X-Men เป็นหนังที่สร้างจากการ์ตูนของมาร์เวลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งปี 2000 ก่อนที่จะมีการสร้างหนังยอดมนุษย์คนแสดงเรื่องต่อๆ มา จนบัดนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 20 ปีของแฟรนไชส์นี้ มีหนังออกมาแล้วมากกว่าสิบเรื่อง ปัญหาคือ หนังแต่ละเรื่องเกือบจะแยกเรื่องราวออกไปเป็นของตัวเอง และต่างก็แทบจะไม่ค่อยมีความต่อเนื่องกัน ทำให้เมื่อต้องดูต่อกันจะสับสนเพราะหาความเชื่อมโยงได้ค่อนข้างน้อย วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการดู X-Men ที่น่าจะงงน้อยที่สุด
วิธีลัด หากไม่มีเวลาแล้วจริงๆ ภาคใหม่จะเข้าโรงวันใดวันพรุ่ง แนะนำให้ดูแค่นี้ก็พอ
X-Men: First Class (2011)
X-Men: Days of Future Past (2014)
X-Men: Apocalypse (2016)
ที่เหลือยังไม่ต้องดู จากนั้นก็ไปติดตามต่อที่ X-Men: Dark Phoenix (2019) ได้เลย
ต่อไปนี้จะเป็นวิธีการดูแบบได้อรรถรสและไม่รู้สึกว่างงจนเกินไป ก่อนอื่นเราจะอธิบายลักษณะสำคัญของหนังแต่ละภาค และเส้นเวลาของจักรวาลนี้กันก่อนก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า หนังคนแสดงของ X-Men และ Fantastic Four นั้นลิขสิทธิ์สร้างหนังตั้งแต่ปี 2000-2019 เป็นของ ทเวนตี้เซ็นจูรี่ฟ็อกซ์ ฉะนั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับหนังในจักรวาลหนังมาร์เวลที่ทาง มาร์เวลสตูดิโอ ได้สร้างตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา และจะไม่เกี่ยวข้องกับจักรวาลของไอ้แมงมุมของ โซนี่/โคลัมเบีย ด้วยเช่นกัน
เริ่มจาก X-Men 3 ภาคแรกก่อน คือ
X-Men (2000)
X2 (2003)
X-Men: The Last Stand (2006)
3 ภาคนี้เนื้อเรื่องต่อกันเลย เข้าใจง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน
ต่อมาเป็น X-Men Origins: Wolverine (2009) อันนี้วางตัวเป็นภาคก่อนของ 3 ภาคแรก แต่กระแสการตอบรับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนแรกเริ่มเดิมทีทางฟ็อกซ์สตูดิโอมีแผนการจะสร้างหนังภาคแยกต้นกำเนิดของตัวละครเอ็กซ์เมนอีกหลายคน แต่ก็ต้องยกเลิกไป
ในปี 2011 ทางฟ็อกซ์ได้ตัดสินใจรีบูทแฟรนไชส์ โดยการให้แมททิว วอห์น มากำกับ ก็เลยเลือกจะทำหนังเล่าช่วงที่เป็นต้นกำเนิดของ X-Men จริงๆ ซักที โดย X-Men: First Class (2011) นั้นดำเนินเรื่องอยู่หลังจากฉากเปิดของ X-Men Origins: Wolverine (2009) และดำเนินเรื่องก่อนฉากที่เหลือของทั้งเรื่อง
ต่อมาหนัง The Wolverine (2013) จะมีฉากที่วูฟวี่ฝันถึงจีน เกรย์ อยู่บ่อยๆ เพราะหนังตั้งเป็นภาคต่อของ X-Men: The Last Stand (2006) โดยตรง ในขณะที่ฉากกลางเครดิตจะมีจุดเชื่อมไปยังภาคต่อไป คือ X-Men: Days of Future Past (2014)
ในภาคนี้ ไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้กำกับจาก 2 ภาคแรกสุด กลับมากำกับอีกครั้ง จึงทำการรีบูทในรูปแบบใหม่ที่ยังไม่ทิ้งเรื่องราวของภาคก่าๆ โดยใช้ลูกเล่นการย้อนเวลาแทน ทำให้เรื่องนี้เป็นทั้งภาคต่อของทั้ง The Wolverine (2013) และ X-Men: First Class (2011) ไปในตัว แต่ฉากจบเป็นการเปลี่ยนอดีต ที่จะทำให้ภาคต่อไปนี้ถูกนับเป็นโมฆะในไทม์ไลน์ใหม่ ก็คือ X-Men (2000) X2 (2003) X-Men: The Last Stand (2006) จะถูกจัดว่า 3 ภาคนี้เกิดขึ้นเพราะการแก้ไขอดีตไม่สำเร็จ ในขณะที่ภาคนี้เปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ เส้นเวลาจึงเปลี่ยนไป ภาคต่อจากนี้ไปจะดำเนินเรื่องราวในเส้นเวลาใหม่
ต่อมามี Deadpool (2016) ตัวหนัง ณ ขณะนั้นยังไม่รู้จะวางตัวอยู่ในจักรวาลหรือเส้นเวลาไหนในขณะนั้น จากปากคำของเดดพูลว่า จะให้ไปเจอศาสตราจารย์คนไหน สจ๊วต หรือแมคอะวอย ในปีเดียวกันมี X-Men: Apocalypse (2016) เป็นภาคต่อของ X-Men: Days of Future Past (2014) โดยตรง เข้าใจง่าย
ต่อมามี Logan (2017) โดยเจมส์ แมนโกลด์ ผู้กำกับ ตั้งใจให้เรื่องนี้อยู่นอกจักรวาล X-Men คือเกี่ยวข้องกับภาคอื่นน้อยที่สุด เป็นหนังเดี่ยวไปเลย แต่ถ้าดูจากเส้นเวลาแล้ว จะเกิดขึ้นหลังสุดของทุกภาค และใช้โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ที่เป็นแพททริค สจ๊วต
ต่อมาเป็น Deadpool 2 (2018) ต้นเรื่องมีการแซะวูฟวี่เรื่องหนังโลแกนดังระเบิดระเบ้อ ต่อมามีนักแสดงรับเชิญเป็นนักแสดง X-Men ฉบับรีบูท เป็นการตอกย้ำว่าหนังเดี่ยวของเดดพูลทั้ง 2 ภาคนี้อยู่เหนือทุกไทม์ไลน์ จะไม่เกี่ยวข้องกับไทม์ไลน์ของหนัง X-Men ไหนเลย ฉะนั้นจะหยิบมาดูตอนไหนก็ได้ไม่เสียหาย
จากนั้นจะเป็น X-Men: Dark Phoenix (2019) วางตัวเป็นภาคต่อของ X-Men: Apocalypse (2016) โดยตรง เข้าใจง่าย
ต่อไปนี้จะเป็นวิธีการดูที่เราจัดเรียงไว้ และคิดว่าค่อนข้างเวิร์ค โดยมีข้อแม้ว่าไม่จำเป็นต้องตามเรียงไทม์ไลน์ของหนัง หรือปีที่สร้าง ก็คือ
1. X-Men: First Class (2011) เป็นการเล่าจุดเริ่มต้นที่สมเหตุสมผล และสนุกสนานเพลินเพลิน ประกอบกับพาร์ทดราม่าที่ขัดเกลามาค่อนข้างดี
2. X-Men (2000)
3. X2 (2003)
4. X-Men: The Last Stand (2006)
5. The Wolverine (2013) หนัง 4 ภาคนี้ดำเนินเรื่องราวต่อเนื่องกันเข้าใจง่าย สามารถข้ามได้ถ้าไม่มีเวลา แต่ก็จะไม่เติมเต็มหัวใจ
6. X-Men: Days of Future Past (2014) เป็นภาคที่ต้องดู
7. X-Men: Apocalypse (2016)
8. Deadpool (2016) พักจากความตึงเครียดในภาคหลักมาปรับอารมณ์
9. Logan (2017) สามารถดูแยกเดี่ยวที่ลำดับไหนก็ได้ แต่ที่จัดไว้ตรงนี้เพราะมีความเหมาะสมที่สุดหลังจากที่เราผูกพันกับตัวละครวูฟเวอรีนมาหลายภาคแล้ว
10. Deadpool 2 (2018) ควรดูต่อจาก Logan และ Avengers: Infinity War เพราะมุกในเรื่องมีหลายจุดที่พาดพิงถึง
11. X-Men: Dark Phoenix (2019)
สำหรับ X-Men Origins: Wolverine (2009) แนะนำให้ดูเป็นหนังเดี่ยว หรือข้ามไปได้เลย เพราะรายละเอียดมีความขัดแย้งกับหนังภาคอื่นๆ พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นภาคแรก ภาค First Class แม้กระทั่งตัวละคร Deadpool เองด้วย จึงไม่ควรดูต่อกันกับภาคอื่น เราจึงต้องขอตัดภาคนี้ออกมาข้างนอกด้วย
จบจ้า หวังว่าจะสนุกและเพลิดเพลินกับจักรวาล X-Men ของฟ็อกซ์ ก่อนที่จะไปอยู่กับดิสนีย์เต็มตัว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in