.
.
.
"Only love can hurts like this."
“คุณแน่ในแล้วหรอคะอัลบัส?” เสียงนุ่มถามดัมเบิ้ลดอร์อย่างกังวลใจ ‘มิเนอร์ว่า มักกอนนากัล’ หยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดกระโปรงยาวแล้วเดินเคียงข้างศาสตราจารย์หนุ่มออกไปยังด้านนอกปราสาท
อากาศเย็นขึ้นจนเสื้อคลุมตัวยาวแทบจะเอาไม่อยู่ คงใกล้ถึงฤดูหนาวอีกแล้วสินะ
“เขาจะทำมิเนอร์ว่า...เขาจะไปปารีส” อัลบัสผูกผ้าพันคอสีเข้มรอบๆคอของเขา ควันขาวพวยพุ่งออกจากปากเมื่อยามเขาเอื้อยเอ่ยวาจา
“แต่อัลบัส เขาถูกกระทรวงสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศนะ?” หมวกปีกกว้างถูกสวมบนหัวของมิเนอร์ว่า เธอง่วนอยู่กับการผูกเชือกของหมวกที่ใต้คางแต่ด้วยลมเจ้ากรรมที่หอบพัดผ่านมาทำให้การผูกเชือกหมวกนั้นไม่ง่ายอย่างที่ใจคิดเลย
“เขามีวิธีของเขา...เช่นที่เขามีมาเสมอน่ะที่รัก” อัลบัสหันไปส่งยิ้มให้กับศาสตราจารย์สาวก่อนจะหยุดเดิน เขาเบี่ยงตัวเข้าบังลมแรงแล้วเอื้อมไปผูกเชือกหมวกให้ศาสตราจารย์สาวที่เดินมาด้วยกัน
“ขอบคุณค่ะ...คุณดูมั่นใจในตัวเขามากเลยนะ” ทั้งคู่เดินต่ออย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำบรรยากาศรอบข้างและบรรดานักเรียนที่วิ่งเล่นรอบๆสนามหญ้าทิศใต้ ด้านนอกตัวปราสาท
“แน่นอนว่าผมมั่นใจในตัวเขามิเนอร์ว่า” อัลบัสกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“เขาจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง ผมเชื่อแบบนั้น” เขาว่าต่อด้วยรอยยิ้ม
มิเนอร์ว่าถอนหายใจก่อนจะหันไปส่งยิ้มบางๆให้ดัมเบิ้ลดอร์ ใบหน้าเหนื่อยล้าของชายหนุ่มทำให้หัวใจของเธอปวดร้าวอยู่ลึกๆ
“ฉันอยู่นี่ ถ้าคุณต้องการอะไร...คุณบอกฉันได้เสมอนะคะ” เธอเอื้อมไปแตะที่ข้อศอกของศาสตราจารย์หนุ่มเบาๆ รอยยิ้มถูกส่งกลับมาจากเขาให้เธอ
“ขอบคุณนะมิเนอร์ว่า คุณแค่...อยู่กับผมก็พอ” มือหนากระชับมือเรียวบนข้อศอกของตนให้แน่นขึ้น ทั้งคู่เดินแนบชิดกันไปจนกระทั่งถึงร้านไม้กวาดสามอันในหมู่บ้านฮอกมีดส์ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้จากปราสาทฮอกวอตส์
อัลบัสรู้สึกดีใจที่เขามีเพื่อนที่ดีอย่างมิเนอร์ว่า มักกอนนากัล เธอเป็นคนสวย และเป็นคนนิสัยดี เธอเข้าอกเข้าใจคนอื่นและดูเหมือนเธอจะเข้าใจในตัวเขาเป็นพิเศษ
สายตาคมกริบราวกับสายตาของเหยี่ยวยามเมื่อเธอจ้องมองมา มันให้ความรู้สึกว่าเธอสามารถอ่านความคิดของเขาได้ และมันทำให้เขารู้สึกอับอายอยู่หน่อยๆที่ต้องบอกความลับที่ซ่อนลึกไว้ในใจออกไปในที่สุด
‘อัลบัส ฉันต้องหารือกับคุณเรื่องคริสมาสต์ปีนี้ มีนักเรียนลงชื่ออยู่กันแค่ 5 คน เราจัดคริสมาสต์เล็กๆได้...อัลบัส?’ มิเนอร์ก้มอ่านข้อความจากจดหมายในมือพลางเดินลึกเข้าไปในห้องทำงานของศาสตราจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด เธอชะลอฝีเท้าพลางกวาดสายตาสอดส่องไปรอบๆอย่างนึกสงสัย
‘อัลบัส คุณอยู่ไหม?” เธอถามอีกครั้ง
ทั้งห้องเงียบสงัดจนเกือบจะวังเวง ตัวกรินดี้โลว์แหวกว่ายอยู่ในถังน้ำที่มุมห้องส่งเสียงชวนจั๊กจี้ มิเนอร์ว่าขมวดคิ้วเข้าด้วยกันเมื่อสายตาพลันสะดุดกับตู้กระจกทรงสูงหลังหนึ่งที่ด้านในสุดของห้อง รูปทรงของตู้เป็นที่สะดุดตาในครั้งแรกที่มอง และยิ่งไปว่ารูปทรงของตู้นั้นคือสิ่งที่อยู่ด้านใน ด้านในของมันบรรจุบางสิ่งที่คล้ายกับอ่างสีเงินก้นตื้น มีของเหลวไหลวนอยู่ในนั้นหากแต่มันไม่ใช่ของเหลว มิเนอร์ว่าเดินเข้าไปใกล้จนกระทั่งเห็นบางสิ่งที่ทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้น
มันคล้ายกับภาพความทรงจำ ภาพที่เก่าคร่ำครึกบ่งบอกว่าความทรงจำนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ปีมาแล้ว เด็กหนุ่มสองคนวิ่งเล่นไล่จับกันไปมาในอ่างนั้น รอยยิ้มที่มีความสุขถูกส่งมาจากเด็กหนุ่มทั้งสอง มิเนอร์ว่าสามารถบอกได้ในครั้งแรกที่เห็นว่าหนึ่งในเด็กหนุ่มทั้งสองนั้นคืออัลบัส ดัมเบิ้ลดอร์
แล้วเด็กหนุ่มอีกคนเป็นใครกัน?
ไม่ถึงสองนาที เสียงของอัลบัสในความทรงจำนั้นก็ดังขึ้น เสียงของเขาในตอนนั้นเหมือนกันเสียงของเขาในตอนนี้เพียงแต่มันฟังดูเด็กกว่าและสดใสกว่า
‘จับฉันให้ได้สิเกลเลิร์ต’ อัลบัสว่าก่อนที่ตัวเขาจะวิ่งหนี
มักกอนนากัลตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยิน
เกลเลิร์ตไหน...คงจะไม่ใช่เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์พ่อมดผู้ก่อกบฏต่อโลกเวทมนต์นี้หรอกนะ...
‘นานก็รู้ว่าฉันจับนายได้อยู่แล้วอัล’ เกลเลิร์ตกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเริ่มเร่งฝีเท้าไล่ตามเด็กหนุ่มตัวเล็กไป
ไม่ทันขาดคำร่างสูงก็คว้าเอาข้อมือบางของอัลบัสไว้ได้ เขาดึงอัลบัสเข้ามาหาตัวแล้วยกแขนเรียวขึ้นโอบไปรอบๆตัวของเด็กหนุ่มตัวเล็กกว่า รอยยิ้มอย่างผู้มีชัยปรากฏอยู่บนหน้าหล่อเหลา
‘ฉันจับนายได้แล้ว’ เขากระซิบ เป็นเสียงกระซิบที่ดังก้องอยู่ในหัวของมิเนอร์ว่าจนกระทั่งเหตุการณ์ต่อไปทำให้เธอแทบกลั้นหายใจ
เด็กหนุ่มที่ชื่อเกลเลิร์ตโน้มตัวลงไปหาอัลบัสช้าๆจนปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน เขาถูปลายจมูกของตนเองกับเด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างเชื่องช้า สัมผัสนั้นทำให้อัลบัสอ่อนระทวยและผ่อนคลายในอ้อมแขนของเกลเลิร์ตก่อนจะแย้มรอยยิ้มหวานให้เด็กหนุ่มร่างสูง
‘ชื่อของเขา คือ เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์’ น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นที่ข้างๆตัว ทำเอามิเนอร์ว่าถึงกับสะดุ้งสุดตัว
‘อัลบัสฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วง ฉันแค่- ฉันขอโทษ’
‘ก็อย่างที่คุณเห็น ผมไม่มีอะไรจะแก้ต่าง’ อัลบัสถอนหายใจ เขาทรุดตัวลงบนพื้นด้วยท่าทีที่เหนื่อยอ่อนกว่าที่เคย
‘ฉันไม่ได้ตัดสินคุณจากสิ่งนี้อัลบัส’ มิเนอร์ว่าค่อยๆนั่งลงข้างๆศาสตราจารย์หนุ่ม เธอเอื้อมไปจับหัวไหล่ของเขาก่อนจะบีบมันเบาๆ
‘ผมรู้ว่าคนอื่นคิดยังไง ยิ่งเขาเป็นเกลเลิร์ตยิ่งแล้วใหญ่’ อัลบัสส่ายหน้า
‘คุณรักเขา นั่นแหล่ะที่สำคัญ’ มิเนอร์ว่าพูดเสียงเบา
‘เสมอมา’
มิเนอร์ว่ารู้สึกถึงหัวใจที่บีบคั้นอยู่ในทรวงอก น้ำตาค่อยๆเอ่อล้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เธอรู้สึกเห็นใจศาสตราจารย์หนุ่ม สงสารที่เขาต้องเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดไว้ เพียงเพราะคนที่เขารักเป็นที่ไม่เขาไม่สมควรจะรัก
‘มิเนอร์ว่า...ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันมาจากไหน ในตอนนั้นเขาเป็น- เป็นทุกอย่างของผม’
มิเนอร์ว่าไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแต่ดึงเอาพ่อมดหนุ่มเข้ามากอด ซึ่งเขาเองก็ยินยอมแต่โดยดี
ศาสตราจารย์สาวเลื่อนมือเรียวผ่านเรือนผมสีเข้มของอัลบัสไปช้าๆ ความรู้สึกรักใคร่และเห็นใจของเธอถูกถ่ายทอดผ่านการกระทำแทนคำพูด
‘คืนนั้นในก็อดดริกฮอลโล่ เราทะเลาะกัน...รุนแรงมากเสียจนน้องสาวของผมเข้ามาห้ามไว้’ อัลบัสเริ่มเล่า แต่เสียงของเขาขาดหายไปเสียดื้อๆและมิเนอร์ว่ารู้สึกถึงไหล่แข็งแรงที่สั่นไหวอยู่ในวงแขน
‘สิ่งที่ทำให้ผมเสียใจที่สุดไม่ใช่การปล่อยเกลเลิร์ตไป แต่เป็นเพราะผมไม่ฟังอารีแอนนา เป็นเพราะผมประมาท เธอถึงต้องตาย เธอตายเพราะผมมิเนอร์ว่า เพราะผมขี้ขลาดเกินไป’ อัลบัสจบประโยคด้วยเสียงสะอื้นพร้อมกับร่างหนาขดตัวเข้าหาอ้อมกอดของมิเนอร์ว่า ศาสตราจารย์สาวกอดพ่อมดหนุ่มไว้แน่น ดวงใจแตกสลายไปกับเรื่องเล่าที่เธอเพิ่งจะเคยรับรู้
‘เป็นเพราะรัก คุณถึงเจ็บปวดได้เพียงนี้’ มิเนอร์ว่ากระซิบเบาๆ
อัลบัสได้แต่สะอื้นไห้ เขาปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาในขณะที่เขาซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดของเพื่อนศาสตราจารย์
เขาร้อง ให้กับการจากไปของน้องสาวเพียงคนเดียว
ร้อง ให้กับชายหนุ่มที่เขารักหมดทุกเสี้ยวของใจ
ร้อง ให้กับสัมผัสที่มันร้อนรุ่นอยู่บนร่างกาย แอบซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนัง
ร้อง ให้กับคำอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อขอให้เขาไม่ไป
ร้อง ให้กับดวงใจที่มันแหลกสลายเมื่อนานมาแล้ว
ร้อง ให้กับความอ่อนแอที่เขาเก็บงำมันไว้แต่เพียงคนเดียว
ร้อง ให้กับตัวเขาเองที่มันช่างน่าสมเพชสิ้นดี
ถึงอย่างนั้นมิเนอร์ว่าก็ยังกอดเขาไว้
เธอก็ยังอยู่ตรงนั้นกับเขา
และเธอยังอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้
เขากระชับมือเรียวของมิเนอร์ว่าไว้ในมืออย่างนึกขอบคุณ
เขาไม่รู้ว่าหากขาดเธอไปแล้วเขาจะเป็นอย่างไร
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้าน สั่งเครื่องดื่มและนั่งลงยังโต๊ะไม้ด้านในสุดของร้าน
“ขอบคุณนะมิเนอร์ว่า” อัลบัสกระซิบ
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ศาสตราจารย์สาวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ขอบคุณที่เป็นตัวคุณในวันที่ผมไม่เป็นตัวเอง ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ผมมาเสมอนะ”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนเค้าทำกันหรอคะ...คอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน” มิเนอร์อมยิ้มพร้อมๆกับมาดามโรสเมอร์ทาเอาบัตเตอร์เบียร์มาเสิร์ฟศาสตราจารย์ทั้งสองคน
อัลบัสยกยิ้ม
“เอาล่ะ เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ?”
“ถึงตอนที่คุณส่งคุณสคามันเดอร์ไปปารีสค่ะ”
“อ้อ! งั้นผมว่าผมคงต้องส่งจดหมายนกฮูกไปหาเพื่อนเก่าซักหน่อยแล้วแหล่ะ ต้องบอกเขาเสียหน่อยว่าอาจจะมีแขกไปขอพักอาศัย...คุณคงไม่บังเอิญพกกระดาษกับปากกามาด้วยหรอกนะ?” อัลบัสหรี่ตามองแม่มดสาวตรงหน้าด้วยท่าทางขี้เล่น
มิเนอร์ว่าหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะล้วงลงไปหยิบม้วนกระดาษกับปากกาขนนกรุ่นพิเศษที่มีหมึกในตัวขึ้นมา
“เพราะอย่างนี้ไง! อาจารย์ใหญ่ดิพพิตถึงบอกว่าคุณควรเป็นอาจารย์ใหญ่คนต่อไป”
“พูดเป็นเล่นไปอัลบัส ถ้าอาจารย์ใหญ่คนต่อไปไม่ใช่คุณ ฉันจะลาออกจากฮอกวอตส์”
“ไม่เอาน่า คุณไม่ทำยังงั้นหรอกมิเนอร์ว่า” อัลบัสหลุดขำกับท่าทางจริงจังของอีกคน
“คอยดูก็แล้วกันศาสตราจารย์ดัมเบิ้ลดอร์” มิเนอร์ว่าหลิ่วตาให้พ่อมดหนุ่มแล้วยกบัตเตอร์เบียร์ขึ้นดื่ม ในขณะที่อัลบัสจรดปลายปากกาลงบนแผ่นกระดาษ เริ่มต้นจดหมายของเขาด้วยถ้อยคำที่คุ้นเคย
ถึง นิโคลัส เฟลมเมล เพื่อนยาก...
.
.
.
.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in