกปลอดภัยกว่าตอนที่เดินกลับหอแถวสยามก็ไม่รู้ 555555555

    พอมาถึงโรงแรมก็เจอแขกกลุ่มใหญ่เลย กำลังสังสรรค์อะไรสักอย่างเหมือนได้ยินคำว่าเซนเซย์ๆ
    น่าจะเลี้ยงส่งอาจารย์อะไรกันมั้ง มีส่งเสียงเชียร์ยกใหญ่เลย อาหารจัดเต็มมากๆ(รู้งี้ไปขอเขาสักจานดีกว่า ประหยัดไปได้อีกมื้อ555)
    ข้างล่างโรงแรมเป็นบาร์ เอาไว้แฮงค์เอาต์กันระหว่างเพื่อน ส่วนข้างบนเป็นที่พักสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์
    เช็คอินเสร็จก็เข้าที่พัก เก็บของเสร็จก็ลงมาหาอะไรกิ
    สุดท้ายก็จบมื้อแรกที่โยโกฮาม่าด้วยราเมนหยอดตู้ ที่อยู่ซอยใกล้ๆกับโรงแรม(อีกแล้วววว มื้อที่ห้าแล้วมั้งเนี่ย ไม่ต้องคุยกับใคร สายแดกอย่างเดียว555 ติดตามหน้าตาอาหารได้ตอนจบบทนี้) 
    อากาศเย็นๆ แถมเป็นหวัดอีก เหมาะกับการซดราเมนมากๆ
    แถมราเมนที่นี่ก็อร่อยทุกร้านอ่ะ(เท่าที่เข้าร้านอาหารมา ไม่มีร้านไหนที่ไม่อร่อยเลยอ่ะ แต่ก็จ่ายเงินเยอะกว่าเซเว่นนิดหน่อย)

    ก่อนกลับที่พัก เลยแวะไปย่านช้อปปิ้งสักหน่อย เผื่อได้ของฝากเทพๆ เพราะตอนแรกก็ตั้งใจจะมาซื้อของฝากกลับไปตอนไปเที่ยวโยโกฯกับโตเกียวนี่แหละ
    พอตอนเดินกลับก็ซ่าไง เดินอีกทางหนึ่งตามที่กูเกิ้ลแมพบอก
    พอเดินๆไปสักพัก เอ๊ะ ทำไมมีคนเมาๆเยอะจังวะ เป็นร้านแบบพนักงานญี่ปุ่นมากินสาเกกับผองเพื่อนประมาณนั้น แล้วก็มีกับแกล้มเป็นไม้เสียบไม้ย่าง น่ากินกว่าสาเกอีก 555
    เดินลึกๆไปอีก เริ่มมีผุ้ชายใส่สูทเดินมาเรียกแขกหน้าร้าน ขนาบข้างทั้งซอยเลย
    โอ้โห้ ซอยบาร์โฮสต์เว้ยเฮ้ยยยยยยย!!
    หนุ่มหล่อย้อมผมสีน้ำตาลอ่อน คือหล่อแบบที่สาวญี่ปุ่นชอบอ่ะ แต่กูไม่ชอบไง 555555555555
    เรียกแขกโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นอ่ะ คือกะเหรี่ยงอย่างเราไม่เข้าใจไง เลยเดินเชิดเหมือนเจ้ที่ซักผ้าทิ้งไว้ที่บ้าน (ถ้าพูดไทยได้เจ้คงเปย์ไปแล้ว 5555555555555)
    เพลิดเพลินมากอ่ะ แสงสีต่างกับคันไซที่จากมา แต่ถ้าถามว่าชอบแบบไหน ก็คงชอบแบบโอซาก้าเกียวโตมากกว่า
    โยโกฯตอนกลางคืนคือเมืองใหญ่ คนเดินสวนกันไปมาอย่างรีบร้อน ไม่ค่อยมีคนได้หยุดพักชมความงามตอนกลางคืน
    ....
    เข้าใจอารมณ์ของสกาเล็ตโจแฮนซันในเรื่องlost in translationเลย
    คนต่างชาติในประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่ไม่มีใครเข้าใจภาษาของเรา
    ...
    ..


    (15.5)
    ราเมนหยอดตู้คืนแรกในโยโกฮาม่า(มีคืนเดียว 555)
    ร้านในซอยใกล้ๆกับโรงแรมที่คาวาซากิ
    เดินเข้าร้านไป ตอนหยอดเหรียญก็มองภาพที่ดูน่ากินที่สุดแล้วก็กดออกมา(เพิ่มหมูไม่เป็น อ่านญี่ปุ่นไม่ออก เลยได้หมูชิ้นเดียวกับสาหร่ายเหี่ยวๆ1ea)
    ตอนยื่นให้พนักงาน ก็โดนสวนภาษาญี่ปุ่นมาหนึ่งประโยค เราก็ทำหน้างงใส่แม่มเลย 555555 พนักงานก็แบบ...กะเหรี่ยงมาอีกแล้วหรอ อ่ะเดี๋ยวทำให้มึงแดกแบบงงๆก็แล้วกัน 5555(ที่จริงเขาถามว่าเอาเส้นนุ่มไหม เผ็ดมากไหม ลดมันเปล่า สงสัยเขาจัดแบบปานกลางมาหมด)
    ...
    สรุป อร่อยดีจนเข้าขั้นดีมาก อารมณ์แบบbankara ramenที่พารากอนเลย แต่ที่นี่คืออร่อยด้วยและถูกด้วย ดีงาม ขนาดอยู่ในซอยแบบลึกลับและเปลี่ยวมากๆ สามสี่ทุ่มก็ยังมีคนแวะเวียนมากิน
    คอมเมนต์ : น้ำซุปดี หมูมันแทรกดีงาม เส้นใหญ่ไปหน่อยแต่ก็เปลี่ยนไม่เป็น 55555
    พอกลับไทยมากินเส้นเล็กดู สรุปเส้นใหญ่ๆก็ดีแล้วแหละ 5555

    (15.5)
    ของหวานตบท้ายหลังกินราเมน
    ตอนออกไปเดินเล่นต่อ ผ่านถนนสายบาร์โฮส ขากลับเลยได้แวะลอว์สัน
    พุดดิ้งชีสเค้กฮอกไกโดอะไรสักอย่าง ราคา108เยนประมาณ32บาท
    คอมเมนต์ : หอมนม อร่อยละมุนลิ้นจากชีส เนียนนุ่มจากแป้งพุดดิ้ง สรุปคืออร่อยมากกกกกกกกก ให้ความอร่อยเสมอกับไดฟุกุสตรอเบอรี่หน้าวัดโทไดจิเลยเอ๊า
    ของหวานในร้านสะดวกซื้อที่เดอะเบสที่สุดในทริปนี้
  • (16)

    มีไซด์สตอรี่เรื่องนึง ตอนนั้นเดินไปตามทางไม่มั่นใจว่าตอนกลางคืนแถวโยโกฮาม่าหรือเปล่า
    มีร้านสติ๊กเกอร์อยู่ร้านนึง ร้านเก๋มากๆ คือทั้งร้านขายเป็นสติ๊กเกอร์คุณภาพดี(แพงและดีไซน์ดี)
    (มารู้ทีหลังว่าชื่อร้าน B-side sticker มีสาขาอยู่หลายที่ในญี่ปุ่น)

    คือด้วยความที่เป็นคนชอบสติ๊กเกอร์ไง และชินแล้วกับการเข้าไปดูของแล้วก็ออกมาโดยไม่ซื้ออะไร ร้านนี้ก็เป็นเหยื่อเช่นกัน55555

    พอเข้าไปดูๆได้ก็เริ่มเพลินเพราะมีแต่สติ๊กเกอร์ดีไซน์ดีๆอ่ะ แบบจ้างนักวาดดังๆมาเป็นคอลเล็กชั่น คือชอบอะไรแบบนี้มาก สักพักก็มีพนักงานเข้ามาทักทาย แบบถามไถ่ว่ามาจากไหนเที่ยวสนุกไหม คือเทคแคร์ดีมาก(คือถ้าเป็นที่ไทยจะพูดว่ามาเฝ้ากันขโมยก็ว่าได้ แต่เขาก็ไม่ควรเทคแคร์ขโมยดีขนาดนี้ 5555)
    มีสติ๊กเกอร์ที่เราไม่เข้าใจ(เป็นภาษาญี่ปุ่นพิมพ์เป็นภาษาคาราโอเกะ) เขาก็เข้ามาอธิบายเป็นฉากๆเลย บทสนทนาทั้งหมดคือภาษาอังกฤษสั้นๆ ประโยคง่ายๆ ดันฟังรู้เรื่องกันทั้งคู่อีก ชอบฟิลนี้ เหมือนมีคนคุยด้วย5555555

    พอเลือกได้ก็ไปจ่ายเงิน เจ้ที่แคชเชียร์ยิ้มแย้มต้อนรับอย่างดี ถามไถ่เหมือนพนักงานที่คุยคนแรกเลย แบบนางอะเมซิ่งด้วยที่รู้ว่าเราเป็นคนไทย(กลัวอึ้งเพราะมีคนไทยมาก่อเรื่องป่ะวะ555) แล้วก็หยิบสมุดมาเล่มนึง ข้างในมีแบบคำพูดภาษาต่างๆที่นางจดไว้หลายภาษาเลย แล้วเขาก็เล่าว่าถามมาจากลูกค้าที่มาซื้อที่นี่นี่แหละ แต่ยังไม่มีภาษาไทยเลย เขาก็ถามว่าขอบคุณภาษาไทยพูดว่ายังไง เราก็บอกไปเข้าก็ยิ้มๆแล้วก็จดลงในสมุด
    ต่อจากนั้นเขาก็ให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง พยายามบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า ให้เขียนอะไรก็ได้ที่ช่วงเวลาตอนเด็กคุณได้ผ่านมา(น่าจะแปลประมาณนี้) แอบไปดูกระดานที่ลูกค้าคนก่อนๆเขียนไว้ มีทั้งวันพีช บลีช นารูโตะ ไปยันดราก้อนบอล ชื่อเพลง แนวหนังฯลฯ เราก็แบบเอาแล้ว แล้วตูจะเขียนอะไรดีวะ...

    เขียน โด...รา...เอ...ม่อน แม่มเลยยยยยยยยยยยยย 555555555555555555

    ไม่รู้จะเขียนอะไรดี ในหัวนึกได้แค่นี้ แคชเชียร์ถึงกับลั่น555555 เราก็บอกว่าตอนเด็กๆโดเรม่อนในไทยดังมากเลยนะ เขาก็ยิ่งทำหน้าอะเมซิ่งไปอีก แต่จริงๆเขาก็คงรู้อยู่แล้วแหละว่ามันดังขนาดไหน โธ่
    แถมถามว่าชอบตัวไหน ตูบอกว่าชอบโดเรมี่ ตอบแทบจะทันทีเลยด้วย55555555555 (นึกภาพกะเหรี่ยงคนนึงนึกไม่ออก แต่ก็อยากตอบเพราะบทสนทนากำลังลื่นไหล คือจะมานึกถึงตัวอื่นก็วอแว ชื่อโนบิตงโนบิตะก็เป็นภาษาญี่ปุ่น ไปออกเสียงผิดเดี๋ยวฟังกันไม่รู้เรื่องอีก) เขาก็ขำๆแบบว่า เอ่อเว้ย ในโลกนี้มีคนชอบน้องสาวโดเรม่อนด้วยหรอ55555555

    พอจ่ายเงินจริงๆ เขายังให้สุ่มจับสติ๊กเกอร์แถมมาอีกอัน(เหมือนคลี่ไพ่แล้วให้จับ) โห้ ร้านแบบนี้มันควรค่าแก่การสูญเสียเงินให้รัวๆเลย

    คิดว่าถ้ามีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นอีกที ก็คงจะไปโดนที่ร้านนี้อีกแน่ๆ

    ปล. ตอนนี้สติ๊กเกอร์ถูกอันเชิญมาติดบนโน้ตบุ๊คเรียบร้อย ปกติก็ไม่มีที่อยู่แล้ว แต่ก็ยังจะซื้อมาติดอี๊ก
    ปล2.ช่วงโยโกฮาม่าตอนกลางคืนไม่ค่อยได้ถ่ายรูปไว้เลย เพราะตอนเดินเล่นพกแต่โทรศัพท์(ซอยที่พักค่อนข้างเปลี่ยวไม่ขอเสี่ยงเอาของไปเยอะๆ) แต่สุดท้ายก็ปลอดภัยดีนะ ไม่โดนขโมยอะไร
  • (17)

    โฮสเทลที่นี่เตียงอย่างนุ่มเลยตื่นสายนิดหน่อย ต้องเอาแรงไปเผื่อเที่ยวในโตเกียวด้วยแหละ แถมแพลนวันนี้ก็ไม่แน่นมาก เน้นหาข้อมูลคร่าวๆ เดินตามแมพ แล้วก็ค่อยไปตายเอาดาบหน้า(ซึ่งก็ทำมาทั้งทริปอยู่แล้ว 5555)

    โยโกฮาม่า เป็นเมืองโคตรใหม่และเจริญมาก ในตรอกซอกซอยต่างๆมีร้านรวงทุกที่ เหมือนทำธุรกิจตรงไหนก็เจริ
    ร้านราเมนที่ไปกินเหมือนวานยังปิดอยู่ เลยต้องลุยไปหากินเอาในสถานีรถไฟคาวาซากิ แถมยังหลงได้อีก เดินวนอยู่ยี่สิบกว่านาทีก็ยังไม่เจอทางเข้าสถานี 555555 แต่ไม่เป็นไร วันนี้เน้นเดินชิลๆ

    คืนก่อนได้แพลนมาจบที่เที่ยวแถวซากุระจิโช เป็นย่านโยโกฮาม่าเบย์ ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ฟูจิโกะเอฟฟูจิโอะด้วย แต่เพราะมันต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าที่ลอว์สัน แถมตู้เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน เลยไม่ได้ไป(ตอนแรกจะมาเสี่ยงซื้อที่ลอว์สัน แต่ด้วยสถานการณ์ต่างๆมันทำให้ไม่ได้ซื้อ ถ้าตั้งใจจะมาให้เอเจนท์ซื้อที่เมืองไทยมาเลยนะคะ)

    พอมาถึงสถานีซากุระจิโช เราก็เดินจ้ำมา cupnoodle museumก่อนเลย อันนี้เป้าหมายหลักในการมาโยโกฮาม่าเลย
    ประมาณว่าเป็นที่จัดแสดงประวัติของบะหมี่ตั้งแต่ซองแรกของโลกที่เกิดที่ญี่ปุ่น หรือเฮียใหญ่ต้นคิดก็คือนิชชินนั่นแหละ(รู้สึกว่าได้บะหมี่เขาประทังชีวิตมาหลายงาน เลยต้องมารำลึกบุณคุณถึงที่สักหน่อย)

    แต่อากาศตอนนั้นร้อนแบบ ร้อนโคตรอ่ะ แดดส่องแรงๆเหมือนเมืองไทยเลย แถมอยู่ใกล้ทะเลอีก มันเลยร้อนแบบอับๆแปลกๆ
    จนมาถึงพิพิธภัณฑ์ก็รีบซื้อตั๋วเตรียมเข้าเลย(500เยน) แอร์เย็นมากกกก มีร้านค้าดักเงินตามเคย(แต่ไม่ได้แดก เพราะงบหมด55555) 
    เข้าไปข้างในส่วนของประวัติที่จัดแสดงบะหมี่เรียงกันเยอะๆอันนี้โคตรดี แต่ที่เหลือก็ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจหรืออินอะไรมาก (อาจเพราะไม่เข้าใจที่เขาจะสื่อมั้ง) แต่เมนหลักคือ มันมีที่ให้ทำบะหมี่ถ้วยเองอ่ะ ฟิลนี้รู้สึกเหมือนตัวเองได้เป็นผู้ประกอบการอะไรสักอย่าง5555+ เสียเพิ่มไป300เยน เลือกเครื่องแบบหมูหมากาไก่มากๆ(ปูอัดปลาแผ่นไรงี้ ทั้งๆที่มีเนื้อกุ้งเนื้อปลาจริงๆให้เลือก พอกลับไทยมาใส่น้ำร้อนแล้วกิน เฮ้ยยยย แม่งอร่อยวะ อร่อยกว่าที่ซื้อกินเป็นถ้วยๆแพงๆตามกูร์เม่ต์อีก ไม่รู้ว่าเป็นอิทธิพลของการเลือกของเองหรือเปล่า หรือความเห่อส่วนตัวก็ไม่รู้)

    คนคิดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนแรกของโลก
    อ่ะ...ไหว้พ่อสิลูก
    วิวจากระเบียงพิพิธภัณฑ์นิชชิน มองเห็นอ่าวโยโกฮาม่า สวยลมเย็น และแสงแดดแผดเผาร่างกายเบอร์ใหญ่สุด มีพ่อแม่พาลูกๆมาเที่ยวหลายครอบครัวมากๆ

    พอหมดจากส่วนนี้ ก็ขึ้นไปชั้นที่คล้ายๆกับศูนย์อาหาร ปกแต่งแบบมืดๆหน่อย เหมือนรวมร้านจากทั่วเอเชียมาไว้ด้วยกัน แล้วมาปรุงบะหมี่รสต่างๆให้กิน เลยลองชิมของอินโดมาหนึ่ง อร่อยดีๆ เป็นหมี่โกเรงที่มีกุ้งมีผักพร้อม 

    พอกินหมดแล้วพึ่งสังเกตจริงจังว่ามีประเทศไทยด้วย55555 ป้ายสังกะสีกับเก้าอี้พลาสติกกลมๆนี่โคตรไทยอ่ะ เลยสั่งต้มยำกุ้งมากินอีกอัน หน้าร้านเคลมว่าเผ็ดสี่ดาว(ร้านอื่นไม่มีดาวเลย) พอซดไปปุ๊ป .....
    .....ก...ก็ดีมั้ง
    มีเครื่องมีรสครบ ก็...ก็โอเคอ่ะ แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันต้มยำ แต่มันก็อร่อยเว้ย(อาจจะเป็นรสชาติไทยๆอันแรกที่ได้กินในรอบสี่วัน เลยถวิลหานิดหน่อย) มีกุ้งมีเห็ด แถมพนักงานถามว่าเอาผักชีไหมเราส่ายหน้า เขาคงงงว่ากะเหรี่ยงคนนี้ไม่ใช่คนญี่ปุ่นแน่ๆ ไม่งั้นมันต้องขอเพิ่ม 55555555(เคยได้ยินเขาเล่ามาว่าคนญี่ปุ่นเขากินผักชีโหดมาก แต่มานี่ยังไม่เคยเห็นคนชอบกินเบอร์นั้นเลยนะ เอ๊ะหรือยังไง)

    ลุกออกมาจากศูนย์อาหารโดนไป280เยน ตัวเบาจ้า นี่ยังไม่ได้ลองชิมไอติมบะหมี่นิชชินเลย เสียดายจนถึงทุกวันนี้(ไอติมราคาเท่ากับต้มยำนั่นแหละ เสียดายอยู่แต่ให้อภัยเพราะเมล่อนโซดารีฟิลที่แถมมาอร่อยดี)

    รวมๆแล้วเราไม่ว้าวกับที่นี่เท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าวิวจากชั้นสามมันมองเห็นอ่าวโยโกได้ชัดมาก อีกอย่างคือเขาพยายามครีเอตของที่ระลึกใหม่ๆมานำเสนอ เช่นบะหมี่รสชาติที่หาซื้อที่อื่นไม่ได้(หนึ่งในนั้นก็คือรสต้มยำกุ้ง....จร้า แปลกมากจร้า) เปเปอร์โมเดลทรงบะหมี่ถ้วยที่เขียนจดหมายข้างในได้(เอาไปส่งให้ใครวะ5555) หรือว่าจะเป็นบะหมี่ถ้วยที่สามารถรียูสถ้วยมากินเรื่อยๆได้(แต่ก็ต้องมาซื้อเส้นบะหมี่กับเครื่องที่นี่ แล้วใครมันจะไปซื้อกินวะ555) ฯลฯ

    สุดท้ายก็เลยเดินออกมาแล้วเข้าไปเจิมห้างที่อยู่ใกล้ๆแทน ชื่อประมาณPorter’sซัมติงนี่แหละ แบบเป็นห้างรวมๆทุกอย่างออกแนวมาบุญครอง ไม่ไฮโซมาก แล้วก็ไม่บ้านมาก
    แต่คือวีรกรรมล่าสุดของเราคือสายชาร์ตพังครับ อันละร้อยซื้อจากเน็ตมา พังสนิทแน่นิ่งมากๆ(จากราคาก็สมควรแล้วล่ะ)... แล้วแบตหมดไปตั้งแต่เข้านิชชิน คือแอบเคว้งมากอ่ะเพราะไม่มีโทรศัพท์ไว้หาข้อมูลกับดูแมพ แต่ด้วยพลังอะไรไม่รู้ดันเชื่อว่ามันต้องมีร้านขายแน่ๆเลยลุยเข้ามาที่ห้างนี้ต่อ
    พอดูชั้นล่างเจอร้านแบบบ้านๆร้านนึง ขายทุกอย่างที่ลดราคา ของถูกจนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เดินทั่วร้านแล้วเจอป้าคนนึงเม้าท์อยู่กับคนแถวนั้นแหละ น่าจะเป็นเจ้าของร้าน ได้ของจากร้านป้ามาคือ กระเป๋าคล้ายๆกระเป๋าสายรุ้งมีสายสะพายหลังด้วย กับกระเป๋าถือสีดำขนาดพอดีๆอย่างละ2ใบ 
    ...
    บ....ใบละ50เยน
    ....
    ..
    50เยนนนนนนนนนนนนนนนนน กระเป๋าคัตติ้งเนียบใบละ15บาท!!

    ป้า... ทำไมป้าไม่มาเปิดร้านแถวโอซาก้าก่อนละคร้าบบบบบบ จะได้กวาดให้เรียบเลย
    (ตอนนี้กระเป๋าทั้งหมดได้โอนไปเป็นเครื่องบรรณาการทางบ้านเรียบร้อย แม่กับป้าใช้บ่อยกว่าใบละ9000เยนที่ซื้อให้อีกอ่ะ....)

    พอขึ้นไปชั้นบนก็เจอร้าน100เยน แบบเปิดมิติใหม่มากๆ(ไปคันไซไม่ได้เข้าร้านแบบนี้เลย มาเจอจริงๆจังตอนไปคันโตนี่แหละ)
    ราคา30บาททั้งร้าน แถมคุณภาพเทพกว่าไดโซะบ้านเราหลายขุม
    ได้สายชาร์ตไอโฟนมาจากร้านนี้นี่แหละ(ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ เสียบได้ด้านเดียว ซิงค์ข้อมูลลงเครื่องไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ30บาทจะเอาอะไรมาก ล่าสุดไปพันธ์ทิพย์ซื้อสายชาร์ตมา120บาท ตอนนี้ขึ้น no support device ไปแล้ว)

    สรุป มานี่อาหารแพง แต่ได้ของถูกแฮะ เลิฟ

  • (18)

    ก่อนออกจากห้างPorter’sซัมติงอะไรนั่น ก็ลองแวะซื้อสตาร์บัคดู ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจริงๆ เผื่อมีแบบเมนูที่ขายเฉพาะญี่ปุ่นเท่านั้นอะไรเงี้ย

    พอเข้าคิวสั่ง พนักงานมองด้วยหางตา แบบมึงแต่งตัวอะไรมา(ก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์แหละ คือหน้าก็ปอนๆอยู่แล้วด้วย) แต่ก็ยื่นเมนูให้ดูตอนรอต่อคิ
    คิดว่าพูดภาษาอังกฤษไปเขาก็คงไม่สื่อสารกับเราอยู่ดี(คนญี่ปุ่นเก่งภาษาอังกฤษนะ แต่หลายๆคนเลือกพูดภาษาญี่ปุ่นกับเรา เราเลยเอามั่ง...ตัดบทไม่พูดมันเลยตั้งแต่แรกเลย55555) พอถามว่าสั่งเลยไหมคะ เราก็จิ้มๆไปว่าเอาอันนี้ (สตรอเบอรี่ครีมปั่นประมาณนั้น คนข้างหน้าก็สั่งเหมือนกัน) 

    เขาก็พยักหน้าแล้วก็ถามอะไรสักอย่างเป็นภาษาอะไรไม่รู้ใส่(ภาษาอังกฤษสำเนียงณี่ปุ่นล่ะมั้ง) เราก็ทำหน้างงๆใส่กลับไป(ทุกครั้งที่ไปสั่ง ถ้าจับใจความว่าเขาพูดญี่ปุ่นใส่ เราก็จะทำหน้างงใส่แม่งเลย จะได้รู้ว่านี่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นนะ เป็นการตัดบทสนทนา แล้วมันก็ออกมาดีทุกครั้งนะ555) เขาก็ทำหน้าเซ็งใส่ 555555 อ่าวเจ้ ทำไมทำงั้นล่ะ แค่ไม่รู้เรื่องว่าเจ้พูดอะไรมันผิดขนาดนั้นเลยหรออออ

    เขาก็รับเงินแล้วก็ให้ไปยืนรอทางนู้น(ช่องรับเครื่องดื่ม) เราก็รอๆไป คนข้างหน้าที่สั่งเหมือนกันก็ได้แล้ว พนักงานถามอะไรสักอย่าง พอลูกค้าพยักหน้าเขาก็เอาซอสช็อคโกแลตราดลงไปด้วย วะว้าวอลังการ เดี๋ยวพอถึงตาเราเดี๋ยวทำมั่ง แค่พยักหน้าใช่มะ
    ...สรุป ไม่ถงไม่ถามอะไรตูสักคำ ปั่นเสร็จใส่แก้วยื่นเลย ไรว้า
    กะว่าอร่อยแน่ๆ ดูดเต็มๆคำไปเลย ผลลัพธ์คือจืดง่ะ.....ไม่เข้มข้นเลย สตรอเบอรี่ก็งั้นๆ ดูห่วงของมาก
    ให้รางวัลอาหารมื้อ(อัน)แรกที่มาญี่ปุ่นแล้วพูดว่าไม่อร่อยได้เต็มปาก...

    โดนแดกไป570เยน ....170กว่าบาท โคตรเสียดายเลย

    พอกินๆไปได้สักพัก(ด้วยความเสียดาย) ก็เหลือบไปเห็นข้างแก้วเขียนด้วยปากกาpermanentว่า “THANK YOU :)”
    เราก็ยิ้มๆว่า เขาก็เอาใจใส่ดีนะ แต่จู่ๆก็นึกย้อนไปภาพตอนที่สั่งกับแคชเชียร์...
    ...
    เอ๊ะ...หรือที่เขาถามแล้วเราฟังไม่ออก...ตอนนั้น
    ...
    ...เขาถามชื่อเราเพื่อเอาไปเขียนที่แก้วป่ะวะ....
    ....
    เจ้ เค้าขอโต้ด
  • (19)

    เราเดินเท้าเที่ยวต่อตอนบ่าย หวังว่าจะมาฝากท้องกับไชน่าทาวน์

    ครับ...กะเหรี่ยงไทยจะมาเที่ยวไชน่าทาวน์ที่ญี่ปุ่น

    ดูข้อมูลมามันเป็นย่านของกินประมาณนั้น คือตอนแรกนึกว่าจะหลงนะ(เพราะเดินตามแมพแล้วมันก็มักจะพาเราหลงเสมอ) แต่พอเดินมาได้2-3โลเริ่มเข้าใกล้ย่านแล้ว มันจะมีสัญญาณให้รู้เลยว่า เรามาถึงแล้ว
    ในที่สุดก็มาถึงประตูที่เป็นแลนด์มาร์คว่ามาถึงไชน่าทาวน์แล้ว แต่ไม่บอกก็รู้ เพราะคนจีนมหาศาล แต่ที่อึ้งกว่าคือคนญี่ปุ่นเยอะกว่าคนจีนสองเท่า เป็นย่านที่คึกคักมากๆ มีเสียงตะโกนเรียกแขกตลอดเวลา เราก็แอบชอบบรรยากาศแบบนี้นะ เพราะเท่าที่ไปมาแต่ละย่านที่ญี่ปุ่นจะออกแนวเงียบๆมากกว่า

    มีร้านอาหารสองข้างทางเลือกไม่ถูกว่าควรจะกินอะไร คือถ้าเป็นแถวบ้านเรา อาหารจีนจะออกแนวหูฉลาม ผัดผัก แนวไหหลำ เซี่ยงไฮ้ ติ่มซำอะไรประมาณนั้น แต่ที่นี่เขาค่อนข้างฮิตเสี่ยวหลงเปาอ่ะ
    คล้ายๆเซาลาเปา แต่แป้งออกแนวใสนิดหน่อย พอกัดไปก็จะมีน้ำซุปปรี๊ดออกมาพร้อมกับไส้หมูสับอะไรก็ว่าไป ที่นี่ฮิตมาก มีทุกซอย ซอยละ50ร้าน ตั้งคู่กับชานมไข่มุกไต้หวัน รายนี้ก็ไม่แพ้กัน ทั้งซอยมีแค่สองอย่างนี้เท่านั้นแหละ

    แต่ถึงจะแข่งขันกันโดยสมบูณ์ ทุกร้านก็ยังมีคนต่อแถวเยอะมากเว่ย ออกมาเกะกะนอกร้านตรงทางเดิน ให้บรรยกาศที่คุ้นเคย(ไทยแลนด์มายโฮมทาวน์) เยอะจนไม่กินแม่ม(อันนี้ก็เสียดายอยู่ที่ไม่ได้ลิ้มลองเสี่ยวหลงเปามาสักร้านเลย อดอีกแล้ว)

    สุดท้ายมาจบที่ขนมจีบหมูอันเขื่อง ไม้นึงมีสามชิ้นแต่ชิ้นใหญ่มากกกก คือตอนแรกหิวข้าวมากเลย ท้องนี่แบบร้องแล้วร้องอีก พอกินไปได้อันครึ่งก็อิ่ม 5555555 คือให้ความรู้สึกคาร์โบไฮเดรตเต็มคำมากๆ รสชาติไม่โอเคสักเท่าไหร่แต่ถ้าให้คะแนนอาหารประทังชีวิตเอาไปสิบสิบสิบ

    หลังจากนั้นเน้นเดินเล่นถ่ายรูปมากกว่า พอเดินเลยมาสักพักก็เป็นย่านใหม่คือย่านโมโตะมาชิ เอาเป็นว่ามันคือย่านยุโรปของแพงแอบไฮโซอ่ะ

    ลองนึกภาพแบบแบรนด์เสื้อผ้าออกแนวญี่ปุ่น ไม่ได้เรียบหรูจนขนาดชาเนลหรือหลุยส์วิคตอง เอี๊ยมแบ๊วๆ เสื้อเชิ้ตลายทางเก๋ๆ กางเกงผ้ามัดย้อม หมวกคุณหนูตีกอล์ฟแนวๆนั้น แต่พอพลิกป้ายมาราคาตัวละ3000บาท อ...อั่ก (มีร้านzaraกับH&Mอยู่ในซอยด้วย)
    นอกนั้นก็เป็นร้านขนมปังออกแนวโฮมเมดทำใหม่ๆหอมๆ ร้านกาแฟแนวการ์เด็นน่านั่งจิบกาแฟย่ามบ่าย คือแต่ละร้านเป็นแนวแบบศิลปินนักออกแบบเป็นคนมาเปิด จะมีแมพใหญ่เอาไว้แนะนำตำแหน่งร้านซึ่งออกมาน่ารักดี คนญี่ปุ่นแถวนี้ก็จะนิยมหาหมามาเดินเล่น เจอเจ้าตูบตัวใหญ่เท่าเอวเรามานั่งรอเจ้าของด้วย น่ารักมาก
    เอาเป็นว่าเราไม่ได้อะไรจากถนนสายนี้เท่าไหร่นอกจากเดินเอาดีไซน์จนอิ่ม แต่พอดีได้หลงเข้าไปในร้านกิ๊ฟช็อปอาจจะติดสติ๊กเกอร์ลิขสิทธ์ออกมาสองสามแผ่นซึ่งปกติมันก็แพงอยู่แล้ว แค่นั้นก็ไม่ได้อะไรมาก พอสุดถนนก็เจอสถานีพอดี นั่งรถไฟเพื่อไปชินโยโกฮาม่าต่อชินคันเซ็นแล้วก็เข้าเมืองโตเกียวต่อ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in