ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของอินเดียใช้เวลานานพอควร เนื่องจากนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ผ่านกระบวนการนี้ เมื่อเดินออกจากพื้นที่ผู้คนที่หนาตาเมื่อครู่ ได้มลายหายไปเกือบหมดแล้วเหลือเพียงเราสองคน กระเป๋าเดินทางสีโอลด์โรสของฉันนอนแน่นิ่งอยู่บนสายพานเพียงลำพังในขณะของตะวันวางอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ พร้อมกับลายขีดกากบาทสีขาว
“พี่จันทร์!ทำไมกระเป๋าหนูไปอยู่ตรงนั้น!
เราสองคนรีบก้าวลงบันไดเลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็พอดีกับเจ้าหน้าที่ ที่รอเราอยู่แล้ว
“ไอสงสัยว่ากระเป๋าของยูมีเมล็ดพืชอยู่ในนั้น”
ภาษาอังกฤษสำเนียงแขกที่ฉันหวั่นใจนักหนาได้เริ่มขึ้นแล้ว
“ไม่มีนะ ไอไม่ได้นำของแบบนั้นมาด้วย”
ตะวันชี้แจ้งทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามบอกถึงข้อห้ามต่างๆนาๆ ที่เราฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่จะไม่รู้เรื่องเสียมากกว่า เมื่อเห็นว่าคืนนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วตะวันจึงเปิดกระเป๋าให้ดู จากนั้นมหกรรมแขกมุงก็เริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ให้ตะวันพลิกรื้อ กระเป๋าตัวเองอย่างเมามัน…สุดท้ายทุกคนก็ร้อง…
เราเดินออกจากตัวอาคารของสนามบิน พร้อมกับลมหนาวที่เข้ามาโอบล้อมเราไว้ราวเพื่อนสนิทที่เคยคุ้นนักหนา สัมผัสนั้นทำให้ร่างกายถึงกับสั่นสะท้านฉันมองหาป้ายชื่อตัวเอง หากทุกอย่างว่างเปล่ามีเพียงผู้คนแปลกหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษเพศแทบทั้งสิ้น มองหาสตรีก็เพียงเราสองคนเท่านั้น เมื่อรถของโรงแรมไม่มาตามที่นัดไว้ เราสองคนก็ใจเสียไม่น้อย
ครั้งแรก…ของการเดินทางไปต่างประเทศที่ไกลที่สุด
ครั้งแรก…ของประเทศที่ใครหลายคนให้นิยามว่าดินแดนปราบเซียน
“โทรไปถามที่โรงแรมดีกว่าพี่จันทร์อย่ารอเลย”
ในยามคับขันเช่นนี้ตะวันดูจะมีสติมากกว่าฉัน
“ฮัลโหล ฉันชื่อจันทร์จากประเทศไทย คุณได้ส่งรถมารับฉันที่สนามบินหรือเปล่า”
“ไม่”
คำตอบสั้นปนงัวเงียของผู้รับสาย ทำให้เราสองคนประจักษ์แล้วว่า‘
การตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในยามวิกาลเช่นนี้ คือความเด็ดขาด เป็นตายยังไงเราต้องไปถึงโรงแรมให้ได้ เพราะเราง่วง!
“500 รูปีมาดาม”
แท็กซี่ของสนามบินบอกราคา เราสองคนก็ไม่ต่อสักคำโซเฟอร์ในค่ำคืนนี้คือลุงแก่ๆในชุดกันหนาวสีหม่นทรงรุ่มร่าม แต่ท่าทางยังแข็งแรงแกขับพาเราสองคนออกจากสนามบิน สองข้างทางของเมืองจัยปูร์ในเวลาดึกสงัด ไม่มีรถอยู่บนถนนเลยสักคันดวงไฟตามทางไม่ได้สว่างไสวเฉกเช่นกรุงเทพฯ แม้แต่เขตเมืองใหม่ที่มีตึกสูงหลายแห่งกลับเปิดไฟไม่กี่ดวง ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีผับ ไม่มีร้านคาราโอเกะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต่างจากเมืองร้าง ฉันกับตะวันนั่งเงียบ
หัวใจของเราสองคนกำลังหวาดกลัว ต่อเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก กับชายแปลกหน้าในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
รถแท็กซี่พาเราผ่านเข้าสู่เขตเมืองเก่าตึกรามบ้านช่องเห็นเป็นเงามัวอยู่ในแสงสลัว เมืองกำลังหลับใหลราวต้องมนต์สะกดของรัตติกาลเมื่อรถจอดสนิทหน้าตึกหลังหนึ่ง ฉันมองป้ายชื่อโรงแรมที่มีดวงไฟเล็กๆส่องสว่าง
แต่ช่างเถอะ
แค่ซุกหัวนอนในคืนนี้ รอเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว
“ห้องหมายเลขเก้า”
เขาบอกฉันราวรับรู้การมาเยือนล่วงหน้าแน่ล่ะอีเมล์หลายฉบับที่ฉันส่งเข้ามาก่อนเดินทาง ย่อมประจักษ์อยู่ในใจผู้รับเป็นอย่างดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in