ซื้อตอนแรกเพราะมันน่ารักดี 55555 อ่านป้ายไม่ออกหรอกว่ามันไส้อะไร เลยเดาๆว่ามันคือไส้ถั่วแดง หวานๆน่าจะอร่อยดีเลยจัดสะ สรุปมันคือไส้ซากุระอ่ะ อร่อยดีๆ หวานๆ ลอยๆนิดนึง พอเอามาอบกับเตาอบที่ครัวโคตรได้ อยากจะซื้อเตาอบแบบนี้มาไว้ที่บ้านเลย
รถไฟมันเอาพวกแอลกอฮอล์ไปกินได้เหมือนเครื่องดื่มปกติเลย ครั้งนั้นเลยเป็นการนั่งรถไฟที่เมามาก5555 ถึงจะกินไม่หมดกระป๋องก็เถอะ(ขมเกิ๊น) จำได้เลยว่าจังหวะที่ลุกไปเอากระเป๋าท้ายขบวน เดินเซมากยั่งกะคนเมา
เราเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมตั้งแต่หกโมงเช้า ต้องรีบมาเพราะกลัวมาหลงที่สนามบินเหมือนตอนขามาที่ดอนเมือง ซึ่งเราไม่มีโอกาสให้พลาดแล้ว ถ้าเจอาร์พาสหายแถมตกเครื่องอีกคงไม่รู้จะซวยเบอร์ไหนแล้ว
แต่โชคดีคือมันง่ายกว่าตอนขามา เพราะแอบอ่านรีวิวมาแล้วบวกกับป้ายบอกทางก็โอเคสมกับเป็นประเทศญี่ปุ่นเลยมาถึงเคานต์เตอร์เช็คอินอย่างสวัสดิภาพ เอากระเป๋าโหลดเสร็จก็ได้เวลาเดินเที่ยวรอบๆสนามบิน (กระเป๋าโหลดรวม15กิโล มีที่ถือขึ้นเครื่องอีก สวยๆ)
ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเครื่องบินรอบเช้ามันถึงถูกวะ คือตอนขามาอ่ะนั่งแบบรอบเที่ยงคืนถึงแปดโมงเช้าก็คิดไว้ว่านอนให้อิ่มแล้วตื่นมาเที่ยวเลย แต่พออยู่กับเบาะแล้วไม่ได้นอนทั้งคืนมันแย่ไปหมดเลยอ่ะไอ้ตั๋วรอบเที่ยงคืนนี้ดันแพงกว่าตอนกลับ ซึ่งได้นั่งสบายๆชมวิวตอนเช้าได้อีกก็เลยงงว่าทำไมมันถูกกว่าวะ แต่ที่ไหนได้ มันถูกเพราะสนามบินยังไม่เปิดเว้ย 555555 คือมันเข้าไปช็อปปิ้งอะไรก่อนไม่ได้เลยต้องรอให้ที่ตรวจพาสปอร์ตเปิด กว่าจะเปิดก็เจ็ดโมงครึ่งไปแล้ว
ระหว่างนั้นเราก็ไปเดินเล่นรอที่ห้างร้านแถวๆนั้น(พร้อมใจปิดกันทุกร้าน เปิดจริงๆราว9-10โมง) แต่มันมีอยู่โซนนึงที่เข้าไปได้คือ โซนให้ที่คนที่มาส่งยืนดูตอนเครื่องเทคออฟ หรือก็คือจุดชมวิวดีๆนี่เอง อากาศดาดฟ้าหนาวมาก ลมพัดหอบความเย็นมาตลอดเวลา ...แต่พอมายืนอยู่แล้วก็สงบใจดี มีช่างกล้องตั้งกล้องโปรถ่ายเลย ทุ่มทุนมากๆ เราก็แอบเก็บภาพสองสามแชะแล้วก็รีบเข้าอาคาร ก็หนาวง่ะ
พอด่านเปิดก็พร้อมที่จะเข้าไปช็อปปิ้งดิวตี้ฟรีข้างใน เจอแต่ขนมล่อตาล่อใจดีแท้(ได้โตเกียวบานาน่ากับโมจิอีกกล่อง สรุปว่าไม่ต้องไปดองกี้โฮเตะก็ได้ ซื้อในนี้แหละแถมจะขนขึ้นเครื่องบินเท่าไหร่ก็ได้อีกไม่นับกิโล) แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรมาก มาคนเดียวถือคติเงินเหลือดีกว่าหมดเกลี้ยง
ใกล้ถึงเวลาก็ไปรอที่บัสเกต มีรถบัสวนไปส่งที่เครื่องบิน อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งขึ้นเครื่องแล้วที่พีคคือทริปนี้เราไม่ได้พกซื้อกันหนาวไปไง โคตรโชคร้าย กอดอกสั่นพั่บๆๆๆรอขึ้นเครื่องอยู่พักใหญ่
พอขึ้นแล้วก็ยังหนาวอีก เลยต้องเสียเงินขอเช่าผ้าห่ม150บาท แต่คุ้มค่ากว่าที่คิด เพราะถ้าไม่มีผ้าห่มอาจจะเป็นไฟล์ทที่ทรมานหนาวสุดนรกแน่ๆ
ขากลับเลือกที่ติดทางเดิน จะได้ออกไปเข้าห้องน้ำสะดวก แต่คนที่อยู่แถวข้างในเราเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าเราอีก555555(คนไทยเหมือนกันแม่ลูกให้คำปรึกษาเราเกี่ยวกับการกรอกใบตม.ด้วย เย่ ขอบคุณค่ะ) ขอเขายื่นมือออกไปถ่ายรูปที่หน้าต่างหนึ่งแช๊ะเพื่ออำลาน่านฟ้าญี่ปุ่น...
....
บ๊ายบายโตเกียว...บ๊ายบายญี่ปุ่น
....
คำพูดสุดท้ายที่ออกมาจากดอนเมืองกับคำพูดสุดท้ายที่ออกจากญี่ปุ่น ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่
...ต่างก็เป็นความโล่งใจจากสถานที่ที่ได้จากมา
พอถึงไทย กลับมาเจออะไรเดิมๆ ตั้งแต่ลงมาจากเครื่องบินอากาศก็โคตรร้อน เจอป้ายสนามบินที่มีภาษาไทยตัวใหญ่ เจอตม.ไทยไล่เรามาออกที่ช่องสำหรับคนไทย เจอการจัดการสนามบินที่โคตรไม่เป็นระเบียบโดยมีคุณป้าพนักงานพูดภาษาไทยไล่เราให้ไปออกอีกช่องหนึ่ง ...ออกมาข้างนอกต้องมารอรถเมล์สายA1เพื่อกลับไปลงหมอชิต ..มีแต่คนที่พึ่งออกมาจากสนามบินโหนเบียดกันแน่น....
เราขึ้นไปนั่งบนรถเมล์คันนั้น กระเป๋ารถเมล์เดินมาเก็บเงิน30บาทตามเดิม เราควักเงินบาทไทยออกมาหลังจากที่ไม่ได้ใช้มานานเกือบสัปดาห์...
......จู่ๆเราก็ยิ้มออกมา
เราเบื่อที่ๆเราอยู่ แถมเป็นคนไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบท้าทายค้นหาอะไรใหม่ๆ มีโอกาสก็จะออกเที่ยวตลอด พอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็แก้ไขปัญหาด้วยการนั่งเครื่องบินหนีอะไรแย่ๆมาจากไทย แต่พอตอนกลับมาที่ๆเราคิดว่ามันแย่ก็โล่งใจเหมือนกันที่ได้กลับมายัง"บ้าน"จริงๆของเรา...
ญี่ปุ่นครั้งแรก...ไม่เหมือนกับที่วาดฝันไว้ทุกอย่าง
อยากจะอยู่ต่อ แต่ก็ไม่ได้อยากกลับไป... เป็นความรู้สึกที่แปลกดี
ขอบคุณที่มอบอะไรให้ได้คิดอีกหลายๆเรื่อง
อะริงาโตะโกะไซมัส.
(24.5)
เหตุเกิดที่สนามบินดอนเมือง
ขากลับคิดว่าคงไม่ได้ถ่ายอะไรในเครื่องแล้วเลยเอากล้องวางไว้ในที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ พอตอนลงก็หยิบรีบๆไง เพราะมันมีคนรอเราหยิบของด้วยเลยไม่ได้สังเกตอะไร
พอมารอกระเป๋าที่โหลด(ซึ่งนานมากเพราะข้างนอกฝนตกเลยขนกระเป๋ามาไม่ได้) พึ่งสังเกตว่าฝากล้องมันหายไป เลยไปติดต่อที่ฝ่ายติดตามสิ่งของของแอร์เอเชีย กลายเป็นเรื่องใหญ่เลย พี่เขาโทรตามให้ยกใหญ่ คือเครื่องมันเข้าอู่ไปแล้ว(เรียกว่าอู่ป่ะวะ555)มีแค่วิศวกรเท่านั้นที่เปิดเข้าไปดูได้บลาๆๆๆ เชี่ยยยย เรื่องใหญ่เกินไปหรือเปล่าวะ แค่ฝากล้องเองนะ555 สรุปสุดท้ายก็บอกว่าไม่เป็นไรค่ะแล้วก็ออกมาก่อนเพราะกลัวกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแบบตอนไปตามหาเจอาร์พาสที่สถานีตำรวจ หลังจากนั้นได้มาซื้อฝากล้องใหม่เลยซื้อแบบมีเชือกคล้องเลย สบายใจ
/จบบริบูรณ์.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in