-1-
"เยอบีร่า" นิ้วเรียวยาวชูสัญลักษณ์เลขหนึ่ง แทนการเอ่ยประโยคยาวเหยียดอันไม่พึงกระทำ เรือนร่างสูงโปร่งคว้ากระเป๋าธนบัตรสีดำขลับจากเสื้อสูทขึ้นถือรอ หลังใช้สิทธิ์ของการเป็นผู้บริโภคเอ่ยสั่งเจ้าของร้านวัยกลางคนด้วยวาจาชัดถ้อยชัดคำ ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะยอมปริปากกับใครในวันธรรมดาสามัญ เว้นเสียแต่วันนี้ช่างต่างออกไป ไม่เชิงว่าเป็นวันพิเศษกว่าทุก ๆ ครั้งหนำซ้ำมันกลับตรงกันข้าม, ไร้ซึ่งข้อเปรียบต่างทั้งหมดทั้งมวล
ชายวัยกลางคนหน้าเคาน์เตอร์ขานรับท่าทางนอบน้อม ก่อนจะหันหลังคว้าหาดอกเยอบีร่าตามคำบอกกล่าว จัดแจงตัดแต่งกิ่งก้านให้ดูทัดเทียมสวยงาม พลางห่อเข้ากับกระดาษสีอ่อนจนดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างชำนิชำนาญ
"ช่วงนี้แวะเวียนมาบ่อย ๆ เลยนะครับ" เจ้าของร้านยื่นสินค้าให้แก่เขา พร้อมรอยยิ้มเต็มเปี่ยมความรู้สึก
ชายหนุ่มเพียงแค่แสดงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม มันคงแตกต่างจากบุคคลสามัญทั่วไปเพราะชายวัยกลางคนเริ่มแสดงอาการกระอักกระอ่วนด้วยการเสสายตาไปทางอื่นแทน หากเขาปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับบรรยากาศรอบข้างอันน่ารื่นรมณ์ ยิ่งในใจเต็มไปด้วยความขื่นขมอย่างหาสิ่งเทียบเคียงมิได้แล้วนั้น ช่างเป็นเรื่องไกลตัวนัก การเผยความจริงใจแก่ใครสักคนคงเป็นไปได้ยากเกินความสามารถ โดยเฉพาะบุคคลแปลกหน้าดูเป็นเรื่องไกลตัว ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็มีความกล้ามากพอสำหรับเผชิญหน้าและพูดคุยกันในที่สาธารณะ กระทั่งไม่ทราบสถานภาพของคู่สนทนา หากแต่ถ้อยคำปรุงแต่งหรืออาจไม่ได้เกิดการกลั่นกรองแม้แต่นิดเหล่านั้นกลับไม่ลังเลต่อการบอกเล่า ภายใต้หัวข้อบทสนทนาไร้ที่ไปที่มามักเกิดขึ้นได้ง่ายดาย สำหรับเขาการทำเช่นนั้นต้องเป็นกรณียกเว้น หากโลกนี้จะหลงเหลือมนุษย์เพียงคนเดียว เขาก็ไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับคนผู้นั้น
บางครั้งบางคราฟ้าฝนก็มักหลงฤดู ท่ามกลางสิ่งหนึ่งยังมีอีกสิ่งซ้อนทับ เปิดเผยตัวตนและปิดบังความใคร่สงสัยอยู่เสมอ โลกคือความสับสนอลหม่านนับครั้งไม่ถ้วน เพราะโลกคือที่อยู่ของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะผู้ซึ่งทำตัวเป็นเจ้าของพื้นโลกเฉกเช่นมนุษย์
ธนบัตรสีซีดใบเก่าถูกยื่นวางบนเคาน์เตอร์เต็มจำนวน ไม่ต้องเมื่อยยืนรอเงินทอน ในเมื่อเขาไม่ต้องการปล่อยให้เวลานับถอยหลังเร็วขึ้นกว่านี้ "ขนลุกแปลกๆแหะ" เจ้าของร้านพึมพำเสียงอ่อน เมื่อละสายตาออกจากแผ่นหลังชายหนุ่มผู้เป็นลูกค้า ก่อนจะพบว่าจำนวนธนบัตรเกินมาหนึ่งใบ แต่ก็สายไปเสียก่อนที่จะตามลูกค้าแสนเย็นชาเพื่อคืนในส่วนที่ตัวเองรับไว้ไม่ได้ แม้เขาคนนั้นจะเดินพ้นกรอบประตูไปได้ไม่นาน หากแต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่บริเวณหน้าร้านกลับมีเพียงท้องถนนโล่งกว้างอบอวลไปด้วยควันพิษการจราจรอันน่าเหนื่อยหน่าย "เดินเร็วชะมัด" ชายวัยกลางคนพึมพำเช่นนั้น ธนบัตรใบเก่าจึงถูกเก็บไว้ใต้ลิ้นชักรวมกับของจิปาถะในร้าน และได้แต่ภาวนาว่าเขาจะไม่หลงลืมจนกลับถึงบ้านไปซะก่อน
/
เส้นขอบฟ้าในฐานะรุ่งอรุณเพิ่งร่ำลาการท่องเที่ยวแถบชายฝั่งยุโรปเสร็จสิ้น แสงนวลอ่อนทอดน้ำหนักบางเบาพาดทับผนังห้อง เผยเงานกพิราบตัวหนึ่งข้างบานหน้าต่างส่งเสียงร้องเรียกพรรคพวก การกระทำของสรรพสัตว์ทำให้มนุษย์เริ่มตระหนักถึงโมงยามแห่งชีวิต ผ่านหนึ่งวันธรรมดาว่าน่าชื่นชมรวมถึงน่าชิงชังเพียงใดแม้ปราศจากสิ่งมีชีวิต บนโลกนี้ยังคงดำเนินต่อไปไม่มีวันสิ้นสุดเป็นเวลาเกือบหนึ่งสหัสวรรษสำหรับการทอดสายตาอันว่างเปล่าให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับควันธูป สูดดมกลิ่นความเศร้าโศกเคล้าน้ำตาประกอบสาส์นส่งผ่านเบื้องบน รอคอยการร่ำลาครั้งสุดท้ายกับภาพบนกรอบรูปสีเข้ม แม้ดาวฤกษ์ ณ ใจกลางระบบสุริยะยังคงจงใจสาดส่องเยือนพื้นโลกนับครั้งไม่ถ้วน ช่างน่าเสียดายไม่มีสิ่งใดแปรผันอีกต่อไปแล้ว
"ผมนึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวของการมีชีวิตบนโลกได้เมื่อไม่นานมานี้ ผู้คนจะรู้สึกดีหากได้เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมคือข้อยกเว้นไม่อาจเข้ากับแสงตะวันยามเช้าอย่างไร้ข้อกังขาราวสัตว์ปีกบนเวหา ไม่อาจลิ้มรสอาหารได้ราวถวายชีพ ดูแปลกแยกกว่าครั้งเยาว์วัย ไม่อาจสรรค์สร้างตัวตนผนึกลายเซ็นต์ลงบนผืนผ้าได้อย่างใจหวัง ไม่อาจเก่งกาจล้นพลังเกินความเดียวดายความเปลี่ยวเหงาครอบคลุมสุมดวงไฟบนก้อนเนื้อข้างซ้าย บางครั้งก็เป็นเพื่อนผู้แสนดีถึงรุ่งเช้าบางครั้งก็กัดกินตัวตนอย่างละโมบไม่มีที่สิ้นสุด จนหลงลืมกระทั่งโมงยามครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่อยากให้ตัวอักษรบริสุทธิ์อันเกิดจากการบรรจงสร้างติดตัว ตั้งแต่ลืมตาตื่นด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกกลายเป็นเรื่องกล่าวขานน่าฉาวโฉ่ ทว่าเมื่อโมงยามชั่วขณะหนึ่งมาเยือน กลับเลือนรางราวเงาใสสะท้อนบนผืนน้ำเคลื่อนไหวไปตามกระแสความเชี่ยว สายเกินกว่าเงาของตัวตนจะถูกขนาบราบบนพื้นโลกบัดนี้ ไม่มีอีกแล้ว ไม่อาจเกิดเรื่องราวอันน่าจดจำอีกหน ผมไม่ต้องการเป็นทั้งอย่างใดอย่างหนึ่งบนโลกนี้, แม้กระทั่งโลกใบนี้ — น่าประทับใจจริงๆ"
"อย่าแตะต้องข้าวของมั่วซั่ว"เด็กหนุ่มถอดสีหน้า ยิ้มเยาะเสี้ยวหนึ่งนิ้วเรียวยื่นกระดาษแผ่นบางในมือส่งต่อให้แก่ชายหนุ่มข้างกาย
ดวงตาสีหม่นทอดมองคู่สนทนาที่ไม่ยอมละวางความเคร่งขรึม แม้จะต้องพบเจอกันยาวนานร่วมหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ยังคงสีหน้าไร้ชีวิตชีวาดังเดิม จะเรียกให้ถูกคงเป็นสีหน้าถาวรของชีวิตเสียมากกว่า
"เห็นคุณยุ่ง ๆ น่ะเผื่อไม่มีเวลาอ่าน ผมว่ามันมีความหมายกับมนุษย์ดีนะ ยกเว้นโลก" มุมปากหยักยกขึ้นแสร้งสีหน้า ราวรู้สึกผิดเต็มประดากับถ้อยคำหยั่งลึกยิ่งกว่าอายุขัยของตน "มันไร้ค่า"
“ต้องให้ประเมินว่าไม่ผ่านก่อนรึไงถึงจะเลิกทำตัวโอ้อวด”
“เสียใจจังความรู้สึกของผมดูเหมือนการโอ้อวดอย่างนั้นแหะ” เด็กหนุ่มชักสีหน้าเหยเกยกมือทาบอก ราวนำเสนอท่าเลียนแบบตัวละครตามร้านขายเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่เจ้าตัวมักแอบอู้ไปเดินตากแอร์อยู่บ่อยครั้ง
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ”
“เวลาแบบนี้แหละน่าเบื่อที่สุด”
“ไม่ต้องทำตัวติดกันตลอดก็ได้มั้ง”
“ช่วยไม่ได้นี่ขืนกลับไปสภาพนี้คงโดนหมายหัว” คนเด็กกว่าแค่นหัวเราะ ขณะลงกลอนหน้าต่างแน่นหนา ช่วงเวลาหนึ่งกลับชะงักการกระทำก้มมองรองเท้าหนังสีดำขลับยี่ห้อหรูที่ได้รับมอบจากหัวหน้ามาอย่างดี,
“ก็เพราะเคยมีชีวิตน่ะสิ”
“หนูทำไมร้องขนาดนั้นล่ะลูก” น้ำเสียงแหบแห้งของคุณป้าท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มจึงหันกลับไปมองด้วยความแคลงใจว่าใครคือเจ้าของเสียงสะอื้นในระยะใกล้เคียง
“ผมฮึก ผม...มะ ไม่รู้ ฮื่ออ”
โดยปกติการรร้องไห้ของมนุษย์ถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ชายหนุ่มมักแสดงอาการชินชาแด่ปฏิกิริยาเหล่านั้นนับครั้งไม่ถ้วน เรียกให้ถูกคือตายด้านกับเรื่องนี้มาเกือบครึ่งสหัสวรรษ ถึงพวกเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีเสียใจหรือร้องห่มร้องไห้แก่โชคชะตาในช่วงวัยของคนผู้นั้นก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด ความเงียบคอยเป็นสารโยงใยระหว่างที่กำลังบรรเทาความเจ็บปวด ณ ช่วงเวลาหนึ่งเสมอ อีกหนึ่งความหมายคือความเงียบเป็นสัญญาณของความเข้าอกเข้าใจ เพราะฉะนั้นความเงียบจึงมีความหมายในตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นเด็กของเขา หรือดวงตาแดงก่ำกำลังดึงดูดสายตากันแน่ เด็กชายตรงหน้าก้มหน้าปิดบังอารมณ์เศร้าโศกเคล้าน้ำตา ปล่อยตัวสะอื้นไห้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ ยิ่งทอดสายตามองสถานที่จัดงานโล่งกว้าง เมื่อครั้งหนึ่งเคยพบเจอกันและกันก็ยิ่งเร้าหยดน้ำสีใสร่วงหล่นไม่ขาดสายอย่างเอาแต่ใจ
น่าสงสาร
ไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ
การพบเจอความเจ็บปวดถือเป็นเรื่องปกติ คนที่เข้มแข็งกว่าจะมีโอกาสใช้ชีวิตบนเส้นทางซึ่งรายล้อมไปด้วยความเจ็บปวดนานาชนิดด้วยการกักเก็บเรื่องราวบางอย่างไว้ในซอกหลืบหนึ่ง เพื่อเผชิญหน้า และเริ่มเรียงร้อยบทเขียนของตัวเองผ่านการดำเนินกิจวัตรในเช้าวันถัดไป ทว่าเมื่อช่วงเวลาหนึ่งยังไร้เดียงสา หมดหนทางขจัดเรื่องราว ย่อมกลับหลังหันให้กับเส้นทางเดินแห่งความเจ็บปวดนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดวงตาสีวอลนัทแดงก่ำใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา ริมฝีปากห่อแดง เนื่องจากต้องกัดขบข่มอารมณ์หม่นหมองไว้ภายใน เด็กชายต้องการจะปิดประตูห้องที่เรียกว่าความตายเอาไว้ หากแต่ประตูนั้นยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในทุกหนทุกแห่ง — ประตูบานนั้นเรียกว่าความคิด
ผมเชื่อว่าสักวันเขาต้องโคจรกลับมายังเส้นทางเดิมและผ่านมันไปได้
ผมก้าวเท้าและหยุดยืนตรงหน้าเด็กชาย “กินซะ”
นิ้วเรียวยื่นลูกอมกลิ่นส้มที่ติดอยู่กับเสื้อสูทตัวนอกเสนอให้แก่เด็กชาย ดวงตาแดงก่ำที่เคยมองจากอีกฟากฝั่งส่งสายตาน่าฉงนผ่านความเงียบ กลับเป็นคำถามในความเงียบที่ได้ยินเสียงชัดถ้อยชัดคำเขาคงอยากรู้เต็มทีว่าชายแปลกหน้าคือใคร เหตุใดถึงเข้ามาที่นี้และทำไมถึงยื่นลูกอมให้กับเขา
ความสามารถอย่างหนึ่งสำหรับอมนุษย์ที่มีจิตแข็งมากพอจะปรากฎตัวต่อสายตามนุษย์ได้โดยไม่มีข้อกังขาใดใด ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ต่างไปแค่มีความสามารถมากกว่านั้นคือจะปรากฏตัวเมื่อใดก็ได้ตามใจชอบ หรือปลอมตัวสร้างความวุ่นวายก็เป็นอีกหนึ่งทักษะ ใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ทั้งหมดเป็นเพียงแค่หนึ่งในอภิสิทธิ์หลัก ๆ สำหรับผู้คุมวิญญาณ ทว่าภาระหน้าที่ในโลกอมนุษย์มีมากเกินกว่าจะเก็บออมมาเสวยสุขบนโลกและผมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการใช้ชีวิตแบบที่มีชีวิตเดียวน่ะ ไม่สนุกหรอก
เด็กชายส่ายหน้าอย่างช้า ๆ มือข้างหนึ่งกำชายเสื้อตัวเองด้วยความประหม่า “
เขาพยายามเลี่ยงคำถามตรงทื่อกับคนแปลกหน้าโดยไม่จำเป็น“หือ เธอคิดว่าฉันเป็นผีหรือไง”
เด็กชายเหลือบตามองชั่วครู่แล้วจึงก้มหน้าดังเดิม “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิชีวิตอมตะน่ะ”
“
ประโยคบอกเล่าไร้กระทั่งถ้อยคำคำเกริ่นนำ หรือปิดท้ายสิ้นสุดลงเด็กชายรีบเงยหน้า ละสายตาออกจากรองเท้าเปื้อนเศษดินของตนทันควัน ดวงตาสีวอลนัทสบนัยน์ตาสีหม่นของผมด้วยความแน่วแน่ ที่แม้แต่คนรอบตัวยังบอกว่าแววตาของผมมันน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ตรงกันข้าม, เด็กชายตรงหน้ากลับไม่ได้ทิ้งเศษซากความหวาดกลัวหรือลังเลใจหลงเหลือแม้แต่น้อย
แววตาเป็นประกายแบบนี้น่ะหรือ
ที่มนุษย์เรียกว่าความหวัง
ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
“อ่ะ สวัสดีค่ะ” หญิงวัยกลางคน ใบหน้าซูบตอบ ตรงปรี่เข้ามาระหว่างกลางของเราทั้งสองชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ปัดป่ายเสื้อสูทอย่างเบามือ พลางโค้งตัวทักทายเธอด้วยความสุภาพ
เธอฉวยข้อมือเด็กชายตรงหน้ากำไว้อย่างหละหลวม เพราะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าอย่างผมขณะแสดงตัวเคารพตามมารยาท
“ผมแวะมาแสดงความเสียใจในฐานะเพื่อนบ้านคนใหม่น่ะครับ” นับเป็นบทพูดที่ค่อนข้างยาวเสียจนน่าหวั่นใจ เผลอ ๆ มันคงยาวกว่าคำพูดของเดือนก่อนรวมกันทั้งเดือน เพียงเพราะพยายามจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ผิดแปลกไป จากแผนการพูดเป็นคำ ๆ ในแต่ละวันจึงถูกเลี่ยงใช้ไปก่อน
เธอพยักหน้าช้า ๆ นัยน์ตาคู่โศกบวมแดงเริ่มทำการสำรวจคนแปลกหน้าอีกครา
ผมชะงักปลายเท้าด้วยความระแวดระวังเมื่อรู้ตัวว่าเสื้อสูทโทรม ๆ ที่ผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วนกำลังถูกใครบางคนรั้งไว้
ความหวังน่ะหรือ
เมื่อแววตาคู่นั้นปรากฏต่อหน้าอีกครา
“สักวัน”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in