Uncle Wan's Story - เรื่องเล่าของลุงวัน
เราปิดท้ายวันอันแสนยาวนานนี้ด้วยการนั่งรถไปยังวัดแห่งนึงในตัวเมืองเสียมเรียบค่ะ เราไม่ทราบชื่อวัดที่แน่ชัดเพราะแอบฟังลุงวันแกไม่ค่อยออก พอแกถามว่าจะไปวัดไหมก็ตกลงว่าไปก็ได้เพราะดูท่าทีว่าแกอยากจะพาเราไป ก็คิดว่าคงมีอะไรน่าสนใจให้ดูนั่นแหละ
สภาพโดยรอบของวัดแห่งนี้ก็เหมือนกับวัดพุทธทั่ว ๆ ไปนั่นแหละค่ะ คล้าย ๆ กับวัดที่ไทยเลย แต่เห็นว่าเขามีติดป้ายไวนิลไว้รอบ ๆ ลุงวันแกก็จอดรถแล้วก็พาเดินดุ่ม ๆ เข้าไปให้เราอ่านตรงป้ายพร้อมกับชี้มืออธิบายเป็นภาษาไทยจับใจความได้ว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดที่เก็บกระดูกของชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตในช่วงสงครามกลางเมือง ค่ะ
"ตอนนั้นผมก็เป็นคนนึงที่โดนเกณฑ์ให้เข้าไปสร้างทางรถไฟ"
ลุงวันเริ่มต้นเล่าเรื่องราวความหลังของแกเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มให้ฟังว่า ณ ขณะนั้นที่เขมรแดงเข้าสู่อำนาจและกวาดต้อนประชาชนออกจากเมืองใหญ่และเกณฑ์ให้ไปใช้แรงงานในชนบท ประชาชนที่อยู่ในเขตเสียมเรียบและพื้นที่ใกล้เคียงถูกกวาดต้อนให้ไปก่อสร้างทางรถไฟ เพื่อใช้ขนส่งเสบียงและอาวุธสงคราม ลุงวันเล่าว่าเริ่มแรก เขาจะให้ทุกคนเอาเสื้อมาที่มีอยู่ไปย้อมโคลนให้เป็นสีน้ำตาล ทุกคนต้องใส่ทุกอย่างเหมือนกันหมด ทำงานทุกวัน ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้
"ผมโชคดี ไม่ตาย หนีเข้าเมืองไทย"
ช่วงที่เขมรแดงเริ่มล่าถอยและถูกปราบปราม ลุงวันหนีเข้ามาหางานในไทย ทำงานรับจ้างหลากหลาย ตั้งแต่งานกรรมการ ยาม เด็กเสิร์ฟ ทำไปเรื่อย ๆ หาเงินไปเรื่อย ๆ เก็บหอมรอมริบรอจนสงครามสงบ แกเลยกับมายังบ้านเกิด ซื้อรถสามล้อ แล้วเริ่มขับรถรับส่งตั้งแต่นั้นมา แต่งงาน สร้างครอบครัว มีลูก แล้วลูกสาวแกก็ไปแต่งกับพี่เดือน ขับรถพาเที่ยวจนมีคนไปรีวิวในกระทู้พันทิปจนเป็นที่รู้จัก แกถึงมีวันนี้
น้ำเสียงขณะตอนที่ลุงวันเราเรื่องราวในชีวิตช่วงที่อยู่ในค่ายคอมมูนนั้นแกก็ใช้น้ำเสียงสบาย ๆ ที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างตามสไตล์นั่นแหละ แต่หากเราสังเกตมองลึกลงไปในสายตาของคุณลุงแล้ว เราว่าภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อนยังคงฉายชัดอยู่ในใจ ยากที่จะลืมเลือนมันลงไปได้เลย แม้เวลาจะเป็นเครื่องเยียวยารักษาจิตใจให้คลายจากความเจ็ลปวด สิ่งที่เกิดขึ้นมากลายเป็นเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ของคนในชาติ แต่รอยแผลจากสงครามยังคงประทับชัดเจนอยู่ในใจของชาวกัมพูชาทุกคน เป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้ว และมันจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
เรายืนนิ่ง ๆ อยู่หน้าตู้กระจกที่บรรจุกระดูกของผู้ที่จากไปในเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่สักครู่ คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราพบมาตลอดช่วงที่เรามาเที่ยวที่นี่ ทั้งพิพิธภัณฑ์สงคราม พิพิธภัณฑ์กับระเบิดของคุณอากิระ ร้านอาหารเช้าที่เราชอบมาก ๆ เพราะเป็นร้านที่ทำเพื่อสังคมไปพร้อม ๆกับความรู้สึกที่ว่าภาพจำของเราที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้นั้นมันช่างแตกต่างกับสิ่งที่เรามาสัมผัสจริง ๆ มากเหลือเกิน
ภายใต้รอยยิ้มของผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี ความโอบอ้อมอารีที่หยิบยื่นให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองเสียบเรียบนั้น แท้ที่จริงแล้วที่นี่ก็ไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ในประเทศกัมพูชาที่ซุกซ่อนร่องรอยความบอบช้ำของอดีตสมรภูมิสงคราม ซึ่งสะท้อนผ่านพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ที่กระจายอยู่รอบตัวเมือง เรายังได้ยินได้ฟังเรื่องราวอันน่าหดหู่เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ และเห็นถึงความพยายามของคนรุ่นใหม่ที่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเหมือนคำสัญญาว่าจะช่วยกันเยียวยาคนในสังคมให้ผ่านช่วงเวลาอันขมขื่นและสูญเสียเพื่อให้ประเทศก้าวต่อไปโดยไม่ทิ้งใครอยู่เบื้องหลัง
นอกจากปราสาทหินที่วิจิตรงดงาม
มีความยิ่งใหญ่ เปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลังที่ตรึงตาแล้ว
เรื่องราวราวและเรื่องเล่าระหว่างการเดินทางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าตรึงใจ
ทำให้เราตกอยู่ในมนตร์เสน่ห์ของประเทศกัมพูชาโดยไม่รู้ตัว
และในคราวหน้าเราจะเล่าให้อ่านเกี่ยวกับปราสาทกลุ่มสุดท้าย
ที่เราได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมในทริปครั้งนี้นะคะ
แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าค่ะ
: )
-- ครั้งหนึ่ง ถึง นครวัด --
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in