First touchpoint ก็คือไป meeting ของชมรม
ก็คือไปพบกับสมาชิกเกือบทั้งหมดนั่นแหละ ดูรวมๆ แล้วน้อยเหลือเกินแม่ ก่อนเริ่มงานก็มีให้เต้น ซึ่งเพลงที่เต้นมันไม่มันส์เลยยยยย ไอ้เราก็เป็นเด็กสายสันทนาการ เพลงไม่มันส์ก็เต้นไม่ได้ดิ แล้วแกมาให้เราเต้นเพลงฝรั่งจังหวะเนิบๆ เนี่ยนะ What are you doing!?
Meeting ชมรมครั้งแรกของเรา ในช่วงเทอม 1617
ก็เป็นการมีตติ้งที่ให้ทำความรู้จักกับคนในชมรมเป็นส่วนใหญ่ พูดแต่ภาษาอังกฤษ ไอเราก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เราชอบภาษาอังกฤษนะ แต่ไม่ค่อยได้ใช้พูดมากกว่า ยิ่งม.ปลายยิ่งแล้วใหญ่ เราเริ่มเอียนกับการเรียนแกรมมาร์ เรียนเพื่อเอาไปสอบแกท สอบโอเน็ต 9 วิชาสามัญงี้ สอบสนทนาก็คือจำอย่างเดียวแล้วเอาไปพูดสอบ มันใช่เหรอวะ?
แล้วช่วงบ่ายของวันก็เป็นช่วงของการแบ่งงาน เราอยากทำงานเกี่ยวกับการทำเอกสารวีซ่า (อ้าว ไหนบอกอยากฝึกภาษา) แต่งานที่ได้ทำจริงๆ คือ...
Matching
เรียกง่ายๆ ก็คือ สัมภาษณ์คัดเลือกชาวต่างชาติที่จะมาทำโปรเจคท์สอนหนังสือในไทยนั่นแหละ
ยอมรับเลยว่าถึงแม้จะอยากฝึกภาษา แต่เราโคตรกลัวที่จะพูดกับชาวต่างชาติ เรากลัวฟังเขาพูดไม่รู้เรื่อง เรากลัวพูดกับเขาแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เราอ้างสารพัดว่าคอมไม่มีกล้อง แต่พี่ก็บอกว่าใช้มือถือสัมภาษณ์ก็ได้นะ เราก็หมดข้อแก้ตัวเพราะสมาร์ทโฟนมันทำได้ไงแก ฮือ
ถามคำถาม ฟังคำตอบ เอามาคิดวิเคราะห์ว่าควรผ่านหรือไม่ผ่าน
ดูเหมือนง่ายป้ะ? แต่ตอนนั้นแม่งยากสำหรับเราจริงๆ นะเว้ย
บวกกับตอนก่อนสัมภาษณ์จริงๆ เราไปเที่ยวฮ่องกงช่วงรับปริญญากับครอบครัว เราเป็นคนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษได้ วางแผนการเดินทางเองทุกอย่างตลอดระยะเวลา 4 วัน 3 คืน ตอนไปเที่ยวก็คือพูดตะกุกตะกักมากแม่ แม่ให้ไปถามอะไร เราก็ไม่กล้าไปถาม กลัวพูดไม่ถูก กลัวผิดแกรมมาร์
มีแต่ความกลัวเข้าครอบงำจิตใจ
และเพราะความกลัวนั่นแหละที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไรสักที
พอกลับถึงไทย เป็นช่วงทำงานสักที คนแรกที่เราตัดสินใจสัมภาษณ์
เขาคือคนอินเดีย
แกนึกออกใช่มั้ยว่าสำเนียงเป็นยังไง...
เวลาคุยในแชท ฮีจะชอบเรียกเราว่า Ma'am ตลอด ตอนสัมภาษณ์เราถึงกับเอาผ้ามาปิดหน้าปิดตา เพราะกลัว ตอนนั้น mindset for Indian people เราแย่มาก เราเคยคุยแชทกับคนอินเดียจำนวนหนึ่งตอนม.ปลายในแอปหาเพื่อน (ไม่ใช่หาผัวนะ!) แล้วพวกนี้เป็นคนชอบคนง่ายมาก คุยเล่นไปมาจะบอกเราออกแนวว่า "I like you" "I love you" เราก็แบบ วอทเดอะฟัค! มึงยังไม่เคยเห็นหน้าตากูเลย มาบอกว่าชอบกูแล้ว กูพอเลย จบ
พอมาถึงช่วงสัมภาษณ์ เออสำเนียงเขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ดูเป็นคนสุภาพ ตอบคำถามดี ตัดสินใจให้เขาผ่านแต่มายกเลิกเอาตอนหลัง อ้าวเฮ้ยยยยย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา
หลังๆ ก็ได้สัมภาษณ์คนชาติอื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนอินโด คนจีน คนมองโกเลีย สัมภาษณ์ในหอสมุดมหาลัยก็ทำมาแล้ว ทำไปทำมา เฮ้ย มันสนุกดีว่ะ เริ่มชอบมันแล้วว่ะ
และแล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญก็มาถึง
โครงการสวัสดีไทยแลนด์รอบที่ 21
เราไปรับต่างชาติที่สนามบิน คนเนปาล 1 คนและคนอินโด 2 คน ไฟลท์ไม่ดึก
แก๊งต่างชาติ (Kunchok ผู้ชาย, Taqiya ใส่ฮิญาบ และ Amelya คนขวาสุด) เราคนกลางและพี่บัวเป็นบัดดี้
ไม่ดึกเหี้ยไรล่ะ ไฟลท์อินโดดีเลย์ 1 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที จากที่บอกว่าไม่ดึกก็คือดึกแล้วค่ะ กว่าจะรอตม.ออกมา กว่าจะได้กระเป๋าบนสายพาน นั่งร้องไห้กระซิกๆ ที่ประตู 3 แล้วอินโดก็ออกมาประมาณ 3 ทุ่มค่ะ สุดยอดไปเลย ช่วงระหว่างที่รอ 2 คนนี้ เรากับพี่บัวก็คุยกับ Kunchok ฆ่าเวลา ถามว่ากินไรมั้ย ฮีก็บอกว่าไม่กินๆ ไม่หิว เราก็ขอโทษขอโพยที่ให้รอนานน้า พอทุกคนออกมาก็อุ่นใจทั้งสองฝ่ายแล้ว เย้ๆ
ระหว่างทางไปที่พัก พี่บัวไปกับ Kunchok and Taqiya ส่วนเราแยกไปกับ Amelya คือเราคุยกับชีระหว่างทางเยอะมาก เรางงมากว่าเราพูดอังกฤษฟุดฟิดฟอไฟคล่องได้ยังไง คล่องกว่าตอนไปฮ่องกงอย่างเห็นได้ชัด เราคุยจนรู้ว่าชีชอบเล่น soccer ชีชอบดาราไทยคนหนึ่งมาก คุยกันจนแท็กซี่หันมาถามว่า
"อ้าว หนูเป็นคนไทยเหรอ"
...ค่ะ หนูเป็นคนไทยนี่แหละค่ะ
หนูเหมือนไม่ใช่คนไทยเหรอค้า ;____;
พอถึงที่พัก เราบอกลา Amelya ขอให้เขาใช้ชีวิตที่ดีตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์นี้ที่ไทย ขอให้คุณครูใจดีกับเขา ขอให้นักเรียนตั้งใจเรียนและรักเขาเหมือนคุณครูคนหนึ่ง แล้วเราก็นั่งแท็กซี่คันนี้คันเดิมกลับบ้าน สรุปถึงบ้าน 5 ทุ่ม เลยเวลาเคอร์ฟิวครับผมมมมม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in