จังหวัดเฮียวโกะ เป็นจังหวัดหนึ่งในภูมิภาคคันไซ ซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดโอซาก้า แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าจังหวัดโอซาก้านั้นได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างท่วมท้น แต่จังหวัดเฮียวโกะเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นอกจากจะอุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างภูเขาหรือทะเลแล้ว 'จังหวัดเฮียวโกะ' ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหาและมีอายุนานนับพันปี
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและน่าไปแล้วนั้น ความอร่อยของ ‘เนื้อโกเบ’ ก็น่าลิ้มลองเช่นกัน เราขอเคลมตรงนี้เลยว่าเนื้อโกเบคือดีมาก สามารถให้คำนิยามว่า ‘สีแดงที่ดีต่อใจ’ หรือ ‘เข้าปากปุ๊บ ละลายปั๊บ’ ได้!
แต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อความหลัก เราขออนุญาตให้เครดิตกับทีมงานคุณภาพ fromJapan ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆแบบนี้มาโดยตลอด และถ้าหากเพื่อนๆอยากอ่านบทความที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลและความรู้แบบนี้ ก็สามารถไปตำกันได้ที่ Official Website: fromJapan.info กันได้เลย~!
จังหวัดเฮียวโกะขนาบข้างด้วยทะเลญี่ปุ่นกับทะเลเซโตะ อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองท่าโกเบที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นตะวันตกกับญี่ปุ่นโบราณ หรือแหล่งโบราณสถานที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ร่วมพันปี รวมถึงบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียง
สำหรับการเดินทางมาที่จังหวัดเฮียวโกะก็ถือว่าสะดวกสบายไม่ใช่น้อย นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากจังหวัดใกล้เคียงมาได้
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีที่ไหนใน 'จังหวัดเฮียวโกะ' ที่น่าไปโดนบ้าง ฟอลโลมีเลยจ้า
Kobe Port Tower สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1963 ด้วยการออกแบบของบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นอย่าง Nikken Sekkei บริษัทดังกล่าวนี้นอกจากจะเป็นผู้ออกแบบ Kobe Port Tower แล้ว ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบหอโทรทัศน์ Tokyo Skytree ที่มีความสูงกว่า 600 เมตรด้วย รวมถึง Barcelona Camp Nou สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
ด้วยความแปลกแต่น่าสนใจของรูปทรงตึกที่คล้ายกับนาฬิกาทราย และการตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง สถานที่แห่งนี้จึงเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองโกเบไปโดยปริยาย
ภายในอาคารมีจุดชมวิวที่สามารถชมวิวของเมืองโกเบได้ทั่วทั้งเมือง และความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ Kobe Port Tower คือบนชั้น 3 จะมีคาเฟ่ที่หมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็ว 20 นาทีต่อ 1 รอบ ! จึงทำให้เราได้สัมผัสกับวิวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของเมืองโกเบได้อย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
ค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
ไหนๆก็จะมาที่นี่กันแล้ว รู้หรือเปล่าว่าในศาลเจ้าอิคุตะมีศาลเจ้าย่อยที่โด่งดังมากด้วยนะ ศาลที่ว่านี้ตั้งอยู่ภายในศาลเจ้าหลักและเป็นที่รู้จักกันในนามว่า ‘ศาลเจ้าประทานรัก’ เพราะในตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าแห่งการแต่งงานสถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ทำให้ใครก็ตามที่มาขอพรเกี่ยวกับความรักหรือขอพรให้ประสบความสำเร็จในชีวิตหลังแต่งงาน มักจะได้รับความสมหวังดังพรปรารถนา ซึ่งศาลที่ว่าก็คือ ‘ศาลเจ้า Matsuo-jinja’ นั่นเอง
และศาลเจ้าอิคุตะแห่งนี้ก็ยังมี ‘ต้นสนซีดาร์’ ที่เลื่องชื่อเรื่องเสริมดวงความรัก รักใครดูใกล้จะพัง หรือรักดีอยู่แล้วแต่อยากให้ดีกว่าเดิมก็ไปขอพรกันได้เลยนะจ๊ะ
อ่านข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับศาลเจ้าได้ที่นี่ > ขอพรความรักที่ศาลเจ้าอิคุตะและชมวิวกลางคืนสวยติดอันดับที่ภูเขามายะ
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
เว็บไซต์
Kobe Harbourland เป็นย่านการค้าและสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟ JR Kobe และริมน้ำของท่าเรือ Kobe ในพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และสถานบันเทิงต่างๆมากมาย บรรยากาศยามเย็นที่สุดแสนโรแมนติกทำให้ Kobe Harbourland เป็นที่เที่ยวยอดนิยมสำหรับคู่รัก รวมไปถึงนักท่องเที่ยวด้วย
ศูนย์การค้าที่โดดเด่นที่สุดในย่านนี้คือ Umie ซึ่งแบ่งพื้นที่เป็นสามส่วนคือ Mosaic, South Mall และ North Mall
และถ้าพูดถึงความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ จะเห็นว่าพื้นกระเบื้องบริเวณริมแม่น้ำได้นำเอาศิลปะแบบโมเสกมาตกแต่ง
ใน Kobe Harbourland แห่งนี้มีร้านอาหารหลายแห่งที่สามารถมองออกไปเห็นวิวของท่าเรือและตึก Kobe Port Tower ได้ นอกจากนี้ยังมี Kobe Maritime Museum และชิงช้าสวรรค์ที่พร้อมจะให้เราขึ้นไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แสนสวยงาม
สำหรับเด็กๆที่ชื่นชอบ Anpanman ต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์ Anpanman นะ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์มังงะและอนิเมะยอดนิยมอีกด้วย
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
ค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
กระเช้าลอยฟ้า Shin-Kobe เป็นหนึ่งในสามกระเช้าลอยฟ้าที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้ขึ้นเขาไปทางตอนใต้ของภูเขา Rokko ซึ่งจุดขึ้นกระเช้าลอยฟ้านี้อยู่บริเวณถัดจากสถานี Shin-Kobe
นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่แสนงดงามของโกเบได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเลยทีเดียว
เส้นทางของกระเช้าลอยฟ้า Shin-Kobe จะผ่านน้ำตก Nunobiki และสวนสมุนไพร Nunobiki
สวนสมุนไพร Nunobiki เป็นสวนสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เพราะนอกจากจะมีสมุนไพรหลายร้อยชนิดแล้ว ยังมีดอกไม้ตามฤดูกาลอีกด้วย เราสามารถเข้าไปชมในเรือนกระจกหรือในสวนได้เลย
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
ค่าธรรมเนียมสำหรับกระเช้า (9:30 - 17:00 น.)
เว็บไซต์
ในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้นได้มีชาวต่างชาติเข้ามาตั้งรกรากและทำการค้าในเมืองคิตะโนะแห่งนี้ ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา Rokko ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของอ่าวโกเบได้อย่างทั่วถึง จึงเป็นที่นิยมสร้างบ้านของเหล่าพ่อค้าชาวต่างชาติ เพราะพวกเขาเล็งเห็นประโยชน์ของทำเลทองแห่งนี้ ทำให้ Kitano Ijinkan-Gai เป็นเมืองท่าของโกเบที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกกับความเป็นญี่ปุ่นย้อนยุคได้อย่างลงตัว โดยจะเห็นได้จากบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บริเวณนี้จะมีความสวยงาม โดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ในย่านคิตะโนะมีคฤหาสน์โบราณ (Ijinkan) ที่ยังคงตั้งอยู่ในพื้นที่หลายหลัง ซึ่งเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็จะอยู่ระหว่าง 550 ถึง 750 เยน นอกจากเราจะได้รับชมบ้านเรือนสไตล์ย้อนยุคแล้ว ก็ยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านบูติกอีกมากมายให้เราได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ ย่านคิตะโนะจึงเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นและคู่รักชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
ค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
Kobe Luminarie คือเทศกาลชมไฟประดับที่จัดขึ้นเป็นประจำในช่วงฤดูหนาวของเมืองโกเบ ซึ่งการจัดแสดงแสงไฟที่สวยงามนี้มีจุดประสงค์เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบ (Great Hanshin earthquake) เมื่อวันที่ 17 มกราคม 1995
ผลกระทบของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบริเวณตอนใต้ของจังหวัดเฮียวโกะในครั้งนั้น ทำให้ชาวเมืองได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความมืดมิดและความสิ้นหวังนั้น แสงไฟประดับที่สุกสว่างขึ้นก็เป็นเสมือนตัวแทนแห่งความหวังและความฝันที่รอคอยการหวนกลับมาอีกครั้ง
นอกจากจุดประสงค์ของการจัดงาน Kobe Luminarie จะเป็นการถ่ายทอดความทรงจำที่เกี่ยวกับภัยพิบัติครั้งนี้ให้กับคนรุ่นหลังแล้ว งานนี้ยังเป็นเหมือนกับการจุดไฟส่งดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ไปสู่สุคติ
ในปีเดียวกันนั้นเอง เมืองโกเบได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลอิตาลีในการบริจาคหลอดไฟ โดยคำว่า ‘Luminarie’ เป็นภาษาอิตาเลียน มีความหมายว่า 'การจัดแสดงแสงไฟด้วยหลอดไฟดวงเล็ก'
ด้วยเสียงตอบรับและการชื่นชมจากสาธารณชน เมืองโกเบจึงจัดเทศกาล Kobe Luminarie ขึ้นอีกในปีถัดไปและจัดต่อเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน สำหรับจำนวนผู้คนที่เข้าชมงานในแต่ละปีนั้นมีประมาณ 4 ล้านคนเลยทีเดียว!
วิธีเดินทาง
พิกัด
ช่วงเวลาจัดงาน
เว็บไซต์
Arima Onsen เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงในเมืองโกเบ ซึ่งที่ตั้งของออนเซ็นนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับภูเขา Rokko
นอกจากเราจะสามารถตีตั๋วรถไฟแบบไปเช้าเย็นกลับ (โอซาก้า – โกเบ) ได้แล้วนั้น บรรยากาศแสนสงบของอาริมะออนเซ็นยังให้ความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติได้อีกด้วย สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่นิยมในวันหยุดของญี่ปุ่น
ด้วยประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 1,000 ปีของอาริมะออนเซ็น สถานที่แห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในรีสอร์ตน้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น โซนน้ำพุร้อนที่นี่แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ Kinsen (น้ำสีทอง) และ Ginsen (น้ำสีเงิน)
น้ำในบ่อคินเซ็นนั้นจะเป็นเฉดสีน้ำตาลเกือบทอง อันเป็นผลมาจากคราบเหล็กและเกลือที่ผสมกันอยู่ในนั้น มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังดีต่อผิวหนังเพราะสามารถรักษารอยแผลเป็นหรือรอยน้ำร้อนลวกได้ด้วย
ส่วนน้ำจากบ่อกินเซ็นจะประกอบด้วยธาตุเรเดียมอ่อนๆและคาร์บอเนต ทำให้เราเห็นน้ำในบ่อเป็นสีเงิน ทั้งนี้น้ำจากบ่อกินเซ็นยังได้รับการกล่าวขานว่าสามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยและความเหนื่อยล้า ช่วยเรื่องการกระตุ้นเซลล์ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนอาริมะออนเซ็นสามารถเพลิดเพลินไปกับการแช่บ่อน้ำพุร้อนได้ที่แหล่งอาบน้ำสาธารณะทั้งสองแห่ง หรือจะไปแช่น้ำร้อนในเรียวกังก็ได้ เพราะมีเรียวกังหลายแห่งเลยทีเดียวที่เปิดห้องอาบน้ำให้กับนักท่องเที่ยวขาจร โดยค่าบริการจะตกอยู่ที่ประมาณ 500 - 2,500 เยน
อ่านรีวิวเจาะลึกเกี่ยวกับ Arima Onsen ได้ที่นี่ > รีวิวออนเซ็นที่เก่าแก่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น Arima Onsen @Taiyo Hot Spring
วิธีเดินทาง
พิกัด
เว็บไซต์
เกาะอาวาจิ (Awaji island) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลเซโตะ อยู่ระหว่างเกาะฮนชูกับเกาะชิโกกุ โดยมีช่องแคบอากาชิและช่องแคบนารูโตะคั่นระหว่างเกาะทั้งสองกับเกาะอาวาจิ นอกจากเราจะสามารถเดินทางจากเมืองโกเบไปยังเกาะอาวาจิด้วยสะพานอากาชิไคเกียวได้แล้ว บริเวณช่องแคบนารูโตะยังเป็นแหล่งน้ำวนที่มีชื่อเสียงด้วย
คำว่า 'อาวาจิ' มีความหมายว่า 'เส้นทางสู่อาวะ' และอาวะก็คือชื่อมณฑลเก่าแห่งหนึ่งบนเกาะชิโกกุ ปัจจุบันอาวะเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดโทคุชิมะ
สำหรับความเชื่อและวัฒนธรรมของสถานที่แห่งนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเกาะอาวาจิเป็นหนึ่งในหมู่เกาะโอยาชิมะที่กำเนิดจากอิซานางิและอิซานามิ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและผืนดิน ผู้ให้กำเนิดโลกตามคติความเชื่อของลัทธิชินโต
สำหรับสถานที่ที่น่าสนใจและจะต้องไปให้ได้สักครั้งบนเกาะอาวาจินั้นมีหลายแห่งมาก ไม่ว่าจะเป็นออนเซ็น แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อย่างปราสาทสุโมโตะที่ตั้งบนเขามิกุมะยามะ รวมไปถึงเทศกาลอาวาจิที่จัดขึ้นทุกปี ซึ่งในงานเทศกาลก็จะมีขบวนพาเหรดรวมถึงการแสดงเชิดสิงโตด้วย
และอีกหนึ่งสถานที่ที่จัดว่าเป็นแลนด์มาร์กของเกาะอาวาจิก็คือรูปปั้นหัวหอมยักษ์ หรือ ‘อทตะมะเนงิ’ (ottamanegi) ซึ่งสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่อนุสรณ์สถานสะพานแขวนนารุโตะ อุซุโนะโอกะ (Uzu no Oka, The Great Naruto Bridge Memorial Museum)
หัวหอมอาวาจิเป็นผลิตภัณฑ์เลื่องชื่อของเกาะอาวาจิ เพราะมีรสสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำและหวานหอม หากใครอยากสัมผัสรสชาติอันแสนอร่อยนี้ ลองทานอาวาจิเบอร์เกอร์ได้นะ เพราะนอกจากจะได้ลิ้มรสของหัวหอมอาวาจิแล้ว เราจะยังได้ชิมเนื้อวัวอาวาจิอีกด้วย นอกจากนี้อาวาจิเบอร์เกอร์ยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดแฮมเบอร์เกอร์ในระดับประเทศมาด้วยนะ ถ้าไม่ได้ลองก็เท่ากับพลาดแล้วล่ะ
สำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ รักน้ำ รักปลา และสายลม ก็สามารถไปชมความงามของดอกไม้ตามฤดูกาลได้ ไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระที่วัดอนโจจิ แปลงดอกไม้ที่สวนอาวาจิฮานะสะจิกิ หรือทิวทัศน์ที่งดงามของเขื่อนยูสุรุฮะ
พิกัด
เว็บไซต์
ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดจากระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รวมไปถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในโกเบเมื่อปี พ.ศ. 2538
ปราสาทฮิเมจิได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น ร่วมกับปราสาทมัตสึโมโตะและปราสาทคุมาโมโตะ นอกจากจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว ปราสาทฮิเมจิก็มีความสง่างาม ดังจะเห็นได้จากสีขาวสว่างของทั้งตัวปราสาท จนได้รับฉายาว่า 'ปราสาทนกกระสาขาว'
ปัจจุบันปราสาทฮิเมจิได้รับการจดทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติของญี่ปุ่น อีกทั้งองค์การยูเนสโกยังยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในมรดกโลกที่สำคัญอีกด้วย
อ่านข้อมูลเจาะลึกเรื่องปราสาทฮิเมจิได้ที่นี่ > ชมซากุระฟูลบลูมที่ Himeji Castle ปราสาทดั้งเดิมสุดอลัง
วิธีเดินทาง
พิกัด
เว็บไซต์
สวนโคโคะเป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมในเมือง Himeji
ไฮไลต์ของที่แห่งนี้เห็นจะเป็นจุดชมวิวที่สามารถชมความสวยงามของปราสาทฮิเมจิได้ในมุมกว้าง เพราะสวนนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทฮิเมจิ
ภายในสวนโคโคะนั้นยังมีสวนย่อยอีก 9 แห่ง ทั้งนี้การจัดแต่งสวนย่อยแต่ละแห่งก็จะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน เช่น สวนย้อนยุคเอโดะ สวนสำหรับทำพิธีชงชา เป็นต้น ซึ่งสถานที่แห่งนี้มักถูกใช้เป็นฉากสำหรับละครทีวีและภาพยนตร์ย้อนยุค
ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนโคโคะก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารญี่ปุ่นแสนอร่อยตามฤดูกาล พร้อมทัศนียภาพที่แสนงามตาของสวนแห่งนี้ได้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นคัทสุอิเค็น (Kassui-ken)
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
ค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
วัดเอ็นโคจิ (圓光寺) ก่อตั้งในปี 966 บนยอดเขาโชชา (Shosha) ที่กว้างขวางและทอดตัวยาวหนึ่งกิโลเมตรในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ
ภายในสถานที่แห่งนี้มีอาคารและรูปปั้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาคารไม้ Daikodo, Jikido และ Jogyodo หรือจะเป็นรูปปั้นไม้ของ Shitenno ก็ดี ทรัพย์สินเหล่านี้ล้วนขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ทำให้ได้รับการทะนุบำรุงอย่างดีและสม่ำเสมอตลอดมา
นอกจากนี้วัดเอ็นโคจิยังเคยเป็นสถานที่ซึ่งใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai และ Musashi รวมถึง Gunshi-Kanbei ซึ่งเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศโดย NHK อีกด้วย
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
ค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
คิโนซากิ ออนเซ็น (Kinosaki Onsen) เป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงในแถบคันไซ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ 'จังหวัดเฮียวโกะ'
ตามตำนานเล่ากันว่าชาวญี่ปุ่นค้นพบเมืองคิโนซากิตั้งแต่สมัยอะซุกุ โดยค้นพบจากการเห็นนกกระสาขาวบาดเจ็บหนัก แต่กลับหายดีเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่บินไปรักษาตัวที่เมืองคิโนซากิ
แต่ประวัติความเป็นมาจากข้อมูลทางการบอกว่าเมืองคิโนซากิ ออนเซ็นเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในสมัยนารา น้ำพุแรกในคิโนซากิได้พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินหลังจากที่นักบวช (Dochi Shonin) รับคำพยากรณ์จากเทพประจำหมู่บ้าน (Shisho Myojin) และบำเพ็ญเพียรเป็นเวลา 1,000 ปี ทำให้ผู้คนในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าหากได้มาเยือนบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้แล้วจะทำให้สุขภาพดี เพราะนอกจากสถานที่แห่งนี้จะมีศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองอย่างวัดออนเซ็นจิแล้ว (Onsenji Temple) ยังได้มาสักการะดวงวิญญาณของนักบวชคนดังกล่าวด้วย
ต่อมาคิโนซากิ ออนเซ็นได้เป็นสถานที่เลื่องชื่อในสมัยเอโดะ เพราะได้รับคำชมจากนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นนามว่า ‘คากาวะ ชูโทคุ’ นายแพทย์กล่าวว่าคิโนซากิ ออนเซ็นเป็นสุดยอดเมืองน้ำพุร้อนของญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้นในปี 1909 ได้มีการขยายทางรถไฟสายซันอิ ความนิยมของเมืองคิโนซากิจึงทะยานขึ้นไปสู่จุดสูงสุดจนถึงปัจจุบัน
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องราวและความเก่าแก่เท่านั้น แต่ยังเป็นที่นิยมด้วยบรรยากาศย้อนยุคสุดชิลล์ที่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะพบบ้านไม้หลังเก่าตามทางเลียบกับคลองสายเล็ก หรือต้นหลิวที่ขึ้นเรียงรายเป็นริ้วทิวทัศน์ที่สวยงาม บนถนนมีผู้คนมากมายแต่งชุดยูกาตะ อีกทั้งสีสันในยามพลบค่ำก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดไม่แพ้กัน
และถ้าใครมีโอกาสได้มายังเมืองคิโนซากิ ก็อย่าลืมไปลองทานเมนูเด็ดอย่างปูมัตสึบะกับสเต็กเนื้อทาจิมะด้วยล่ะ
วิธีเดินทาง
พิกัด
เบอร์โทรศัพท์
เวลาทำการ
เว็บไซต์
ในช่วงหน้าหนาวที่เฮียวโกะนั้น ภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe) เป็นสถานที่อีกหนึ่งแห่งที่น่าไปเที่ยวมาก ด้วยสีขาวโพลนของหิมะหนานุ่มที่ปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้น ยาวไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ในสถานที่แห่งนี้มี Kannabe Nature School เปิดให้บริการอยู่ ซึ่งเราสามารถจ้างสตาฟนำทางจากที่นี่ได้ ทั้งนี้เราจะเดินทางด้วยตัวเองก็ย่อมได้ แต่ถ้าได้สตาฟนำทางก็จะได้เห็นเส้นทางลับที่สวยงามด้วย นอกจากนี้เราจะต้องลงทะเบียนและฟังคำแนะนำก่อน เพื่อความปลอดภัยในการเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
หากเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆจนถึงปากปล่องภูเขาไฟคันนาเบะ เราจะได้สัมผัสกับความสดชื่นและทัศนียภาพที่สวยงามตระการ ยังสามารถพักจิบชาบนนี้ได้ด้วย ส่วนเวลาลงเขานั้นแนะนำว่าให้สไลเดอร์ลงไปโลดจ้า แต่ต้องขอเตือนว่าถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ต้องฟิตร่างกายมาหน่อยนะ เพราะการเดินขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็คุ้มมากสำหรับวิวสวยๆที่ได้เห็นและประสบการณ์ดีๆที่ได้รับ
พิกัด
เบอร์
เวลาทำการ
เว็บไซต์
เมื่อประมาณ 200 - 300 ปีที่แล้ว ปราสาทอิซุชิเป็นเมืองปราสาทที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยเอโดะ สถานที่แห่งนี้มีการจัดแสดงสถาปัตยกรรมโบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซากปราสาทอิซุชิ ศาลเจ้า และหอนาฬิกาเก่าชินโคโร ด้วยเหตุนี้เมืองปราสาทอิซุชิจึงได้รับการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์อาคารแห่งชาติ
นอกจากเมืองปราสาทอิซุชิจะขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมแล้ว โซบะของที่นี่ก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน เพราะถ้าหากมาเยือนสถานที่แห่งนี้แล้ว จะต้องไม่พลาดชิมโซบะแบบดั้งเดิมหรือ ‘ซาระโซบะ’ เด็ดขาดเลย เพราะนอกจากจะหาซื้อได้ง่ายแล้ว เราก็ขอการันตีเรื่องความอร่อยด้วย
ซากปราสาทอิซุชิสร้างขึ้นเมื่อปี 1604 สถานที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราวมากมาย ทั้งนี้ยังได้รับการปรับปรุงและดูแลเป็นอย่างดีจากเหล่าซามูไรที่เคยเข้ามาพำนัก ณ สถานที่นี้ในอดีต ปัจจุบันเขตเมืองที่ตั้งของปราสาทอิซุชิได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘กลุ่มอาคารเก่าแก่ดั้งเดิมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ของญี่ปุ่น’
เนื่องจากว่าซากปราสาทอิซุชินั้นตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา การเดินชมความร่มรื่นของธรรมชาติหรือเงี่ยหูฟังเสียงนกร้องจึงเป็นกิจกรรมที่เหมาะที่สุดเลยก็ว่าได้
ที่ศาลเจ้าอาริโกะยามะ อินาริ (Arikoyama-inari) มีบันไดหินทอดขึ้นไปยังภูเขาสูง และมีประตูโทริอิสีแดงสดเรียงรายตลอดทางที่จะไปศาลเจ้า ทันทีที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เราจะได้ชมทัศนียภาพที่สวยงามของใบไม้สีแดงเหลืองที่ตัดกับโทนสีของสถานที่แห่งนี้
อีกหนึ่งไฮไลต์ของสถานที่แห่งนี้คือ ‘สิ่งก่อสร้างในยุคโชวะ’ ที่สร้างขึ้นตามแนวถนนที่ทอดยาวจรดตัวปราสาท นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นหอนาฬิกาชินโคโรเป็นฉากด้านหลังได้อีกด้วย ช่างเป็นวิวที่สวยงามมากจริงๆ
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
เว็บไซต์
แม้ชาวญี่ปุ่นจะมีความเชื่อว่านกกระสาขาว หรือโคโนะโทริ เป็นนกที่นำพาความสุขและความโชคดีมาให้ แต่ในปี 1971 นกกระสาขาวตัวสุดท้ายที่พบในจังหวัดโทโยโอกะได้ตายไป เพราะช่วงนั้นการทำเกษตรกรรมในญี่ปุ่นได้ใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงอย่างหนัก จึงทำให้นกกระสาขาวญี่ปุ่นสูญพันธุ์ไปในที่สุด
อีกไม่กี่ปีถัดมาประเทศญี่ปุ่นก็ได้รับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นกกระสาขาวมาจากประเทศรัสเซีย และในปี 1989 การคืนชีพนกกระสาขาวก็ประสบผลสำเร็จในญี่ปุ่น โดยการศึกษาและความช่วยเหลือจากทีมนักวิจัย รวมถึงหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ในปี 2005 ได้มีการเพิ่มจำนวนนกกระสาขาวในญี่ปุ่นจนถึง 200 ตัว จากศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)
หากได้มีโอกาสไปยังสถานที่แห่งนี้ นอกจากจะได้สัมผัสกับความอุดมสมบูรณ์ของสวนแห่งนี้แล้ว เรายังได้รับความรู้ในเชิงสารคดีพร้อมกับได้ชมนกกระสาขาวตัวจริงเสียงจริงด้วย แน่นอนว่านักท่องเที่ยวสายธรรมชาติหรือสายส่องสัตว์โลกน่ารักจะต้องไม่พลาดศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะนะ!
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
เว็บไซต์
ปราสาทอากาชิ (Akashi Castle) สร้างขึ้นในสมัยเอโดะตอนต้น มีจุดประสงค์เพื่อเป็นด่านหน้าในการรับมือและป้องกันข้าศึกที่เข้ามารุกรานจากทางตะวันตกของโอซาก้า แม้ว่าตัวปราสาทจะถูกทำลายลงในปี 1874 แต่หอคอยทั้งสองแห่งและผนังปราสาทส่วนใหญ่ยังคงสภาพสมบูรณ์
ในปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะอากาชิ และยังเป็นจุดชมดอกซากุระที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกด้วย
นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดหรืออุปกรณ์ออกกำลังกาย
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
เว็บไซต์
สะพานอากาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge) เป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก สะพานนี้เชื่อมระหว่างเมืองโกเบกับเมืองอิวายะที่อยู่บนเกาะอาวาจิ และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงฮนชู – ชิโกกุ (Honshu – Shikoku) ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1986 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1998
นักท่องเที่ยวสามารถไปยัง ‘Maiko Marine Promenade’ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีทัวร์นำเที่ยวของบริษัท Bridge World ซึ่งจะมีมัคคุเทศก์คอยให้ความรู้เกี่ยวกับส่วนต่างๆของสะพาน ทั้งยังสามารถปีนขึ้นไปด้านบนสุดของสะพานที่สูงถึง 300 เมตรได้อีกด้วย
วิธีเดินทาง
พิกัด
เว็บไซต์
เว็บไซต์บริษัท Bridge World
แหล่งชอปปิ้งขนาดใหญ่ใน 'จังหวัดเฮียวโกะ' ที่รวบรวมสินค้าไว้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบรนด์ดัง ของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือของเบ็ดเตล็ดมากมาย และที่พิเศษไปกว่านั้นคือศูนย์อาหารของสถานที่แห่งนี้ เพราะเราจะได้ลิ้มรสอาหารพื้นเมืองของโกเบอย่างสเต็กเนื้อโกเบ อาหารยอดฮิตที่ครองใจผู้คนทุกเพศทุกวัยด้วย
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์เด็กและห้างสรรพสินค้าอันปังแมน (Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall) เป็นเสมือนโลกของอันปังแมน (Anpanman) ตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยการตกแต่งของสถานที่แห่งนี้จะเป็นธีมอันปังแมนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่หรือร้านอาหาร
สำหรับบริเวณชั้น 1 จะมีร้านเบเกอรี่ที่สามารถเพลิดเพลินกับบรรยากาศแสนน่ารักและอบอุ่น พร้อมกับลิ้มรสขนมปังอบใหม่จากอันปังแมนและเหล่าผองเพื่อนได้ ส่วนชั้น 2 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เด็กๆจะได้เปิดประสบการณ์กับโลกของอันปังแมน
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
ค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
ไหนๆก็มาถึง 'จังหวัดเฮียวโกะ' กันแล้ว หากใครได้ไปเยือนปราสาทฮิเมจิก็ต้องไม่พลาดการแวะไปเดินช้อปในย่านมิยุกิโดริ !
ย่านการค้ามิยุกิโดริ (Miyuki-dori Shopping Street) เป็นแหล่งชอปปิ้งที่รวบรวมร้านค้าไว้มากมาย โดยจะเห็นว่าจำนวนร้านค้าที่เปิดอยู่นั้นยาวขนานไปกับถนนโอเตะมาเอะโดริ (Otemae-dori) สุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
นอกจากจะมีร้านขายของฝากให้เลือกซื้ออย่างหลากหลายแล้ว ย่านมิยุกิโดริยังมีร้านอาหารเป็นจำนวนมากอีกด้วย แถมเรายังได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมจากรูปแบบการปลูกสร้างร้านค้าแต่ละร้าน ซึ่งมีการยืนพื้นด้วยเสาไม้แบบญี่ปุ่นและเพดานไม้ ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อ แถมยังเพลิดเพลินกับการจับจ่ายอีกด้วย
วิธีเดินทาง
พิกัด
เวลาทำการ
เว็บไซต์
'จังหวัดเฮียวโกะ' นั้นอุดมไปด้วยอาหารทะเลและอาหารพื้นบ้าน ทำให้เราเพลิดเพลินกับการตะลุยหาของอร่อยกันไม่น้อยเลย
โซบะเมชิ (Sobameshi) เป็นเมนูอาหารที่เกิดจากการนำโซบะมาผัดกับข้าวบนกระทะร้อน จากนั้นก็ใส่ผักหรือเนื้อสัตว์และปรุงรสด้วยซอสต่างๆ หน้าตาของอาหารจานนี้ก็จะมีกลิ่นอายของความเป็นอาหารจีน
หลายคนอาจจะแปลกใจกับความเป็นโซบะเมชิ เพราะทั้งโซบะและข้าวต่างก็เป็นแป้งเหมือนกัน พอเอามากินด้วยกันมันจะไม่แน่นไปหน่อยเหรอ แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วนั้นโซบะเมชิเป็นอาหารจานพิเศษที่ชาวเมืองโกเบชื่นชอบมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
สำหรับคนที่อยากลิ้มรสโซบะเมชิก็สามารถไปลองทานกันได้ตามร้านโอโคโนมิยากิทั่วไปในเมืองโกเบและเมืองใกล้เคียง
วัวทาจิมะเป็นต้นกำเนิดของเนื้อวากิวคุณภาพดี เพราะกว่าจะมาเป็นเนื้อทาจิมะได้จะต้องผ่านกระบวนการคัดสรรและเลี้ยงดูมาอย่างดีจากฟาร์มคุณภาพที่ตั้งอยู่ในเมืองทาจิมะ
ลักษณะพิเศษของเนื้อวัวทาจิมะก็คือมีไขมันแทรกพอประมาณ เมื่อวางในปากปุ๊บก็ละลายปั๊บ รสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้นเป็นพิเศษ แต่ต้องรีบย่างแล้วรีบทานทันทีนะ เพราะไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อจะละลายหมดเสียก่อน!
หลายคนคงรู้จักทาโกยากิกันดีอยู่แล้วใช่หรือเปล่า เราจะมาแนะนำอากาชิยากิ (Akashiyaki) ซึ่งเป็นอาหารที่มีส่วนคล้ายกับทาโกยากิ ความคล้ายกันของอาหารสองอย่างนี้คือรูปทรงที่เป็นก้อนกลมๆและการสอดไส้ด้วยปลาหมึก (แต่อากาชิยากิอาจจะดูไม่กลมเท่ากับทาโกยากิสักเท่าไหร่) ส่วนความต่างก็คือตัวแป้งของอากาชิยากิจะมีส่วนผสมของไข่มากกว่า อีกทั้งเวลาทานจะต้องนำแป้งไปจุ่มกับน้ำซุปร้อนๆด้วย
นอกจากนี้อากาชิยากิยังเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองอาคาชิอีกด้วย หากอยากจะไปลิ้มลองรสชาติของอากาชิยากิก็สามารถหาได้ตามร้านอาหารทั่วไปในเมืองอากาชิเลย
ปูมัตสึบะมีลักษณะพิเศษคือตัวใหญ่และมีเนื้อที่หวานอร่อย จึงเป็นอาหารยอดฮิตอีกอย่างหนึ่งของจังหวัดเฮียวโกะ
ในช่วงฤดูหนาวของทุกๆปีจะมีเทศกาลจับปูครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งในงานนักท่องเที่ยวจะได้ชิมสารพัดเมนูปูมัตสึบะ ไม่ว่าจะเป็นซาชิมิหรือนาเบะ(หม้อไฟ) ทุกเมนูก็ล้วนแล้วแต่อร่อยเลิศ!
ถ้าไปโกเบแล้วไม่ได้กินเนื้อโกเบเท่ากับไปไม่ถึง!
เพราะนอกจากเนื้อโกเบจะเป็นของขึ้นชื่อประจำ 'จังหวัดเฮียวโกะ' แล้ว มันยังเป็นวัตถุดิบเลื่องชื่อของประเทศญี่ปุ่นด้วยนะ
เนื้อโกเบเป็นวากิว(วัวญี่ปุ่น)อีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความโดดเด่นในเรื่องไขมันน้อย แต่มีความนุ่มและชุ่มฉ่ำ ให้รสชาติที่กลมกล่อมโดยไม่ต้องพึ่งซอสหรือเครื่องปรุงใด
สำหรับรูปแบบการรับประทานเนื้อโกเบนั้น ชาวเฮียวโกะนิยมทานเป็นสเต็ก ชาบู หรือสุกี้ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเห็นจะเป็นเนื้อโกเบแบบ ‘เทปันยากิ’ หรือกรรมวิธีที่ทำให้อาหารสุกด้วยการนำวัตถุดิบไปจี่บนกระทะเหล็กนั่นเอง
ที่ร้านเทปันยากิ เชฟจะย่างเนื้อบนกระทะร้อนหน้าเคาน์เตอร์ที่ลูกค้านั่งอยู่ เพื่อให้ลูกค้าได้ทานทันทีหลังจากที่ปรุงเสร็จ
สำหรับราคาของเนื้อวากิวในร้านอาหารเทปันยากิก็จะอยู่ที่ 8,000 ถึง 30,000 เยนต่อคน ซึ่งอาจจะแพงหน่อยสำหรับคนไทย แต่ขอรับประกันความอร่อยและคุ้มค่า เข้าปากทีเหมือนไปสู่นิพพานเลยจ้า
เรามีรีวิวร้านสเต๊กเนื้อโกเบชื่อดังอย่าง Steakland ด้วยนะ หากสนใจสามารถอ่านได้ที่นี่เลย > ชมวิวอ่าวโกเบที่ Kobe Harbour Land & ทานเนื้อโกเบที่ร้านสเต๊กในตำนาน Steakland
ที่มา: รวมข้อมูลและสถานที่ท่องเที่ยวใน ‘จังหวัดเฮียวโกะ’
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่: fromJapan.info
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in