เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไม่ได้ตั้งใจทริป : KANSAIไปKANTOeiijay_
อินาริ-นาระ-ยาลดน้ำมูก
  • (11)

    วันถัดมา ตื่นเช้าโคตรรรรร
    เพราะต้องรีบมาอาบน้ำห้องน้ำรวมไร้ประตูอันนั้นต่อ
    โชคดีที่วัฒนธรรมที่นี่เขาไม่อาบน้ำตอนเช้ากัน เลยมีเราใช้ห้องน้ำคนเดียว อิอิ รอด

    วันนี้แพลนเที่ยว2เมือง เกียวโตใต้กับนาระ
    (ถ้าดูจากเทรนแมพมันจะไปทางเดียวกัน เลยจัดไว้วันเดียวกัน) แต่จริงๆต้องนั่งย้อนกลับมาสถานีเกียวโตเพื่อนั่งชินคันเซ็นไปลงโยโกฮาม่าอีกรอบ ย้อนแย้งสัส แต่แพลนไว้แล้วเลยลองเชื่อใจตัวเองในอดีตดู-___-;(ตัวตนที่ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับญี่ปุ่นจริงๆ)
    วัดอินาริเป็นวัดที่อยู่แถวเกียวโตใต้ ลงสถานีอินาริถึงเลย แถมเข้าฟรี(ปกติวัดจะเก็บค่าเข้า200-300เยน ซึ่งแพง วัดหนองตาแต้มก็ไม่เห็นจะต้องเก็บเลย)
    ถือว่าวัดนี้เป็นตัวเริ่มทริปเลยก็ว่าได้ อยากไปเห็นกับตาตัวเองสักครั้งว่าไอ้เสาแดงที่คนมันชอบไปถ่ายรูปบ่อยๆของจริงมันจะเป็นยังไง

    เริ่มมาตอนเช้าหนาวมากกกกกก อุณหภูมิ17องศา ทรยศเสื้อระบายความร้อนของมูจิที่ซื้อมาจากไทยมาก(รู้งี้ซื้อแบบฮีทเทคมาดีกว่า)

    ที่วัดนี้มีแต่เด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา ตั้งแต่อนุบาลยันม.ปลาย มีของดีๆให้ชมได้ตลอดทาง(นิปปอนบอยบันไซ.../เช็ดกำเดา)

    แล้วก็ตามคำบอกเล่า เสาแม่งโคตรเยอะ เยอะมากกกกกก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นกระโจมเล็กๆกระจุกเดียวไว้ถ่ายรูปลงอินตาแกรมเฉยๆ ที่ไหนได้ มีทั้งภูเขา!
    ทางเดินขึ้นเขาที่วัดจัดให้ไว้ชมธรรมชาติแบบมรดกโลก ราวๆ3-4กิโลได้(สัมผัสด้วยความรู้สึก เพราะมันยาวมากกกก แล้วต้องขึ้นเขาเป็นระยะๆอีก) ทั้งหมดล้อมไปด้วยต้นไม้ลำธารและภูเขา มีไอ้เสาแดงๆนี่ทุกถนนที่เดิน!

    โอ้ย ความลงตัว...ความเล่อค่านี้ แทบตายได้ตรงนั้นเลย

    (ไปแอบเห็นค่าติดตั้งเสา แบบว่าบริจาคเท่านี้ๆจะได้เสาเป็นชื่อของตัวเองตั้งไว้ด้วย ราคาเริ่มต้นที่แสนเจ็ดเยน หรือราวๆห้าหมื่นกว่าบาท ราคากันเองมั่กๆๆๆ-___________-)

    แต่เดียวก็ต้องไปนาระอีก เลยรีบเดิน ถ่ายรูปมานิดๆหน่อยๆพอแก้อยาก

    (11.5)
    .
    .
    ความมาคนเดียวแต่อยากถ่ายกับเสาแดงแต่ไร้ขาตั้งกล้อง...

    ตอนแรกๆที่มาญี่ปุ่นก็อายนะ แบบเข้าไปขอเขาให้ถ่ายรูปให้มันก็เขินๆอยู่ พออยู่ไปสักพักมันจะเริ่มชินและเลเวลอัพ เริ่มมีประสบการณ์ในการเลือกคนมาถ่ายรูปให้ คัดเลือกแคนดิเดทได้มาคุณสมบัติประมาณนี้
    1.นักท่องเที่ยวพกกล้อง 2.มึงต้องไม่ใช่คนญี่ปุ่น 3.มากับเพื่อนไม่เกิน1คน(เยอะกว่านั้นอายมาก ตอนที่เขาถ่ายให้แล้วเพื่อนทั้งคณะรอพี่แกคนเดียวซึ่งถูกเรารั้งเอาไว้)

    สูตรนี้ใช้ได้มาตลอดที่โอซาก้า อย่างที่ถ่ายตัวเองกับปราสาทโอซาก้าหรือแม่น้ำที่อาราชิยาม่าได้สำเร็จสวยงาม(รูปหน้าปกเรื่องนี้และป้าไบค์เกอร์คนนั้นถ่ายให้)

    เอาวะ! ทักฝรั่งเลย ดูมีอายุและมีพุงหน่อยๆ มากับแฟนอีกคน แถมพกกล้องมาด้วย กล้องดิจิตอลเฉยๆก็โอเคแหละ น่าจะถ่ายเราได้....

    ฟัคคคคค... ผลลัพท์ออกมาเป็นภาพแรก....(นางแบบน่ากลัวหน่อยอย่าพึ่งตกใจ 5555)
    เบลอจนระบุไม่ได้ว่าเป็นใคร....
    เซย์แต๊งกิ้วแล้วจรลีหนีมาไกล

    อ่ะ...เราผิดเองแหละ น่าจะเลือกคนผิดแฮะ
    ทีนี้เล็งใหม่ เอาคนที่มีกล้องDSLRเลย มึงต้องเล่นเป็นแน่ๆ(ทั้งทริปพกcanon eos 100dเลนส์ซูมไปถ่ายตัวเดียว)
    เจอชาวไต้หวัน(มั้ง) มากับเพื่อนอีกคน เรานี่ยื่นกล้องให้เลย เหยื่อมาแล้ว ทำมือควั่บๆๆ(โบกกว้างๆ คือจะเอาวิวด้วยง่ะ) เขาก็ตอบโอเคๆๆๆ
    พอพี่แกจะถ่าย พี่แกเล่นปรับใหม่หมดเลย เราก็บอกว่าจัสต์พุทดีสบัททอลลลลล มึงกดปุ่มนี้พออออ..
    พี่แกสวนกลับมาว่า ด้อนวอรี่ ไอยูสแคนนอน ยูสดีสแบรนด์ทู....

    อืม..โอเค มึงการันตีว่าใช้แคนน่อนเหมือนกันใช่มะ อ่ะ ไว้ใจได้แหละ รีบวอร์มหน้าเตรียมถ่าย
    ฟ้าบบบบบ... รูปออกมาเป็นภาพที่สอง...

    พี่.........พี่ถ่ายแสงดีนะ
    ....
    แต่มุมกับจังหวะกดชัตเตอร์พี่โคตรเลวเลย
    ให้ยิงฟันยิ้มก่อนก็ไม่ได้...

    มาอินาริไม่ต้องถ่ายรูปคู่กับวิวก็ได้
    ...เนอะ
    /เก็บเงินซื้อขาตั้งกล้อง

    (11.5)
    โอโคโนมิยากิที่วัดอินาริ
    หลังจากที่หลุดออกมาจากป่าเสาแดง4กิโลเมตรจนได้ ร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรตด่วนมาก
    ข้างนอกมีร้านขายของประมาณแนวๆงานวัดญี่ปุ่น เห็นคนกินเยอะดีเลยเข้าชาร์ต ด้วยเงิน500เยน
    สถานที่ซื้อ : วัดอินาริ โซนงานวัด
    ราคา : 150บาท
    คอมเมนต์ : คาดหวังคาร์โบและโปรตีน แต่สิ่งที่ได้คือกะหล่ำปลีฝอยทั้งหัว และเศษปลาคัตสึโอะโรยหน้าที่ลมพัดเบาๆก็ปลิวหายไป กินแก้หิวได้ เน้นอิ่ม แต่เลี่ยนมาก หาคนหารสักสามคนกำลังดี
  • (12)


    นาระเมืองแห่งกวาง
    เชี่ย...กวาง กวาง กวาง
    กวางเต็มไปหมดดดดดดดดด
    กลัวแล้วววววววว
    อันนี้คือเมืองอันดับสองที่ตั้งใจจะมา จึงเกิดทริปนี้ขึ้นมาได้
    ผลลัพท์การมาครั้งนี้ คาดหวังว่าจะได้มีตติ้งกวางอย่างเอ็กคลูซีฟ ถ่ายตอนให้อาหารกวางสวยๆแบบเซเลฟ เอาให้ใกล้จนสวนสัตว์เปิดยังอาย
    เอาเข้าจริงแล้ว....
    อาหารกวางราคา150เยน.........
    อ...อาหารกวางแพงกว่าข้าวเที่ยงที่กูซื้อมากินอีก...

    ประกอบกับมีเสียงเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษาแถวนั้นให้อาหารกวางแล้วกรีดร้องอย่างโหยหวนจากที่กวางกัดเสื้อเพื่อแย่งอาหารจากมือ.... ห...เห็นกับตาแบบสามมิติ

    เลิกล้มความตั้งใจแทบจะทันที ไหนบอกว่าน่ารักๆเชื่องๆวะ อ่ะ ถ่ายรูปอย่างเดียวก็ได้ เลือกตัวที่ดูนอนอย่างสงบๆหน่อย...
    ....ใกล้อีกหน่อยดีกว่า หน้ากูไม่เข้าเฟรมเลย
    ....มุมเสยๆหน่อย ต้องใกล้กวางอีกนิดดดดด

    งับ
    ...
    ...
    เสียงโดนงับเบาๆของถุงพลาสติกในมือเราที่มีอาหารเที่ยงของเราอยู่ในนั้นด้วย ถูกกวางตัวนั้นดึงยื้อแย่งจะแดก
    กวาง : ตูจะแดกกกกกกกก(กัดยื้อถุงพลาสติกไว้)
    ม่ายยยยยยย อาหารเที่ยงหนูววววววววว
    อาหารแกก็แพงกว่าตั้งเยอะ ไม่ไปกินอันนั้นละห๊ะ!
    ไอ้ติ่งที่ยื่นๆออกมานั่นคือรอยกัดมัน หลักฐานคาหนังคาเขา
    ถึงจะปล่อยถุงแต่..
    ถอยห่างค่ะ เลิกเป็นมิตรกับสัตว์โลกทุกชนิดชั่วคราว
    ภาพประกอบข่าว : กวางผู้ต้องหาที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้หลังจากที่พยายามแย่งของกลางไป
  • (13)

    วัดโทไดจิ
    ไร้ที่ติ โนคอมเมนต์ เป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การมาชมอ่ะ

    ที่เห็นนั่นคือโบสถ์ข้างในหลังจากที่ผ่านประตูใหญ่มาแล้ว ใหญ่มากกกกก ลองเทียบสเกลกับคนที่ยืนติดกับตัวโบสถ์เอาก็ได้ อลังการจริงๆ
    ถึงเราจะไม่ใช่สายบุญ แต่ถ้ามานาระแล้วก็แวะมาเยี่ยมเถอะ ไม่เสียดายแน่นอน
    ค่าเข้า : 300เยน
    ที่จริงมีพิพิธภัณฑ์นาระที่จัดแสดงวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นทั้งหมดไว้ด้วย แต่เข้าไปได้แป็บเดียวก็ต้องกลับ เวลามีน้อยจริงๆ

    (12.5) 
    ไดฟุกุไส้ถั่วแดงแปะสตรอเบอรี่หน้าวัดโทไดจิ
    ราคา : จำไม่ได้อ่ะ 250เยนมั้ง เอาเป็นว่าราคาโอเคจนควักเงินลองชิมอ่ะ
    คอมเมนต์ : กัดแล้วลอยได้ อร่อยน้ำตาไหล ยกให้เป็นของหวานอร่อยที่สุดในทริปเลย อ่ะลองคิดดู
    ปล. เดินออกมาจากหน้าวัด เข้าซอยนาระที่เป็นทางผ่านไปขึ้นสถานีรถไฟ เจอแม่งตั้งขายเหมือนกันเลยแต่ราคา200เยน ถูกหลอกฟันไป50เยน ฟัคยูว

    (12.5)
    เนื้อปริศนาชุบแป้งทอด เขียนไว้ว่าอิกะ
    สถานที่ซื้อ : ลอว์สันในซอยช็อปปิ้งนาระ
    ราคา : อันนี้ลืมจริงๆ ไม่น่าเกิน130เยนแน่ๆ(เกินกว่านี้ไม่ซื้อค่ะ งบบานปลาย)
    คอมเมนต์ : เนื้อปริศนา เขียนว่าอิกะ นึกขึ้นจากมันสมองกะเหรี่ยงได้ว่ามันแปลว่าเนื้อปลาเปล่าวะ แบบฟิชแอนด์ชิปไรงี้ เลยลองจิ้มมาดู จ่ายเงินเสร็จ...
    กัดคำแรก เฮ้ย เหมือนเนื้อไก่เลย กินไปเรื่อยๆ เอ๊ะ เหมือนปลามากกว่ามั้ง อะไรของมันวะ

    พอกลับมาไทยนึกขึ้นได้เลยเสิร์ชดู...
    อิกะแปลว่าปลาหมึก....

    หร๋าาาาาาา ปลาหมึกจริงหร๋าาาาา
  • (14)
    เราป่วยว่ะคุณ

    การมาญี่ปุ่นแล้วทรมาณที่สุดคือสุขภาพเราเดาน์จนถึงขีดสุด
    สัณนิษฐานไว้ว่าเพราะเราไม่เคยได้รับเชื้อหวัดจากญี่ปุ่นเปล่าวะเลยเป็นหนักเลย
    วันนั้นหลังจากกลับมาจากเกียวโต-กิอน พอถึงโรงแรมเรานอนเลย ไม่วางแผนอะไรทั้งนั้น
    นอนเอาแรงให้หายก่อนดีกว่า

    วันที่ไปเกียวโตเริ่มมีน้ำมูก ไอบ่อยขึ้น ยิ่งไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวมา เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนขนาดที่ว่านั่งรถไฟมาห้าสถานีแล้วเราไอไม่หยุด เสียงดังด้วย คนญี่ปุ่นมองหางตานึกว่าเป็นตัวแพร่เชื้อวัณโรค
    แย่อ่ะ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
    เลยเสิร์ชตอนนั้นเลยว่าต้องไปหาหมอที่ไหนยังไง

    สรุปกูเกิ้ลไปๆมาๆ คนญี่ปุ่นเขาไม่หาหมอกันอ่ะ เหมือนเขาเน้นดูแลรักษาตัวเอง นอนพักที่บ้าน กินอาหารร้อนๆ

    โอ้ยยย มาคนเดียวมันไม่มีตัวเลือกขนาดนั้นป่าววะ

    เลยวัดใจเสิร์ชชื่อยาในเน็ตเลย ก็มีเว็บไทยนี่แหละเขาบอกว่ายาตัวนี้ๆที่ญี่ปุ่นใช้ลดน้ำมูกกับขับเสมหะด้วย

    เอาวะ ลองสักตั้ง... พอมาถึงนาระเลี้ยวเข้าร้านขายยาเลย
    พรึ่บ /โชว์รูปที่เซฟมาให้กับแคชเชียร์
    เขาก็พยักหน้างึกๆแล้วก็เดินหายไปหลังชั้นวางของ แล้วกลับมาพร้อมกับความหวังใหม่ในการหายขาดจากโรคนี้(สักที)
    /เราพยักหน้า อ่ะจ่ายเงินเลย
    ตาเหลือบไปเห็นชุดยูคาตะเขาเอามาลดล้างสต็อกอ่ะ มีทั้งเสื้อและกางเกง สวยด้วย ผ้าก็ดูดี เอ่อเว้ย ซื้อไปฝากพ่อสักชุดดีกว่า ราคาก็ไม่แรงประมาณ1490เยน(ไม่เกิน450บาท)
    อ่ะคิดรวมเลยค่ะ กำลังจะควักเงินจ่าย...

    เครื่องคิดเงินโชว์ยอดเงินรวมทั้งหมด 3090เยน!!!!!
    เหยดแม่มมมมม ค่าอะไรวะเนี่ย!!!
    โอ้วววววว ค่ายาลดน้ำมูก1600เยน!!!
    ยาลดน้ำมูกบ้านมึงสิ กล่องละ480บาท!!!

    ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยว์

    ตอนนั้นกรีดร้องในใจแบบนี้เลย แต่มือก็ต้องขยับจากตอนแรกจะใช้เหรียญจ่าย กลายเป็นว่าต้องแตกแบงค์หมื่นเยนใบใหม่...

    พอใส่ถุงออกมาถึงกับต้องหยิบออกมาดูอีกทีพร้อมใบเสร็จ... ร..เรื่องจริงหรอเนี่ย ไม่ได้ฝันไปใช่มะ....
    คิดถึงทิฟฟี่แผงละ7บาทบ้านเราเลยอ่ะ...
    ยาเชี่ยไรแพงกว่าชุดยูคาตะวะ....

    พอทำใจได้แล้วก็กินดะเลยครั
    สามเวลาหลังอาหาร กะเอาให้หายแน่ๆ

    ได้ผลลัพท์ที่แน่นอนสองอย่างคือ
    หนึ่ง.. ยาลดน้ำมูกทำให้ง่วง พอขึ้นรถไฟปั๊ป หลับปุ๊ปเลย เกือบนั่งเลยป้ายหลายครั้ง
    สอง.. กลับมาไทยแล้วก็ยังไม่หาย
    ของเขาดีจริงๆนะครับ เจ้านาย

    -----------------------จบพาร์ทคันไซ----------------------

    แถม สาระที่สุดเท่าที่เคยพิมพ์ม
    แนะนำให้แพ็คยาตั้งแต่เมืองไทยไปเลย ลงทุนหน่อยแต่ตัวเองน่าจะรู้ว่าเราเป็นอะไรบ่อย ถ้าท้องเสียง่ายก็ติดยาธาตุไป(ระวังเกิน100ml) ถ้าปวดหัวง่ายก็เอาพาราไปสักแผงเถอะ อาจจะมีเว็บแนะนำว่าไม่ต้องหอบอะไรไปมากมายไปซื้อเอาที่นู้นก็ได้ เราว่ามันไม่ใช่อ่ะ นิสัยชอบหอบถ้าเป็นเรื่องยาอ่ะดีแล้ว ไปซื้อที่นู้นต้องเสี่ยงกับยาที่ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้หรือเปล่า ถ้าแพ้หนักนี่โคตรเวิร์สเคส สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลย หมอที่ญี่ปุ่นไม่รับหาหน้างานอยู่แล้วจนกว่าเราจะล้มไปแล้วมีคนโทรเรียกรถพยาบาล
    **ห้ามซื้อยากินเองส่งๆแบบนี้ นี่ซีเรียสนะเนี่ย แต่เราจนมุมจริงๆเพราะเป็นหนักมากๆ แล้วลงแพลนเที่ยวไว้ทุกวัน มันเลยเสียเวลาไม่ได้เด็ดขาด**

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in