ติ๊ด.. ติ๊ด..ติ๊ด.. ติ๊ด.. ติ๊ด..
เสียงสัญญาณชีพจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ในห้องสีขาวที่ล้อมรอบด้วยกระจกใสยังคงดังอย่างสม่ำเสมอทุกอย่างในห้องนี้ดูขาวโพลน รวมไปถึงร่างเล็กสีขาวที่ดูเหมือนจะหลับอย่างสงบอยู่บนเตียงคนไข้ผิดเพียงแค่ว่าผิวเด็กน้อยที่เคยเป็นสีขาวจัดตอนนี้เป็นสีชมพูจนเกือบแดงระเรื่อไปทั่วทั้งตัวบ่งบอกถึงอุณหภมิร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามร่างกายถูกติดไว้ด้วยอุปกรณ์วัดค่าต่างๆที่แสดงตัวเลขเปลี่ยนไปมาตลอดเวลาบนจอใสที่หัวเตียง ข้างหัวเตียงมีขาตั้งเหล็กสูงห้อยกระเปาะแก้วใส่น้ำใสเพื่อให้น้ำยาทางเส้นเลือด
ชายหนุ่มในชุดปลอดเชื้อกำลังง่วนอยู่หน้าเคาท์เตอร์เล็กๆในห้อง ห่างจากเตียงไม่มากนัก บนเคาท์เตอร์เต็มไปด้วยอุปกรณ์แลปบีกเกอร์และหลอดทดลองใส่น้ำสีต่างๆ มากมาย มีจอคอมพิวเตอร์ กับจอแก้วใสแสดงค่าเดียวกับที่อยู่บนหัวเตียงอยู่ใกล้ๆชายหนุ่มในห้องหันไปมองแองเจิ้ลส์น้อยที่อยู่บนเตียงเป็นครั้งคราวด้วยความเป็นห่วงแล้วก็หันกลับไปจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะรีบร้อนมากแค่ไหนแต่สิ่งที่เขาทำอยู่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังและความใจเย็นเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
“แบม..”แจ็คสันทำได้แค่ยืนมองอยู่นอกห้องกระจกนั้น ชายหนุ่มทาบมือขวาลงบนกระจกตรงที่แองเจิ้ลส์น้อยนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงส่วนมือซ้ายทำได้เพียงกำหมัดแน่นอยู่ข้างตัว นาทีนี้เขาเพิ่งเข้าใจคำว่าภาวะอันตรายของจินยอง เมื่อวานนี้แองเจิ้ลส์น้อยยังหัวเราะยังหยอกล้อกับเขาอย่างสนุกสนานผ่านไปเพียงกี่ชั่วโมงเด็กน้อยกลับต้องมานอนในห้องนี้ ท่าทีทุรนทุรายของแบมแบมกับความร้อนใจของจินยองทำเอาเขาอึดอัดไปหมดที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยทันทีที่จินยองวางสายจากเจบี ก็อุ้มแบมแบมวิ่งมาที่นี่ โดยมีเขาวิ่งตามมาติดๆ แต่เขาถูกห้ามไม่ให้เข้าไปข้างในเพราะถึงเข้าไปก็คงทำอะไรไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงยืนมองจินยองจัดการกับเหตุการณ์นี้จากนอกห้องกระจกเท่านั้น
ร่างของแองเจิ้ลส์น้อยที่กระสับกระส่ายพึมพัมไม่หยุด ค่อยๆ สงบลงเมื่อจินยองฉีดอะไรบางอย่างให้ แล้วชายหนุ่มก็ค่อยๆแปะอุปกรณ์วัดค่าตามจุดชีพจร หัวหน้าแผนกวิจัยละสายตาจากแบมแบมเพียงครั้งเดียวเท่านั้นตอนที่เห็นสร้อยที่ห้อยอยู่ที่คอของแบมแบม แววตาสงสัยถูกส่งตรงมาที่เขาเขาจึงพยักหน้ารับ จินยองจึงปล่อยสร้อยเอาไว้ที่เดิมโดยไม่ได้สนใจอะไรอีกนอกจากอุณหภูมิร่างกายของแองเจิ้ลส์น้อยที่กำลังสูงขึ้น ผิวขาวจัดขึ้นสีระเรื่อไปทั่วร่างกาย
“เฮีย..”
สัมผัสเบาๆ ที่หัวไหล่ทำให้เขาต้องหันไปมอง มือของยูคยอมอยู่บนไหล่เขาสายตาเขาจึงเลื่อนขึ้นไปสบกับแววตาห่วงใยที่ลอดผ่านม่านหน้าม้าสีดำสนิท
“เจบีฮยองบอกทุกคนแล้วฮยองกำลังรีบกลับมา” ยูคยอมแจ้งข่าว แจ็คสันไม่ทำอะไรนอกจากพยักหน้ารับคำเงียบๆแล้วหันกลับไปมองร่างสีขาวที่อยู่ภายในห้อง
“เฮียผมว่าไปพักก่อนเถอะ สภาพเฮียดูไม่ค่อยดีเลย ดูดิ เหงื่อเต็มไปหมด หน้าก็ซีด” ชายหนุ่มหันมองยูคยอมอย่างแปลกใจแล้วจึงยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตัวเอง ถึงพบว่าตัวเขาเหงื่อท่วมไปหมดแจ็คสันจึงยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าอย่างลวกๆ
“ไม่มีอะไรหรอกแถวนี้แอร์คงไม่ทำงาน เลยร้อนไปหน่อย เฮียว่าจะรอเจบีฮยองเผื่อว่าจะมีข่าวอะไรที่ช่วยได้บ้าง” ยูคยอมขมวดคิ้วให้กับคำว่าแอร์ไม่ทำงานแล้วจึงแหงนหน้ามองไปรอบๆ แผนกวิจัยใช้ระบบปรับอากาศพิเศษเฉพาะตัว จึงไม่มีคำว่าแอร์ไม่ทำงานสำหรับที่นี่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าอากาศปกติดี ทั้งที่ใส่เสื้อแขนยาวคอเต่าสีดำเหมือนทุกวันก็ยังไม่รู้สึกร้อนอะไรสักนิดแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะแน่ใจว่าแจ็คสันคงไม่ยอมไปง่ายๆ
“สงสารแบมแบมเนอะเฮียไม่รู้ว่าเราจะหาเมทเค้าเจอรึเปล่า เจบีฮยองพยายามตามหามาตั้งนานแล้วยังไม่เจอห้องเนี่ยจินยองฮยองก็เตรียมไว้สำหรับแบมแบมเป็นกรณีพิเศษแต่ถ้าไม่ต้องมาใช้ก็คงจะดี”
ยูคยอมขยับมายืนข้างๆชายหนุ่มเพื่อมองแบมแบมชัดๆ เขาเองเพิ่งเข้าใกล้แบมแบมได้ก็เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาตอนที่แจ็คสันมาเฝ้ายาม พอได้รู้จักกันแล้วแบมแบมก็ยิ่งดูน่ารัก เมื่อก่อนเขาแค่รู้เรื่องราวของแบมแบมจากจินยองแล้วก็ได้เห็นไกลๆก็คิดแค่ว่าแองเจิ้ลส์น้อยดูน่าสงสารแล้วก็โดดเดี่ยวแต่ก็น่ากลัว แต่พอได้เข้าใกล้ๆมีปฏิสัมพันธ์กันบ้างก็รู้สึกว่าแบมแบมที่เป็นมิตรนั้นน่ารักดี แถมเด็กน้อยยังมีชื่อเล่นเรียกเขาอีกว่าเด็กดำทั้งๆ ที่ตัวเองต่างหากที่ดูเด็กกว่าเขาตั้งเยอะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกฮยองแล้วก็แจ็คสันที่ได้ใกล้ชิดถึงได้ติดแองเจิ้ลส์น้อยกันขนาดนี้
ทั้งสองคนได้แต่ยืนมองจินยองง่วนอยู่กับการพยายามหาทางช่วยแบมแบมอยู่ในห้องกระจกแจ็คสันยังคงมีเหงื่อซึมออกมาเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด หลังจากนั้นไม่นานนักเสียงฝีเท้าหนักๆของรองเท้าคอมแบ็ตก็ดังขึ้นเมื่อหัวหน้าแผนลาดตระเวนเดินอย่างเร่งรีบมาสมทบ สีหน้าของเจบีบ่งบอกถึงข่าวที่ไม่สู้ดีนัก
“ฮยอง! ได้ความว่ายังไงบ้างครับ เจออะไรบ้างมั๊ย” แจ็คสันปรี่เข้ามาถามหัวหน้าแผนกทันทีที่เจบีมาถึงแต่ก็ได้รับเพียงการส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด
“แบมแบมเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนที่ผมไปเจอแบมดูอ่อนแรงแล้วก็กระสับกระส่ายมาก พูดแต่ว่าร้อนๆ พอจินยองฮยองพามาที่นี่แล้วฉีดยาให้ถึงได้หลับไปครับ” แจ็คสันรายงานและปล่อยมือที่เผลอกำอกเสื้อของเจบีโดยไม่ได้ตั้งใจแต่หัวหน้าแผนกลาดตระเวนก็ไม่ได้ว่าอะไร
“ให้ตายสิ!! คิดว่าจะมีเวลามากกว่านี้หน่อย ทั้งๆที่แบมแบมไม่เคยแสดงอาการอะไรเลยแท้ๆ อยู่ดีๆ ทำไมถึง...” คำที่เหลือถูกกลืนหายเพราะฟันที่ขบกันแน่นจนสันกรามนูนเด่นเรื่องเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้ทัน
ระหว่างที่ทั้งสามคนได้แต่นิ่งเงียบจินยองที่อยู่ในห้องก็นำไซริงค์บรรจุน้ำยาสีทองใส หยดลงในกระเปาะแก้วที่ตั้งอยู่ข้างหัวเตียงแล้วรออย่างอดทนค่าตัวเลขบางตัวเริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวแต่ก็ไม่ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น ผิวที่เป็นสีแดงระเรื่อก็ค่อยๆจางลง ลมหายใจของแองเจิ้ลส์น้อยดูผ่อนคลายและสม่ำเสมอมากขึ้น จินยองถอนหายใจยาวมือเรียวลูบผมสีขาวนั้นเบาๆ สองสามครั้ง แล้วจึงเดินออกมาสมทบกับคนที่รออยู่ด้านนอก
“จินยองฮยองครับแบมเป็นยังไงบ้าง” เด็กฝึกงานเข้าถึงตัวหัวหน้าแผนกวิจัยก่อนคนอื่น จินยองมองหน้าแจ็คสันแล้วหันไปสบตากับเจบีเจบีส่ายหน้าให้ช้าๆ เพราะเขารู้ดีว่าแววตาของจินยองต้องการถามอะไร เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากคนที่ยังอยู่ในชุดปลอดเชื้อ
“ทุกคนไปรอที่แผนกลาดตระเวนเดี๋ยวฉันตามไป อ้อ เจบีบอกยองแจให้ตัดการสอดแนมทุกอย่างในห้องออกไปอย่างเนียนๆ ด้วย”
“ได้”เจบีรับคำสั้นๆ แล้วเดินนำหน้าไป ยูคยอมดึงแขนแจ็คสันที่ยังอดหยุดมองคนที่อยู่ในห้องไม่ได้ให้ตามมา
.
.
.
.
บรรยากาศในแผนลาดตระเวนเกือบจะเรียกได้ว่ามาคุมีเพียงยูคยอมเลือกนอนเอกขเนกอยู่ที่โซฟาเงียบๆ นอกนั้นแจ็คสัน เจบีรวมถึงยองแจนั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะประชุมใหญ่ ยองแจมาพร้อมกับโน๊ตบุ๊คเก่าคร่ำครึเครื่องเดิมที่เขาใช้เหมือนตอนอยู่ที่แผนกไอทีเจบีกับยองแจปรึกษากันเรื่องความปลอดภัย แต่แจ็คสันนั่งหลับตากอดอกนิ่งไม่ไหวติงความไม่สบายตัวบางอย่างกำลังรังควานเขาอยู่เงียบๆชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นเพราะเขากังวลเรื่องแบมแบมมากเกินไป จึงพยายามทำใจให้สงบเผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นแต่ทันทีที่ประตูแผนกลาดตระเวนเปิดออกและจินยองก้าวเข้ามาเขาก็แทบจะกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
จินยองยกมือเป็นเชิงห้ามก่อนที่ทุกคนจะทันได้ถามอะไรแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ เด็กฝึกงานของแผนก
“ตอนนี้แบมแบมยังปลอดภัย..แค่ตอนนี้นะ โชคดีที่เลือดเขาไม่ต่อต้านเซรุ่มกับยาที่ฉันให้ไป เพราะว่าแองเจิ้ลส์สามารถรักษาตัวเองได้โดยเฉพาะแองเจิ้ลส์ที่จับคู่แล้วจะมีพลังในการรักษาตัวเองกับคู่ของตัวเองสูงมากเลยไม่มีใครต้องคิดค้นยาเพื่อรักษาแองเจิ้ลส์มาก่อน ฉันเองก็ทำได้แค่ลองเสี่ยงดู”
“การจับคู่ของแองเจิ้ลส์มันดู... มันจะต้องทรมานมากขนาดนี้เลยเหรอครับฮยอง” แจ็คสันถามเสียงอ่อย
“ไม่หรอก ปกติแล้วแองเจิ้ลส์ที่เป็นเมทกันจะอยู่ในฝูงเดียวกัน อยู่ในสังคมเดียวกันพวกเขาอยู่จะไม่ไกลกันมาก การจับคู่จะเริ่มเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมปกติแองเจิ้ลส์จะอยู่ในวัยเด็กประมาณ 15-20 ปี และเมื่อเมทได้พบกันหรือมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันก็จะเกิดการกระตุ้นให้จับคู่เพื่อเปลี่ยนสู่แองเจิ้ลส์ที่โตเต็มวัย พวกเขาจะรู้ตัวตั้งแต่การจับคู่เข้าสู่ระยะแรกแล้วก็จะจับคู่กันทันทีเพราะฉะนั้นการกระตุ้นจะไม่เข้าสู่ระยะที่ 2เหมือนที่แบมแบมเป็นอยู่ตอนนี้”
“ระยะที่ 2เหรอฮะ”
“ใช่ เพราะว่าแองเจิ้ลส์จะไม่ถูกกระตุ้นให้จับคู่ถ้ายังไม่ได้เจอเมทของตัวเอง แต่เมื่อถูกกระตุ้นแล้วมันจะเดินหน้าการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆฉันเองก็ยังไม่เข้าใจกลไกตรงนี้ของพวกเขาเท่าไหร่ แต่เท่าที่พวกเพิร์ลเล่าให้ฟัง มันเหมือนกับว่าวิญญาณของพวกเขาจะเรียกร้องหากันเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน วิญญาณที่ไม่ได้รับการเติมเต็มในการกระตุ้นระยะแรกก็จะเผาพลาญพลังชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะส่งสัญญาณให้ทั้งคู่หากันจนเจอในกรณีที่อยู่คนละฝูงหรืออยู่ไกลกัน” หัวหน้าแผนกวิจัยเว้นจังหวะแล้วเคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด
“ฉันเองก็เคยแอบหวังเหมือนกันว่าแบมแบมอาจจะอยู่ในวัยเด็กต่อไปเรื่อยๆ อย่างปลอดภัยก็ได้ เพราะเพิร์ลบอกว่าถ้าไม่เจอเมทการกระตุ้นก็จะไม่เริ่มต้นขึ้น แต่เราก็เห็นแล้วว่าไม่จริง แบมแบมถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนวัยโดยที่เมทของเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เลย อาจจะเป็นเพราะแบมแบมอยู่ในช่วยวัยเด็กมานานเกินไปแล้วก็ได้”
“แล้วถ้า... ถ้าเราหาเมทของแบมไม่เจอ..ฮยอง.. จะช่วยแบมแบมเหมือนเอ็มเมอรัลงั้นเหรอฮะ”
จินยองสบตากับเจบีเมื่อสิ้นสุดคำถามของแจ็คสันวันแห่งการตัดสินใจที่พวกเขาสองคนจะต้องเลือก กำลังใกล้เข้ามาทุกที เจบีสบตาตอบเพียงชั่วครู่แล้วก็หลุบตาลงต่ำ
“ฉันไม่รู้.. ฉันอาจจะช่วยชีวิตแบมแบมไว้ได้ก็จริงแต่เอ็มเมอรัลก็เป็นหลักฐานอย่างดีแล้วว่า.. แองเจิ้ลส์ที่เราคิดว่าช่วยไว้ไม่ได้ถูกช่วยเลย มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ยังอยู่ แต่เด็กคนนั้นจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงชีวิตหรือความสุขอีกเลย แบบนั้น.. มันอาจจะโหดร้ายสำหรับแบมแบมมากเกินไป บางที...เราอาจจะ ควรยอมให้เด็กคนนั้น...” คำหลังจากนั้นจินยองไม่ได้พูดออกมาแต่ความเงียบภายในห้องก็บอกได้อย่างดีว่าทุกคนเข้าใจส่วนท้ายของประโยค
“แต่เอาเถอะเรายังพอมีเวลา ปกติระยะที่ 2 นี่จะมีเวลาแค่อาทิตย์เดียวแต่ยากับเซรุ่มที่ฉันให้ไปช่วยชะลอกระบวนการกระตุ้นได้สักระยะเราอาจจะมีเวลาอีกสองหรือสามอาทิตย์ ระหว่างนั้นเจบีอาจจะหาเมทของแบมแบมเจอก็ได้ ใช่มั้ยเจบี” จินยองพยักเพยิดกับหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแต่เจบีส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ฉันรับปากไม่ได้ฉันติดต่อไปที่สาขาทุกที่แล้วให้ส่งผลการสำรวจแองเจิ้ลส์ที่มีอยู่มาให้หมดตอนนี้เหลือแค่สองแห่งเท่านั้นที่ยังไม่ติดต่อกลับมา แต่ถึงจะน้อย ก็คง..ยังพอมีหวังละมั้ง”
“อืม เอาเถอะวันนี้คงยังทำอะไรไม่ได้ ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ ยองแจ ช่วยเคลียร์การสอดแนมในห้องนี้ให้หมดทีเราไม่ควรคุยเรื่องของแบมแบมที่อื่น”
“ครับฮยอง” หัวหน้าแผนกไอทีรับคำแล้วเดินออกจากแผนกไปเงียบๆบรรยากาศในห้องหนักอึ้งซะจนคนเสียงดังอย่างยองแจยังไม่กล้าพูดอะไร ทั้งสี่คนที่เหลือยังคงนั่งเงียบอยู่ในห้องไม่มีใครมีท่าทีที่จะลุกออกไปแม้แต่คนเดียว
“แจ็คสันนายกลับบ้านไปพักผ่อนซะ พรุ่งนี้มาเข้างานตามปรกติ หมดช่วงพักงานของนายแล้ว” หัวหน้าแผนกลาดตระเวนเอ่ยเสียงเรียบ
แจ็คสันเงยหน้าขึ้นมองเจบีกับจินยองสลับกัน“แต่ว่าผม.. ขออยู่เฝ้าแบมแบมไม่ได้เหรอฮะ หรือพวกฮยองจะให้ผมช่วยอะไรก็ได้ช่วยหาเมทของแบมแบมก็ได้”
“เรื่องแบมแบมปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน ส่วนเรื่องเมท เจบีจะบอกนายทีหลังเองถ้าต้องการความช่วยเหลือตอนนี้จะเฝ้าแบมแบมก็ไม่มีประโยชน์ สภาวะเด็กคนนั้นตอนนี้ไม่ต่างจากจำศีล นายกลับบ้านไปเถอะสภาพนายตอนนี้ดูไม่ได้เลย กลับไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนซะหน่อย ถ้ามีอะไรฉันจะส่งข่าวไป”
“แต่ว่า...ถ้าเกิดอะไรขึ้น..”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนนี้หรอกพวกฉันสามคนพักอยู่ที่หอพักของสถาบัน ถ้ามีอะไรพวกเรามาได้ทันแน่นอน อีกอย่างผลสภาพร่างการของแบมแบมจะถูกส่งให้ฉันแบบเรียลไทม์จากในห้องนั้น นายกลับไปซะแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาในสภาพที่ดีกว่านี้หน่อย” หัวหน้าแผนกวิจัยลุกขึ้นอีกสองคนที่เหลือจึงลุกเพื่อแยกย้ายกันไปด้วย เพราะถ้าไม่มีใครลุกแจ็คสันคงไม่ยอมไปไหนยูคยอมเดินมาตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ แล้วออกจากห้องตามทั้งสองคนไป
.
.
.
.
.
เสียงกดรหัสดังขึ้นที่หน้าประตูทำเอามาร์คที่กำลังทำของว่างยามดึกต้องชะโงกออกจากครัวเพื่อมองไปที่ประตูด้วยความสงสัยเพราะว่าแจ็คสันบอกว่าคืนนี้จะไปเฝ้ายามที่สถาบันเป็นคืนสุดท้ายทำไมเพื่อนเขาถึงได้กลับมาเร็วนัก ชายหนุ่มหันกลับไปเปลี่ยนเตาอินฟาเรทให้อยู่ในโหมดอุ่นแล้วหยิบมีดทำครัวขึ้นมาถือไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินเพียงครู่เดียวแจ็คสันก็เดินเข้าประตูมาแล้วทรุดลงนั่งบนโซฟา มาร์คผ่อนลมหายใจจัดการเก็บมีดให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินไปหาเพื่อนสนิท
“เฮ้ทำไมถึงกลับเร็วนักล่ะ โอ้โห สภาพนายดูไม่จืดเลย เกิดอะไรขึ้น” แจ็คสันผงกหัวที่พิงเบาะขึ้นมาขมวดคิ้วมองเพื่อนรักทำไมวันนี้ใครๆ ก็บอกว่าสภาพเขาดูไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอยู่บ้างก็เถอะแต่ก็น่าจะเป็นเพราะเขาเป็นห่วงแบมแบมมากเกินไปมากกว่า
“แบมแบมไม่สบาย ฮยองบอกว่าแองเจิ้ลส์จะต้องจับคู่แต่พวกเรายังหาเมทของเค้าไม่เจอ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเด็กคนนั้นอาจะตายก็ได้ ตอนนี้จินยองฮยองดูแลอยู่ฉันทำอะไรไม่ได้ เค้าก็เลยให้กลับมา” น้ำเสียงคนเล่าเต็มไปด้วยความกังวล มาร์คมองหน้าเพื่อนสนิทอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะเอ่ยถามอะไรบางอย่าง
“แล้วนายจะทำไงถ้าเด็กคนนั้นต้องมีคู่”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าฉันจะทำยังไง ถ้าแบมแบมเจอคู่ เค้าก็จะไม่ตาย ฉันก็ควรจะดีใจสิ” แจ็คสันลุกขึ้นมานั่งประจันหน้ากับเพื่อนเมื่อได้ยินคำถามแปลกๆ
“แต่ว่านาย..หลงรักเด็กคนนั้นไม่ใช่รึไง” มาร์คถามเพื่อนไปตรงๆ
ตั้งแต่วันที่เขาไปตามหาแจ็คสันที่สถาบันเขาก็รู้สึกตะหงิดๆมาตลอด แองเจิ้ลส์ที่ใครๆ บอกว่าอันตราย แต่ท่าทีของเพื่อนเขาที่มีต่อแองเจิ้ลส์เด็กคนนั้นมันอ่อนโยนยิ่งว่าที่เขาเคยเห็นเพื่อนผู้แข็งกร้าวคนนี้อ่อนโยนกับผู้หญิงคนไหน ถึงแจ็คสันจะเป็นคนห่ามๆแต่ก็ให้เกียรติและสุภาพอ่อนโยนกับผู้หญิงเสมอ ขนาดคนที่เขาคิดว่าแจ็คสันมีใจให้เพื่อนเขายังไม่อ่อนโยนให้เห็นมากถึงขนาดนี้ ยิ่งตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาพอแจ็คสันเห็นว่าเขารู้เรื่องแบมแบมแล้ว ก็เลยยิ่งมาเล่าให้เขาฟังทุกครั้งที่กลับมาจากเฝ้ายามว่าแบมแบมน่ารัก แบมแบมขี้แกล้ง แบมแบมขี้เล่นขนาดไหน แบมแบมโน่น แบมแบมนี่จนเขาแน่ใจ ว่าถ้าไม่ใช่อาการของคนที่ตกหลุมรักแล้วก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรได้อีก
“ฉันเนี่ยนะ..หลงรัก.. แบมแบม ไม่สิ.. ฉันไม่ได้...”
มือหนายกขึ้นลูบหน้าลูบตาตนเองความสากของไรหนวดเคราขณะที่มือลากผ่านทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กๆ ระหว่างที่พยายามหาคำพูดมาคัดค้านคำถามของเพื่อนแต่เขากลับหามันไม่เจอ เพราะแม้กระทั่งตอนนี้ในใจของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเป็นห่วงร่างเล็กสีขาวที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายว่ากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงแค่นึกภาพว่าแบมแบมจะมอบความรักให้ใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักอย่างลึกซึ้ง เหมือนภาพการพลอดรักกันของการ์เน็ทกับแซฟไฟร์ที่เขาเคยเห็นหัวใจเขาก็เหมือนถูกใครมาบีบเอาไว้ มันเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก
“นั่นสินะ.. เหมือนจะใช่”ชายหนุ่มยอมจำนน ทั้งๆ ที่เจบีเคยเตือนเขาแล้วแท้ๆแต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะง่ายดายถึงขนาดนี้ ไม่ทันที่เขาจะระวังหัวใจตัวเองด้วยซ้ำ เพราะความคิดที่ว่าอีกฝ่ายเป็นแองเจิ้ลส์เขาจึงไม่น่าจะหลงรักได้ ทำให้เขามองไม่เห็นใจตัวเองที่ต้องการอีกฝ่ายมากขึ้นทุกที
“ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นแล้วแบมแบมจะหาย ยังมีชีวิตอยู่ได้ฉันก็คงต้องยอม ความรักของมนุษย์ถึงไม่ได้ครอบครองก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับแองเจิ้ลส์แล้ว ความรักหมายถึงชีวิต ถ้าแบมแบมรักคนอื่นแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ฉันจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ตายอยู่แล้ว”
“นายไปอาบน้ำอาบท่าแล้วนอนพักเถอะ”มาร์คลุกขึ้นยืนแล้วดึงเพื่อนให้ลุกขึ้นตาม เขาตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ อย่างเห็นใจแล้วจึงดันหลังเพื่อนไปทางห้องน้ำ เขาคิดว่าเพื่อนจะมีโอกาสมีความสุขกับรักครั้งแรกนานกว่านี้หน่อย น่าเสียดายที่มันสั้นนักเขาคงต้องมองหาอะไรเอาไว้เผื่อปลอบใจเพื่อนในอีกไม่นานนี้แล้ว
แจ็คสันได้แต่มองเงาของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกในห้องน้ำเขาไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมใครๆ ถึงบอกว่าสภาพเขาดูไม่ได้ เพราะใบหน้าเขาดูซีดเผือดมีเหงื่อซึมชุ่มอยู่ตามไรผม หนวดเคราที่เพิ่งโกนเมื่อตอนสายๆกลับขึ้นมาเขียวครึ้มทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนที่หนวดจะขึ้นไวขนาดนี้ ใต้ตาดูคล้ำราวกับคนอดนอนมาสักพักใหญ่ชายหนุ่มเร่งรีบจัดการตัวเองและตั้งใจว่าจะพักผ่อนเขาควรทำตัวเองให้แข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือแองเจิ้ลส์น้อยตลอดเวลาถ้ายังดูโทรมแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เขาช่วยอะไรเท่าไหร่
.
.
.
.
“เจียเออร์...เจียเออร์”
“เจียเออร์... ช่วยด้วย!”
“ร้อน!”
ใครน่ะจะไปช่วยเดี๋ยวนี้ รอก่อนนะ
“ช่วยด้วย! เจียเออร์ ร้อนมากเลย”
อย่าร้องนะฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ นั่นใครน่ะ
“เจียเออร์...”
แบมแบม!
ใช่แบมรึเปล่าแบม อย่าร้องนะ เฮียจะไปช่วยเดี๋ยวนี้!!
เฮียจะรีบไป แบมรอเฮียก่อน
“ช่วยด้วย!”
.
.
.
“แจ็ค!!! เฮ้ ตื่นสิ!!! ตื่นเดี๋ยวนี้!!! ตื่น!!!”
“แบม!!!!!!!” เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นทันทีที่เขาสะดุ้งพรวดขึ้นมาแจ็คสันหอบฮั่ก เหงื่อท่วมตัวจนชุ่มโชก เสียงที่เขาตะโกนออกไปยังก้องอยู่ในหัว หัวใจเต้นรัวราวกับผ่านการออกกำลังมาอย่างหนัก
“คิดว่าจะไม่ตื่นซะแล้วถ้าช้ากว่านี้ฉันคงต้องออกแรงต่อย” มาร์คชกเพื่อนเข้าที่ต้นแขน “นายเสียงดัง แล้วก็ดิ้นแรงมากฝันนั่นอีกแล้วเหรอ แต่นายไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้เลยนี่นา”
“แบมแบม”
“หือ”
“เสียงในฝันของฉันมันเป็นเสียงของแบมแบม มันเป็นเสียงเขามาตลอด” แจ็คสันผ่อนลมหายใจยาวพยายามทำให้ร่างกายของตัวเองสงบลง ตาเขาเหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียง และเห็นว่าเขาตื่นก่อนเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง
“จะเป็นไปได้ยังไงนายได้ยินเสียงนั่นมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา ฉันว่านายเป็นห่วงเด็กคนนั้นมากเกินไปก็เลยเอามาปนกันมากกว่า”
“อืม” แจ็คสันรับคำเพราะไม่อยากพูดต่อแต่ในใจเขารู้ตัวเองดีว่าเสียงนั่นไม่ใช่เสียงใครที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป
“แล้วไง จะนอนต่อหรือจะลุก”
“ลุกแล้วล่ะฉันจะไปสถาบัน”
“เคมีสปาเก็ตตี้ที่ฉันทำเมื่อคืนอยู่ในตู้เย็น นายอุ่นเอานะ ฉันไปนอนต่อละ”ชายหนุ่มหน้าหล่อยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอดใหญ่
“มาร์ค”
“หืม”
“ขอบใจนะที่มาปลุก” มาร์คโบกมือให้ขณะที่เดินออกจากห้องไป ราวกับจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
.
.
.
.
ห้องกระจกสีขาวยังดูไม่แตกต่างจากเมื่อวานร่างของแองเจิ้ลส์น้อยยังคงนอนหลับอย่างสงบอยู่บนเตียง ถ้าไม่มีเหตุการณ์เมื่อวานเขาคงคิดว่าแบมแบมแค่นอนหลับไปเฉยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากเมื่อวานนี้คือความรู้สึกของเขาเอง
ใช่เขารู้ตัวแล้วว่าเขารักแบมแบม แล้วความรักก็เป็นสิ่งที่แปลก ตราบใดที่เรายังไม่รู้สึกถึงมันเราอาจจะยังพอหาข้ออ้างเป็นกำแพง เพื่อปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองได้ แต่เมื่อเรารู้สึกถึงความรักนั้นเมื่อไหร่ความรู้สึกทั้งหมดก็จะถาโถม เข้ามาจู่โจมเราจนไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
ตัวเขาที่ยืนอยู่ที่เดียวกับที่ยืนเมื่อวานแต่วันนี้ทั้งความรู้สึกรัก ความห่วง ความหวง ความอาวรณ์ โหมกระหน่ำเขาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่เพียงแค่ได้เห็นแองเจิ้ลส์น้อยของเขานอนหลับอยู่บนเตียงเท่านั้น
“เฮีย.. จะทนได้รึเปล่านะแบม...”ชายหนุ่มทำได้เพียงพึมพำคำถามที่ไม่มีคำตอบ เขาเพิ่งเคยรู้สึกถึงความรักแบบนี้เป็นครั้งแรกความรู้สึกที่เหมือนพายุอารมณ์พัดกระหน่ำอยู่ในหัวใจตลอดเวลา เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาเขาเลยมาตลอดชีวิต
“มาเร็วจังนะ”น้ำเสียงเข้มงวดของหัวหน้าแผนกวิจัยทักทายเขาเบาๆ แล้วมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
“ครับ..ผมเป็นห่วงแบมแบม”
“เราทุกคนก็เป็นห่วงแบมแบมกันทั้งนั้นนั่นแหละ”หัวหน้าแผนกลาดตระเวนเองก็ตามมาสมทบเช่นกัน
“ไม่มีอะไรที่ผมจะพอช่วยได้เลยเหรอครับ”แจ็คสันหันไปถามหัวหน้าทั้งสองที่ดูอิดโรยไม่แพ้กัน
“ข้อมูลที่เรามีมันน้อยเกินไป แล้วข้อมูลเกี่ยวกับเมทของแบมแบม ก็มีแต่แบมแบมที่รู้ แต่จะถามตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว!” เจบีทุบกำปั้นลงบนกระจกด้วยความอัดอั้นแต่ทันใดนั้นเองเสียงริสแบนด์ของจินยองก็ส่งเสียงเตือนขึ้นรัวๆ แองเจิ้ลส์น้อยที่อยู่บนเตียงขยับตัวกระสับกระส่ายค่าตัวเลขที่อยู่บนจอตรงหัวเตียงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว
“แบมแบม!” จินยองรีบวิ่งเข้าไปในห้องฆ่าเชื้อที่อยู่ประตูถัดไปที่ภายในเชื่อมต่อกับห้องกระจกแจ็คสันทำท่าจะวิ่งตามจินยองไปแต่ถูกเจบีคว้าเอาไว้ได้ทัน เขาจึงทำได้แค่เพียงยืนมองไม่ต่างจากเมื่อวานเพียงชั่วครู่จินยองก็เข้าถึงตัวเด็กน้อย แต่แบมแบมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อน เด็กน้อยสะดุ้งลุกขึ้นมาหันรีหันขวางอย่างตระหนกจินยองจึงต้องเข้าไปกอดเพื่อปลอบให้สงบลง
“ข้อมูลอะไรครับฮยองที่เรามีอยู่” แจ็คสันหันไปถามหัวหน้าที่มีสีหน้าเคร่งเครียดและจดจ่ออยู่กับสองคนในห้องเช่นกัน
“ว่าไงนะ”หัวหน้าแผนกลาดตระเวนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนต้องทวนคำถามซ้ำอีกครั้ง
“ข้อมูลของเมทของแบมแบมน่ะครับฮยอง”แจ็คสันเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะต้องหาคนคนนั้นให้พบเพื่อแบมแบม เพื่อคนที่เขารัก
“เรามีแค่ชื่อเท่านั้นแหละ”
“ชื่อเหรอครับ”แจ็คสันถามย้ำ พวกเขาสองคนคุยกันแต่ไม่มีใครละสายตาจากแองเจิ้ลส์น้อยที่อยู่ในห้องหรือแม้แต่จะกระพริบตา
เด็กน้อยที่อยู่ดูอ่อนแรงลงในอ้อมแขนของจินยองกวาดตามองไปรอบๆราวกับจะค้นหาใครบางคน จนกระทั่งตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้น มาสบเข้ากับคนที่กำลังมองหาทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที แต่ดูราวกับยาวนานไม่รู้จบ เมื่อแบมแบมเอื้อมมือมาหาเขาปากอิ่มของแองเจิ้ลส์น้อยขยับช้าๆ เขารู้ว่าแบมแบมกำลังเรียกเขา แต่รูปปากที่เด็กน้อยเรียกเขา ไม่ใช่แจ็คไม่ใช่คุณเต่า หรือชื่อใดๆ ที่เด็กน้อยเคยเรียก... เป็นรูปปากเดียวกับเสียงที่ดังออกมาจากเจบีที่ยืนอยู่ข้างตัวเขาที่กำลังเอ่ยชื่อเมทของแบมแบม... และเป็นเสียงเดียวกับที่เขาได้ยินในฝันสีขาวนั่นมาตลอดชีวิต...
“เจียเออร์..”
“เจียเออร์..”
“เจียเออร์..”
“เจียเออร์..”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in