(บันทึกความรู้สึกเอาไว้ ด้วยกลัวว่าสักวันหนึ่งจะลืม)
ถ้าระยะเวลาสี่ปีของการเป็นนักศึกษา คือ บันทึกการเดินทางเล่มหนึ่ง.
'จบแล้ว...จริง ๆ' :)
นั่นคือความรู้สึกแรกหลังจากรับปริญญาบัตรมาแนบอกแล้วเดินถกกระโปรงขาขวิดกลับมาที่นั่ง
เวลาเกือบห้าปีที่มาหัวแดงแถวทุ่งอันเลื่องชื่อจบลงภายในไม่กี่วินาทีที่ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไปบ้าง ลบล้างอาถรรพ์ที่ว่างานอะไรที่เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล เราไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมเพราะร่างกายจะเปราะบางตลอด ครั้งนี้ก็ป่วย รองเท้าก็กัดอีก กัดฟันเดินได้แค่ในหอประชุม เสร็จพิธี ออกจากหอประชุมปุ๊บ สะบัดรองเท้าส้นสูงทิ้งทันที และเดินไม่เป็นมนุษย์ไปอีกหลายวัน ช่างเป็นประสบการณ์ที่สนุกและตราตรึงใจไปอย่างน้อยอีกหลายเดือน นี่คงเป็นบันทึกหน้าสุดท้ายที่จบลงอย่างสมบูรณ์
ย้อนกลับไปที่หน้าแรกสุดที่เว้นว่างเอาไว้...
คิดอีกสักกี่ที เราก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา ยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ
'ถ้า' ให้เลือกเขียนใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าเราคงไม่ได้มาเพ้อเจ้ออยู่ตรงนี้
และยิ่งกว่าแน่นอนว่าไม่มี 'อีกครั้ง' เพราะเราเขียนบันทึกเล่มนี้จบลงไปแล้ว
เรียนจบแล้ว อยากพูดหรือเขียนอะไรก็ได้ (หัวเราะ) ระยะเวลาสี่ปีของการเป็นนักศึกษาเป็นประสบการณ์ที่สนุกดี มีอะไรให้เขียนถึงอยู่เสมอ ถึงจะเขียนไม่ค่อยจบ ไม่ค่อยครบถ้วนกระบวนความ เพราะเป็นคนขี้เกียจ แต่กลับมาอ่านอีกครั้งมันก็ยังสนุกและเต็มไปด้วยความทรงจำเสมอ
การเดินทางในปีแรก
คงเหมือนโพนี่วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์
อาจจะดูไร้แก่นสาร แต่กลับเปิดโลกแคบ ๆ ของเราออกอย่างกว้างขวางสะดุดบ้างนิดหน่อยด้วยความซุ่มซ่ามส่วนตัว เป็นปีที่เจอคนแปลกหน้าเยอะมาก คนที่พยายามแอบอ้างตัวเองว่าเป็น introvert อย่างเราก็ค่อนข้างเวียนหัว แต่สนุกดี เจอคนหลากหลายแล้วย้อนมองตัวเองก็เลยยิ่งเห็นว่าตัวเรานี่มันเล็กจิ๋ว (เป็นความหมายโดยนัย มิใช่ขนาดตัว)
การเดินทางในปีที่สอง
แปลกดีที่เราเขียนถึงไว้น้อยมาก ทั้งที่เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยสิ่งใหม่ ๆ ไปตลอดทาง รวมถึงการเข้าใกล้สิ่งที่เรารักมากที่สุดในรอบยี่สิบปี ราวกับการก้าวออกจาก comfort zone เก่า เพื่อสร้าง comfort zone ขึ้นใหม่อีกแห่ง
ไปต่างประเทศครั้งแรก ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ตกเครื่องบินครั้งแรก บนบานที่ต่างประเทศครั้งแรก ฯลฯ
คิดถึงทีไรก็ได้แต่ขำในประสบการณ์อันเด๋อด๋า แต่ก็รู้สึกว่าเราโตขึ้นนะนิดหนึ่ง... (หมายความโดยรวมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ) เป็นการเดินทางที่บวกลบคูณหารแล้วยังไม่ติดลบ ยังสนุกสนานและเต็มไปด้วยพลังงานในการใช้ชีวิต
การเดินทางในปีที่สาม
เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ เราเหมือนเดินหลงทาง (ปกติก็หลงทางอยู่แล้ว เป็นคนทำแผนที่ที่ดูแผนที่ไม่เป็น สารภาพจากใจ) เป็นครั้งแรกหลังจากวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้มาสองปีที่ถามตัวเองดัง ๆ ว่า มาทำอะไรที่นี่วะ เป็นบันทึกที่ขมปร่าและคิดว่าคงจะเปียกชุ่มด้วยน้ำตาจนกระดาษเปื่อยยุ่ย เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่มองเห็นตัวเองชัดมาก แต่สายตากลับแย่ลงเพราะอดหลับอดนอนปั่นงานหน้าคอมพิวเตอร์และเป็นครั้งแรกที่ค้นพบว่า แสงสว่างนั้นทำให้แสบตา การใช้ชีวิตอยู่ในที่มืด ๆ จึงกลายเป็นงานอดิเรกไปเสียอย่างนั้น
การเดินทางในปีสุดท้าย
เป็นไฮไลต์เลยแหละ มีความพีคแปลกประหลาดเกิดขึ้นตลอดเวลาจนต้องถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า ชีวิตมันจะยากกว่านี้ได้อีกไหม? เขียนเก็บเอาไว้ว่าเป็นการเดินทางที่อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าราวกับคนแก่ กว่าจะเข็นให้บันทึกเล่มนี้ (ซึ่งนับรวมธีสิสด้วย) จบลงได้ก็ช่างยากเย็นเหลือใจ แต่กระนั้นก็เป็นเหมือนจุดที่จะเชื่อมไปยังจุดเริ่มต้นของ ‘อีกชีวิต’ หลังจากบันทึกเล่มนี้จบลง
แม้จะผ่านเหตุการณ์ที่ถามตัวเองว่า ไหวไหม? ยังไง? จะรอดไหม? อยู่บ่อยครั้งจนเชี่ยวชาญด้านการพูดคนเดียวและเขียนถึงตัวเองคนเดียว แต่ในที่สุดมันก็จบ...
จบลงอย่างสมบูรณ์เท่าที่จะสมบูรณ์ได้ ท่ามกลางการลุ้นจากคนรอบข้างและความกลัวว่าเราจะบ้าไปก่อน
ในบันทึกหน้าสุดท้าย
เพื่อจบบันทึกการเดินทางที่ขรุขระและเต็มไปด้วยหลุมบ่อที่เราขุดด้วยตัวเอง เราเขียนข้อความเลี่ยน ๆ เช่นนี้เอาไว้...
ยินดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนผู้ร่วมผจญภัยไปด้วยกัน ยินดีมาก ยินดีน้อย ลดหลั่นกันไป ไม่ว่ายังไงก็คือยินดีค่ะที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบันทึกเล่มนี้ให้เราได้หยิบไปเล่า ไปเม้าท์อย่างเมามัน
ขอโทษด้วยที่พาหลาย ๆ คนมาตกระกำลำบากในความไม่ได้เรื่องได้ราวนี้ด้วยกัน บางครั้งคิดว่าหลายคนคงอยากตบเรียกสติเรา แต่ก็ยับยั้งชั่งใจไว้ได้ คุณทำถูกแล้วล่ะค่ะ เรากลัวเจ็บ อย่าตบเราเลย (ด่าได้ แต่อย่าดัง เราใจบาง)
ขอบคุณทุกคน ทุกสิ่ง และทุกอย่าง ซึ่งไม่อาจกล่าวถึงได้หมดด้วยความเขินอายของเราเอง ขอบคุณที่อดทน เข้าอกเข้าใจเอ็นดู เชื่อใจ ไว้วางใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ขอสาบานอย่างจริงจังว่าเรานั้นหาดีไม่ได้ การที่จะให้ดีขึ้นกว่านี้คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงขอบคุณที่คุณ ๆ ยังอยู่ด้วยกัน และเราติ๊ต่างว่าคุณ ๆ คงจะอยู่กับเราต่อไปเรื่อย ๆ
บันทึกนี้เป็นของนักเดินทางเสี่ยงโชคผู้ถือแผนที่อยู่ในมือก็ยังหลงทางได้
และมีความโชคดีเป็นเพียงคำศัพท์ในพจนานุกรม
“เราโชคดีเท่าที่ดวงซวยจะละสายตาไปจากเราเสียบ้าง”
ข้อความบนการ์ดที่ได้รับมาเมื่อวานช่างตรงกับชีวิตเสียนี่กระไร อ่านแล้วหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว
จบ.
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
แก้ไขครั้งที่ ๒ เมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in