-2-
“เล่าเรื่องสะพานของโลกหน้าให้ฟังหน่อยสิครับ”
“เรื่องพรรคนั้นน่าเบื่อจะตาย”
“มีอะไรน่าเบื่อกว่าชีวิตของผมตอนนี้อีกเหรอ”
“มีอย่างหนึ่งที่นายกับฉันไม่เบื่อ”
“อเมริกาโน่/
“อ่อไม่หวานด้วย”
บรรยากาศครื้นเครงผสมกับท่าทีตลกจนตัวโยน แทบจะอ่อนปวกเปียกท่ามกลางแสงไฟสีส้มอ่อนสลัวของสวนสาธารณะไม่ใช่ภาพคุ้นตาสำหรับชายหนุ่มเท่าไหร่นัก ปกติจะเป็นกองเลือดและกลิ่นควันธูปเจือจาง หรือไม่ก็เตียงนอนหกฟุตกับฝ้าเพดานผุกร่อนนาน ๆ ทียมฑูตหมายเลขสองจะแวะเวียนมากวนประสาทกันเล่นบ้างเป็นพิธี พอนึกขึ้นมาได้แล้วหมอนั่นยังดูเห็นบ่อยกว่าอย่างอื่นซะอย่างนั้น หลอกหลอนชะมัด
เขาหันมองเด็กทั้งสองสนทนาเรื่องราวทั่วไปอย่างชั่งใจ นึกแปลกแยกว่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่ถึงมีเซ้นส์เรื่องอารมณ์ขันกับมุขน่าเบื่อได้ขนาดนั้น
“แบบนี้เรียกมุขหรอกเหรอ”
“sense of humor”
ภายนอกฉาบด้วยภาพลักษณ์วัยเยาว์ หากแต่ภายในมีอายุราวสองศตวรรษเทียบเท่าคุณตาทานมังสวิรัติในจังหวัดเอฮิเมะที่เพิ่งเสียไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มคอยตระหนักตัวเองยามทอดสายตามองท่าทางขะมักเขม้นเช่นนั้น เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าคนอายุร้อยกว่าปีกำลังเสวนาเรื่องบนโลกกับวิญญาณเร่ร่อนได้ราวกับความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทได้ยังไง
“ผมลืมไปว่าคนอย่างคุณคงไม่มี sense of humor”
“เขาหน้าเดียวตลอดเวลาเลยเหรอครับ”
คนอายุราวสองศตวรรษหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น “พูดถูกใจดีนี่” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเด็กหนุ่มหันกลับมาจ้องมองนัยน์ตาคู่โศกตรงหน้า พร้อมชี้นิ้วสลับกลับไปกลับมาระหว่างชายหนุ่มกับเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นข้างกายที่ต่างกันลิบลับทั้งอายุและสถานะ “คุณยมฑูตพอจะมีรางวัลสำหรับ sense of humor
“ค่าผ่านทางไปปรโลกไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
“ให้ตายเขาไม่มีแม้กระทั่ง sense of human”ทั้งสองก้มตัวขำเกือบจะพร้อม ๆ กันทันทีที่ประโยคดังกล่าวเอ่ยจบ ขัดอารมณ์คนฟังเสียกว่ากองเหนื่อยหน่ายพะเนิดสูงอันเกิดจากความระเกะระกะของการคมนาคมช่วงเช้าวันจันทร์ที่มีนัดประชุมเร่งด่วน ทว่านาฬิกาปลุกซอมซ่อในห้องดันหมดถ่านเสียดื้อ ๆ แถมยังหยุดตายในเวลา deepsleep —
ความจริงหมอนี่ไม่เคยลดละความน่ารำคาญแต่ไหนแต่ไร
“ผมจะได้เจอคุณอีกไหม”
ถ้าหากสามารถลบล้างความทรงจำของมนุษย์ได้นับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่สามารถลบเลือนความทรงจำของตัวเองได้ชั่วนิรันดร์ คงดูเหมือนเป็นทักษะไร้ประสิทธิภาพสิ้นดี
นัยน์ตาเด็กชายผู้นั้นถูกตีตราว่าเป็นตัวแทนของความหวังบนโลกมนุษย์ อย่างที่เขาเพิ่งจะทำความเข้าใจเป็นครั้งแรก หนำซ้ำยังผนึกไว้กับตัวตนผ่านช่วงเวลานั้นโดยเรื่องอันใช่เหตุ นับรวมการนึกเห็นความผิดบาปอันเคยก่อยังดูน้อยกว่าหลายโข
“ลองทำสายตามีความหวังให้ดูหน่อยจะได้ไหม”
“เขาหมายถึงค่าผ่านทางหรือเปล่านะ”
ใครบางคนเพิ่งค้นพบว่าตัวเองเสียใจกับเรื่องใดมากที่สุดกำลังร้องไห้จนตัวโยนเสียงสะอื้น เรียกให้ชายหนุ่มชุดสูทหันกลับไปมอง ทว่าทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลง
“ช่วยอยู่เฝ้ามองผมจากดวงดาวอันใกล้โพ้นด้วยนะครับ”
คำปรารถนาของมนุษย์ผู้หนึ่งดังก้องเข้ามาในหัวด้วยพลังอันเปี่ยมล้น ดวงตาน่าฉงนคู่นั้นแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา หากแต่สีวอลนัทยังคงสะท้อนตัดกับแสงแดดรำไรเฉกเช่นเดิม
“เขาซื่อสัตย์ดีนะคะ”
“ถ้ามีชีวิตต่อจากนี้อีกหน่อยก็คงจะดีกับเขาไม่น้อย”
“เขากล้าหาญขึ้นมากกว่าที่คิดเลยค่ะไม่คิดว่าเด็กใจเสาะแบบนั้นจะเข้มแข็งขึ้นมาได้”
ผมเผลอสบตาเธอเล็กน้อย ก่อนหลบสายตาลงต่ำพร้อมผายมือไปทางด้านหลัง อาจเป็นการกระทำไร้ความสุภาพ หากแต่โลกหลังจากการมีชีวิตแทบจะไม่ต้องใช้กฎเกณฑ์กำหนดอะไรให้ยุ่งยาก ทุกคนคือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่มีเป้าหมายต่างกัน ผมทำหน้าที่คลับคล้ายเพียงแค่ผู้ส่งสานส์เท่านั้น ถ้าหากจุดมุ่งหมายของเขาคือพระเจ้า หรือบางคนก็เชื่อหมดใจไปก่อนว่าพระเจ้าละทิ้งมนุษย์ไปอย่างไม่มีเหตุผลเสียแล้ว ผมก็คงให้คำตอบใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเองถ้าหากต้องเอ่ยถ้อยคำปลอบโยนคงรู้สึกละอายตัวเองอย่างบอกไม่ถูก
คู่หูของผมคว้าสมุดจดบันทึกขึ้นมาดูตัวหนังสือสีดำสนิทเผยออกมาจากแผ่นกระดาษปรู๊ฟเป็นภาพพิมพ์หมึกดำชัดเจน ถ้าเปรียบบนโลกมนุษย์คงต้องบอกว่าราวเสกเวทมนต์
“เหมือนวันนี้จะงานเยอะเอาเรื่องอุบัติเหตุรถประจำทางนี่ล่ะ” ผมมองเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้จะมีอีกหนึ่งดวงวิญญาณยืนรอชะตากรรมอยู่ข้าง ๆ เราทั้งสองต่างก็มักจะหยุดนิ่งเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ดี แน่นอนว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
“วันนี้ผมขอค่าตอบแทนเป็นอเมริกาโน่แก้วใหญ่แล้วกัน ดีล”
“เกิดเรื่องโชกเลือดขนาดนั้นยังนึกสนกาแฟอยู่อีก”
หญิงวัยกลางคนไม่ได้ส่งคำถามยิบย่อยให้แก่ผมเหมือนวิญญาณตนอื่น ๆ ดูเหมือนจะเป็นคนประเภทเก็บบางอย่างไว้ในใจเพื่อค้นพบคำตอบด้วยตัวเองเสียมากกว่า หรือไม่คงไม่อยากเปิดบทสนทนากับคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะโต้เถียงกันถึงสถานการณ์นองเลือดกับอเมริกาโน่ ซึ่งไม่มีเค้าโครงส่วนไหนสามารถเชื่อมโยงกันได้สักนิด จะเรียกให้ถูกคือเธอกำลังลดความน่าเชื่อถือในตัวผมลงเรื่อยๆ
“คุณป้าครับใครบางคนบอกกับผมว่าเราจะเป็นนิรันดร์ถ้าไม่กลัวสิ่งใด เพราะฉะนั้นอย่าหวาดกลัวอะไรเหมือนกับผมอีกเลยนะ ข้างบนนั้นหรือที่ไหนสักแห่งคงไม่ใจร้ายเกินไปหรอกใช่ไหมครับ อย่าห่วงอะไรอีกเลยครับ แม่สบายดี ผมสบายดี ทุกคนไม่ได้ห่วงป้าแล้วไม่ต้องห่วงพวกเราแล้วนะ ไม่ต้องกลัวอะไรข้างหน้านั่นด้วย เพราะเราจะเป็นนิรันดร์”
“เพราะเราจะเป็นนิรันดร์”
ผมทบทวนคำอธิษฐานเงียบๆ ในใจ ถ้าต้องเลือกเปรียบเทียบอมนุษย์คงคู่กับคำว่าอมตะ ในขณะที่มนุษย์คู่กับความตาย อย่างเดียวที่อมนุษย์สามารถมีคือนิรันดร ทว่าอย่างเดียวที่มนุษย์สามารถปรารถนาและอยากจะไปถึงคือความเป็นนิรันดร์ มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าหากทุกสรรพสิ่งมุ่งหวังสิ่งเดียวกัน พวกเขาจะไปถึงจุดเดียวกันได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า ในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมรู้คำตอบถาวร และในโลกมนุษย์ผมเคยเรียนรู้คำพูดติดปากอย่างแม้แต่เหรียญยังมีสองด้าน จากพ่อมดที่อาศัยอยู่ในร้านเบเกอรี่ คลุกคลีกับมนุษย์จนเคยตัวแทนที่จะศึกษาตำราเวทหรือปรุงยา นอกจากนั้นเขายังพร่ำสอนอีกอย่างคือบางทีการที่ผมรู้มากมายอาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป เขาบอกผมว่าอย่างนั้น แต่ทุกอย่างไม่ใช่เหรียญสักหน่อย ช่างเป็นพ่อมดที่โอ้อวดเสียจริง
ความหวังน่ะหรือ
ผมหันกลับไปมองเบื้องหลัง คู่หูที่กำลังง่วนอยู่กับสมุดปกแข็งในมือชะงักปลายเท้าชั่วขณะ เมื่อเห็นผมหยุดนิ่ง หญิงวัยกลางคนลอบมองใบหน้าผมอีกคราด้วยสายตาใคร่สงสัยกว่าครั้งไหน ๆ
สีวอลนัทสะท้อนตัดแสงแดดจากมู่ลี่บานหนึ่ง จ้องกลับมายังพื้นที่ที่ผมยืนอยู่อย่างน่าประหลาด เขาโบกมือสุดแขน ริมฝีปากยกขึ้นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ยามมีความสุขกับบางสิ่งบางอย่าง ความคิดในหัวของผมปั่นป่วนและหยุดนิ่ง เสมือนรถยนต์ที่กระตุกไม่เป็นจังหวะเพราะสูญเสียการควบคุมจากกลไกภายในและดับลงหลังไร้น้ำมันขับเคลื่อน เด็กหนุ่มวิ่งผ่านร่างของผมไปเป็นเพียงแค่มวลอากาศ ก่อนจะพบว่าเขาเพิ่งกระโจนสวมกอดชายชราท่านหนึ่งที่เดินเข้ามาพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง เขาเอ่ยปากเรียกคำว่าคุณตานับครั้งไม่ถ้วนให้หายสงสัย
เมื่อแววตาคู่นั้นปรากฏต่อหน้าผมจึงได้ทบทวนกับตัวเองอีกครั้ง,
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in