“ความจริง ฉันลำบากใจนะ ฮารุ... ฟังแล้วอย่าหัวเราะ” ลีโอเอ่ยขึ้น หลังจากที่เราต่างคนต่างนอนก่ายกันอยู่บนเตียงอยู่พักใหญ่ ลมหายใจของเขาเริ่มกลับเข้าสู่จังหวะปกติ เราต่างคนต่างรู้สึกเหนอะหนะนิดหน่อย แต่ยังไม่มีใครอยากผละไปจากอีกคนหรือลุกออกไปจากที่นอน
“เรื่องอะไรล่ะ” ผมใช้นิ้วสางเส้นผมสีเข้มแซมเทาของเขาที่ผมทำยุ่งจนไม่เป็นทรงยิ่งกว่าเดิมจากเดิมที่ไม่ค่อยเป็นทรงอยู่แล้วให้พ้นไปจากหน้าผากของเขา “อย่าบอกผมนะ ว่าเป็นเรื่องของชิ้นส่วนมนุษย์ในขวดโหลที่ทวิคแนม”
ลีโอเป็นคนที่ไร้ทักษะในการหลอกคนจริง ๆ นั่นละ หรืออาจเป็นเพราะผมอยู่กับเขามานานเกินไป
“คุณเสียดายที่จะต้องเปิดโหลแล้วเอาชิ้นส่วนพวกนั้นออกมาชันสูตร และอาจทำให้งานที่เคยสมบูรณ์แบบในฐานะงานศิลปะเสียหายใช่ไหม”
ดวงตาสีฟ้าของเขาที่เบิกกว้างขึ้นเป็นคำตอบว่า ใช่... เป็นคำว่าใช่ที่ชัดถ้อยชัดคำมาก ๆ แม้จะไม่ได้พูด
“ให้ตายสิ” ผมอดหัวเราะไม่ได้
“ไหนบอกว่าจะไม่หัวเราะ..." เขาท้วง แต่ตัวเขาเองก็ยิ้ม "แต่คุณพูดถูก ผมอดเสียดายไม่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานของอาชญากรที่พยายามเดินตามรอยศิลปะทางชีววิทยาของเฟรเดริค รุช และเป็นผลผลิตของอาชญากรรม แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพิพิธภัณฑ์นิติวิทยาศาสตร์”
พูดแล้ว เขาก็รวบตัวผมที่นอนซบอยู่เหนืออกเขาให้พลิกลงมานอนตะแคงหันหน้าเข้าหาเขา
“แต่ตอนนี้ผมต้องการคำอธิบายนะ คุณตำรวจว่า คุณรู้ได้ยังไงว่า ผมคิดถึงเรื่องนั้น แต่สาบานได้ว่า ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าตอนที่เรามีอะไรกัน”
“ลองคิดดูสิ” ผมแกล้งคาดโทษ แล้วถอนใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เราต้องรีบร้อนไปยังที่เกิดเหตุ
“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ลีโอ ในฐานะแพทย์ ในฐานะคนชอบพิพิธภัณฑ์...” ผมบอกเขาอย่างตรงไปตรงมา “ผมเองก็เสียดาย ถ้าไม่นับว่านี่เป็นสิ่งต้องสงสัยที่มีชิ้นส่วนมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง และถ้ามันเป็นของที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า หลงเหลือมาจากศตวรรษที่ 17 หรือในยุคที่สิ่งของพวกนี้ไม่ใช่ของพิสดาร ผมก็คิดว่ามันเป็นงานศิลปะ เป็นงานสร้างสรรค์ของนักชีววิทยาที่ควรเอาไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์หรือห้องแสดงตัวอย่างทางชีววิทยาของมหาวิทยาลัยที่ไหนสักแห่งหนึ่งเหมือนกัน”
“นายพูดสิ่งที่ฉันคิดออกมาหมดแล้ว”
นี่เป็นการกระทำที่ไม่เข้ากับหัวข้อที่เรากำลังคุยกันเอาซะเลย นิ้วของเขากำลังไล้ไปมาตามแนวสันหลังผม ในขณะที่เรากำลังคุยกันเรื่องพฤติกรรมของฆาตกรรมและแผนการชันสูตรชิ้นส่วนศพในโหลดอง
“ที่โหลแต่ละใบมีเลขแปะติดเอาไว้ด้วย แต่ไม่ใช่วันเวลา เหมือนเป็นรหัสอะไรสักอย่างที่พิพิธภัณฑ์ใช้กัน”
“นายคิดว่า คนทำมันขึ้นมามีส่วนเกี่ยวข้องกับห้องสมุดหรือพิพิธภัณฑ์หรือเปล่า”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบว่า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน “ตอนนี้มีความเป็นไปได้หลายอย่าง ผมยังไม่อยากยึดติดกับข้อสันนิษฐานอย่างใดอย่างหนึ่งจนกว่าจะได้ข้อมูลมากกว่านี้ ทั้งเกี่ยวกับเจ้าของบ้านที่ปล่อยขาย และชิ้นส่วนศพในโหล”
“แสดงว่านายมีอะไรอยู่ในใจแล้วใช่ไหม”
“อืม...” ผมรับ “แต่ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกหรอกนะ ตราบใดที่มือของคุณยังอยู่ไม่สุขขนาดนี้”
“รำคาญเหรอ” ปลายจมูกของเขาปัดใส่ปลายจมูกของผม
“เปล่า...” ผมตอบ “นี่คุณคิดว่า ผมจะทำ profiling อาชญากรรอดระหว่างที่คุณกำลังจะ...”
โอย ให้ตายเถอะ... คอนเฟอเรนซ์สองวันที่เดอแรม และอีกสามวันที่นิวคาสเซิลทำให้เขาเปลี่ยนจากเจไดกลายเป็นซิธลอร์ดบนเตียงไปได้ยังไงเนี่ย (แต่ผมไม่รังเกียจที่เขาเป็นแบบนี้นะ ไม่เลยจริง ๆ)
“ว่าต่อไปสิ”
“คนร้ายที่เราตามหาน่าจะเป็นผู้ชาย อยู่ตามลำพัง อาจมียานพาหนะเป็นของตัวเอง”
ผมคงจะไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าตอนนี้ เสียงหัวเราะของเขาไม่ได้สะเทือนอยู่บริเวณหน้าท้องของผม
“นิสัยล่ะ”
“รักสันโดษ มีความละเอียดอ่อน มีเซนส์... ด้านศิลปะ... มีความรู้ทางชีววิทยา... อาจมีประสบการณ์ด้านการสตัฟฟ์สัตว์หรือรักษาซากสัตว์... มากกว่าจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาศพหรือเอมบาล์มมิ่ง... ”
ผมเริ่มรู้สึกว่า เสียงของตัวเองขาดเป็นห้วง ๆ เมื่อรู้สึกว่าหนวดและเคราของคนร่วมเตียงเลื่อนต่ำลงไปเรื่อย ๆ
“บ้าเอ๊ย... ลีโอ... ผมทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้" ผมสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสที่ชักจะลงต่ำและเลยเถิดเกินไปแล้ว "คุณต้องเลือกแล้วว่า จะให้ผมหยุดพล่ามเรื่องคดีแล้วหันมาสนใจคุณ หรือคุณจะหยุดแล้วฟังผมพล่ามลักษณะของคนร้ายให้คุณฟัง”
แน่นอนว่า เขาเลือกข้อแรก ผมก็เช่นกัน
To be continued... Day 6: ตุ๊กตากระดาษ
----------------------------
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in