เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Eternal of the Sunsetwallflowerblu
alive

  • แล้วทำไมต้องทำสภาพน่าสมเพชเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ด้วยนะ

    ก็เพราะเคยมีชีวิตน่ะสิ

     

    -1-


    "เยอบีร่า" นิ้วเรียวยาวชูสัญลักษณ์เลขหนึ่ง แทนการเอ่ยประโยคยาวเหยียดอันไม่พึงกระทำ เรือนร่างสูงโปร่งคว้ากระเป๋าธนบัตรสีดำขลับจากเสื้อสูทขึ้นถือรอ หลังใช้สิทธิ์ของการเป็นผู้บริโภคเอ่ยสั่งเจ้าของร้านวัยกลางคนด้วยวาจาชัดถ้อยชัดคำ ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะยอมปริปากกับใครในวันธรรมดาสามัญ เว้นเสียแต่วันนี้ช่างต่างออกไป ไม่เชิงว่าเป็นวันพิเศษกว่าทุก ๆ ครั้งหนำซ้ำมันกลับตรงกันข้าม, ไร้ซึ่งข้อเปรียบต่างทั้งหมดทั้งมวล

     

    ชายวัยกลางคนหน้าเคาน์เตอร์ขานรับท่าทางนอบน้อม ก่อนจะหันหลังคว้าหาดอกเยอบีร่าตามคำบอกกล่าว จัดแจงตัดแต่งกิ่งก้านให้ดูทัดเทียมสวยงาม พลางห่อเข้ากับกระดาษสีอ่อนจนดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างชำนิชำนาญ

     

    "ช่วงนี้แวะเวียนมาบ่อย ๆ เลยนะครับ" เจ้าของร้านยื่นสินค้าให้แก่เขา พร้อมรอยยิ้มเต็มเปี่ยมความรู้สึก

     

    ชายหนุ่มเพียงแค่แสดงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม มันคงแตกต่างจากบุคคลสามัญทั่วไปเพราะชายวัยกลางคนเริ่มแสดงอาการกระอักกระอ่วนด้วยการเสสายตาไปทางอื่นแทน หากเขาปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับบรรยากาศรอบข้างอันน่ารื่นรมณ์ ยิ่งในใจเต็มไปด้วยความขื่นขมอย่างหาสิ่งเทียบเคียงมิได้แล้วนั้น ช่างเป็นเรื่องไกลตัวนัก การเผยความจริงใจแก่ใครสักคนคงเป็นไปได้ยากเกินความสามารถ โดยเฉพาะบุคคลแปลกหน้าดูเป็นเรื่องไกลตัว ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็มีความกล้ามากพอสำหรับเผชิญหน้าและพูดคุยกันในที่สาธารณะ กระทั่งไม่ทราบสถานภาพของคู่สนทนา หากแต่ถ้อยคำปรุงแต่งหรืออาจไม่ได้เกิดการกลั่นกรองแม้แต่นิดเหล่านั้นกลับไม่ลังเลต่อการบอกเล่า ภายใต้หัวข้อบทสนทนาไร้ที่ไปที่มามักเกิดขึ้นได้ง่ายดาย สำหรับเขาการทำเช่นนั้นต้องเป็นกรณียกเว้น หากโลกนี้จะหลงเหลือมนุษย์เพียงคนเดียว เขาก็ไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับคนผู้นั้น, ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง

     

    บางครั้งบางคราฟ้าฝนก็มักหลงฤดู ท่ามกลางสิ่งหนึ่งยังมีอีกสิ่งซ้อนทับ เปิดเผยตัวตนและปิดบังความใคร่สงสัยอยู่เสมอ โลกคือความสับสนอลหม่านนับครั้งไม่ถ้วน เพราะโลกคือที่อยู่ของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะผู้ซึ่งทำตัวเป็นเจ้าของพื้นโลกเฉกเช่นมนุษย์

     

    ธนบัตรสีซีดใบเก่าถูกยื่นวางบนเคาน์เตอร์เต็มจำนวน ไม่ต้องเมื่อยยืนรอเงินทอน ในเมื่อเขาไม่ต้องการปล่อยให้เวลานับถอยหลังเร็วขึ้นกว่านี้ "ขนลุกแปลกๆแหะ" เจ้าของร้านพึมพำเสียงอ่อน เมื่อละสายตาออกจากแผ่นหลังชายหนุ่มผู้เป็นลูกค้า ก่อนจะพบว่าจำนวนธนบัตรเกินมาหนึ่งใบ แต่ก็สายไปเสียก่อนที่จะตามลูกค้าแสนเย็นชาเพื่อคืนในส่วนที่ตัวเองรับไว้ไม่ได้ แม้เขาคนนั้นจะเดินพ้นกรอบประตูไปได้ไม่นาน หากแต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่บริเวณหน้าร้านกลับมีเพียงท้องถนนโล่งกว้างอบอวลไปด้วยควันพิษการจราจรอันน่าเหนื่อยหน่าย "เดินเร็วชะมัด" ชายวัยกลางคนพึมพำเช่นนั้น ธนบัตรใบเก่าจึงถูกเก็บไว้ใต้ลิ้นชักรวมกับของจิปาถะในร้าน และได้แต่ภาวนาว่าเขาจะไม่หลงลืมจนกลับถึงบ้านไปซะก่อน

     

     

    /

     

     

    เส้นขอบฟ้าในฐานะรุ่งอรุณเพิ่งร่ำลาการท่องเที่ยวแถบชายฝั่งยุโรปเสร็จสิ้น แสงนวลอ่อนทอดน้ำหนักบางเบาพาดทับผนังห้อง เผยเงานกพิราบตัวหนึ่งข้างบานหน้าต่างส่งเสียงร้องเรียกพรรคพวก การกระทำของสรรพสัตว์ทำให้มนุษย์เริ่มตระหนักถึงโมงยามแห่งชีวิต ผ่านหนึ่งวันธรรมดาว่าน่าชื่นชมรวมถึงน่าชิงชังเพียงใดแม้ปราศจากสิ่งมีชีวิต บนโลกนี้ยังคงดำเนินต่อไปไม่มีวันสิ้นสุดเป็นเวลาเกือบหนึ่งสหัสวรรษสำหรับการทอดสายตาอันว่างเปล่าให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับควันธูป สูดดมกลิ่นความเศร้าโศกเคล้าน้ำตาประกอบสาส์นส่งผ่านเบื้องบน รอคอยการร่ำลาครั้งสุดท้ายกับภาพบนกรอบรูปสีเข้ม แม้ดาวฤกษ์ ณ ใจกลางระบบสุริยะยังคงจงใจสาดส่องเยือนพื้นโลกนับครั้งไม่ถ้วน ช่างน่าเสียดายไม่มีสิ่งใดแปรผันอีกต่อไปแล้ว

     

    "ผมนึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวของการมีชีวิตบนโลกได้เมื่อไม่นานมานี้ ผู้คนจะรู้สึกดีหากได้เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมคือข้อยกเว้นไม่อาจเข้ากับแสงตะวันยามเช้าอย่างไร้ข้อกังขาราวสัตว์ปีกบนเวหา ไม่อาจลิ้มรสอาหารได้ราวถวายชีพ ดูแปลกแยกกว่าครั้งเยาว์วัย ไม่อาจสรรค์สร้างตัวตนผนึกลายเซ็นต์ลงบนผืนผ้าได้อย่างใจหวัง ไม่อาจเก่งกาจล้นพลังเกินความเดียวดายความเปลี่ยวเหงาครอบคลุมสุมดวงไฟบนก้อนเนื้อข้างซ้าย บางครั้งก็เป็นเพื่อนผู้แสนดีถึงรุ่งเช้าบางครั้งก็กัดกินตัวตนอย่างละโมบไม่มีที่สิ้นสุด จนหลงลืมกระทั่งโมงยามครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่อยากให้ตัวอักษรบริสุทธิ์อันเกิดจากการบรรจงสร้างติดตัว ตั้งแต่ลืมตาตื่นด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกกลายเป็นเรื่องกล่าวขานน่าฉาวโฉ่ ทว่าเมื่อโมงยามชั่วขณะหนึ่งมาเยือน กลับเลือนรางราวเงาใสสะท้อนบนผืนน้ำเคลื่อนไหวไปตามกระแสความเชี่ยว สายเกินกว่าเงาของตัวตนจะถูกขนาบราบบนพื้นโลกบัดนี้ ไม่มีอีกแล้ว ไม่อาจเกิดเรื่องราวอันน่าจดจำอีกหน ผมไม่ต้องการเป็นทั้งอย่างใดอย่างหนึ่งบนโลกนี้, แม้กระทั่งโลกใบนี้   น่าประทับใจจริงๆ"

     

    "อย่าแตะต้องข้าวของมั่วซั่ว"เด็กหนุ่มถอดสีหน้า ยิ้มเยาะเสี้ยวหนึ่งนิ้วเรียวยื่นกระดาษแผ่นบางในมือส่งต่อให้แก่ชายหนุ่มข้างกาย

     

    ดวงตาสีหม่นทอดมองคู่สนทนาที่ไม่ยอมละวางความเคร่งขรึม แม้จะต้องพบเจอกันยาวนานร่วมหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ยังคงสีหน้าไร้ชีวิตชีวาดังเดิม จะเรียกให้ถูกคงเป็นสีหน้าถาวรของชีวิตเสียมากกว่า

     

    "เห็นคุณยุ่ง ๆ น่ะเผื่อไม่มีเวลาอ่าน ผมว่ามันมีความหมายกับมนุษย์ดีนะ ยกเว้นโลก" มุมปากหยักยกขึ้นแสร้งสีหน้า ราวรู้สึกผิดเต็มประดากับถ้อยคำหยั่งลึกยิ่งกว่าอายุขัยของตน "มันไร้ค่า"

     

    ต้องให้ประเมินว่าไม่ผ่านก่อนรึไงถึงจะเลิกทำตัวโอ้อวด

     

    เสียใจจังความรู้สึกของผมดูเหมือนการโอ้อวดอย่างนั้นแหะ เด็กหนุ่มชักสีหน้าเหยเกยกมือทาบอก ราวนำเสนอท่าเลียนแบบตัวละครตามร้านขายเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่เจ้าตัวมักแอบอู้ไปเดินตากแอร์อยู่บ่อยครั้ง

     

    ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ

     

    เวลาแบบนี้แหละน่าเบื่อที่สุด ชายหนุ่มมองคนอายุเทียบเท่าคุณตาทานมังสวิรัติท่านหนึ่งในจังหวัดเอฮิเมะบนเกาะชิโคกุ ซึ่งเป็นเกาะที่เล็กที่สุดในบรรดาเกาะหลักของญี่ปุ่น เขาเสียชีวิตลงเพราะโรคชรา คุณตาท่านนี้อาศัยการปฏิบัติตัวอย่างดีจนมีอายุถึงร้อยกว่าปีอย่างน่าอิจฉา (นั่นไม่ใช่ความคิดผมหรอกนะ แค่แอบได้ยินชาวบ้านแถวนั้นเอ่ยชื่นชมข้อดีของคุณตาท่านนี้ไม่ขาดสายในงานของเขา) หากแต่รูปลักษณ์จากคนตรงหน้ากลับเป็นเพียงแค่เด็กไม่มีสัมมาคารวะที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเท่านั้น เมื่อเทียบกับสังคมมนุษย์

     

    ไม่ต้องทำตัวติดกันตลอดก็ได้มั้ง ชายหนุ่มหันมองอีกคนที่เอาแต่เดินตามหลัง  นิ้วเรียวสอดจดหมายวางใต้โคมไฟบริเวณหัวเตียงในลักษณะกึ่งเรียบขนาบกึ่งปลิวตกตามแรงลมได้ทุกเมื่อ เขาสั่งเด็กหนุ่มเก็บหลักฐานชิ้นสำคัญด้วยการปิดหน้าต่างบานใหญ่รอบข้าง

     

    ช่วยไม่ได้นี่ขืนกลับไปสภาพนี้คงโดนหมายหัว คนเด็กกว่าแค่นหัวเราะ ขณะลงกลอนหน้าต่างแน่นหนา ช่วงเวลาหนึ่งกลับชะงักการกระทำก้มมองรองเท้าหนังสีดำขลับยี่ห้อหรูที่ได้รับมอบจากหัวหน้ามาอย่างดี, ไม่มีอีกแล้วรองเท้าคร่ำครึรอยปะคู่เดิม แล้วทำไมต้องทำสภาพน่าสมเพชเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ด้วยนะ

     

    ก็เพราะเคยมีชีวิตน่ะสิ ชายหนุ่มเอ่ย ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ไม่ได้อยู่ในรายการคาดหวังของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาถึงได้ไหวไหล่ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายเต็มประดา แล้วเดินเลี่ยงผู้คนไปยังเส้นทางใหม่ พวกเขาเดินผ่านไปมาในร่างไร้มวลน้ำหนักหรือสสารนับครั้งไม่ถ้วนจนน่าเวียนหัว ทว่านั่นไม่ได้ส่งผลต่อชาวอมนุษย์อย่างเราอยู่แล้ว กระทั่งแผ่นหลังกลบเกลื่อนความหม่นเศร้าของเขาหายลับไปกับฝูงชนชายหนุ่มจึงใช้เวลาที่เหลือเบนความสนใจไปทางอื่น

     

    หนูทำไมร้องขนาดนั้นล่ะลูก น้ำเสียงแหบแห้งของคุณป้าท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มจึงหันกลับไปมองด้วยความแคลงใจว่าใครคือเจ้าของเสียงสะอื้นในระยะใกล้เคียง

     

    ผมฮึก ผม...มะ ไม่รู้ ฮื่ออ

     

    โดยปกติการรร้องไห้ของมนุษย์ถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ชายหนุ่มมักแสดงอาการชินชาแด่ปฏิกิริยาเหล่านั้นนับครั้งไม่ถ้วน เรียกให้ถูกคือตายด้านกับเรื่องนี้มาเกือบครึ่งสหัสวรรษ ถึงพวกเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีเสียใจหรือร้องห่มร้องไห้แก่โชคชะตาในช่วงวัยของคนผู้นั้นก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด ความเงียบคอยเป็นสารโยงใยระหว่างที่กำลังบรรเทาความเจ็บปวด ณ ช่วงเวลาหนึ่งเสมอ อีกหนึ่งความหมายคือความเงียบเป็นสัญญาณของความเข้าอกเข้าใจ เพราะฉะนั้นความเงียบจึงมีความหมายในตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นเด็กของเขา หรือดวงตาแดงก่ำกำลังดึงดูดสายตากันแน่ เด็กชายตรงหน้าก้มหน้าปิดบังอารมณ์เศร้าโศกเคล้าน้ำตา ปล่อยตัวสะอื้นไห้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ ยิ่งทอดสายตามองสถานที่จัดงานโล่งกว้าง เมื่อครั้งหนึ่งเคยพบเจอกันและกันก็ยิ่งเร้าหยดน้ำสีใสร่วงหล่นไม่ขาดสายอย่างเอาแต่ใจ

     

    น่าสงสาร

     

    ไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ

     

    การพบเจอความเจ็บปวดถือเป็นเรื่องปกติ คนที่เข้มแข็งกว่าจะมีโอกาสใช้ชีวิตบนเส้นทางซึ่งรายล้อมไปด้วยความเจ็บปวดนานาชนิดด้วยการกักเก็บเรื่องราวบางอย่างไว้ในซอกหลืบหนึ่ง เพื่อเผชิญหน้า และเริ่มเรียงร้อยบทเขียนของตัวเองผ่านการดำเนินกิจวัตรในเช้าวันถัดไป ทว่าเมื่อช่วงเวลาหนึ่งยังไร้เดียงสา หมดหนทางขจัดเรื่องราว ย่อมกลับหลังหันให้กับเส้นทางเดินแห่งความเจ็บปวดนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

    ดวงตาสีวอลนัทแดงก่ำใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา ริมฝีปากห่อแดง เนื่องจากต้องกัดขบข่มอารมณ์หม่นหมองไว้ภายใน เด็กชายต้องการจะปิดประตูห้องที่เรียกว่าความตายเอาไว้ หากแต่ประตูนั้นยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในทุกหนทุกแห่ง  ประตูบานนั้นเรียกว่าความคิด

     

    ผมเชื่อว่าสักวันเขาต้องโคจรกลับมายังเส้นทางเดิมและผ่านมันไปได้

     

                ผมก้าวเท้าและหยุดยืนตรงหน้าเด็กชาย กินซะ 

     

    นิ้วเรียวยื่นลูกอมกลิ่นส้มที่ติดอยู่กับเสื้อสูทตัวนอกเสนอให้แก่เด็กชาย ดวงตาแดงก่ำที่เคยมองจากอีกฟากฝั่งส่งสายตาน่าฉงนผ่านความเงียบ กลับเป็นคำถามในความเงียบที่ได้ยินเสียงชัดถ้อยชัดคำเขาคงอยากรู้เต็มทีว่าชายแปลกหน้าคือใคร เหตุใดถึงเข้ามาที่นี้และทำไมถึงยื่นลูกอมให้กับเขา 

               

                ผมไม่ชอบส้ม คำตอบเรียบง่ายเกินคาดทำเอาผมยืนค้างท่าเดิมราว ๆ ห้าวินาที ก่อนจะย่อตัวลงนั่งระดับเดียวกัน

     

                ความสามารถอย่างหนึ่งสำหรับอมนุษย์ที่มีจิตแข็งมากพอจะปรากฎตัวต่อสายตามนุษย์ได้โดยไม่มีข้อกังขาใดใด ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ต่างไปแค่มีความสามารถมากกว่านั้นคือจะปรากฏตัวเมื่อใดก็ได้ตามใจชอบ หรือปลอมตัวสร้างความวุ่นวายก็เป็นอีกหนึ่งทักษะ ใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ทั้งหมดเป็นเพียงแค่หนึ่งในอภิสิทธิ์หลัก ๆ สำหรับผู้คุมวิญญาณ ทว่าภาระหน้าที่ในโลกอมนุษย์มีมากเกินกว่าจะเก็บออมมาเสวยสุขบนโลกและผมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการใช้ชีวิตแบบที่มีชีวิตเดียวน่ะ ไม่สนุกหรอก

     

                ไม่สงสัยฉันหรอกเหรอ

               

                เด็กชายส่ายหน้าอย่างช้า ๆ มือข้างหนึ่งกำชายเสื้อตัวเองด้วยความประหม่า ทำไมคนอื่นไม่สนใจคุณ

     

                เขาพยายามเลี่ยงคำถามตรงทื่อกับคนแปลกหน้าโดยไม่จำเป็นหือ เธอคิดว่าฉันเป็นผีหรือไง

     

    เด็กชายเหลือบตามองชั่วครู่แล้วจึงก้มหน้าดังเดิม ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิชีวิตอมตะน่ะ

     

    เราจะเป็นนิรันดร์ถ้าหากไม่เกรงกลัวสิ่งใด

     

    ประโยคบอกเล่าไร้กระทั่งถ้อยคำคำเกริ่นนำ หรือปิดท้ายสิ้นสุดลงเด็กชายรีบเงยหน้า ละสายตาออกจากรองเท้าเปื้อนเศษดินของตนทันควัน ดวงตาสีวอลนัทสบนัยน์ตาสีหม่นของผมด้วยความแน่วแน่ ที่แม้แต่คนรอบตัวยังบอกว่าแววตาของผมมันน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ตรงกันข้าม, เด็กชายตรงหน้ากลับไม่ได้ทิ้งเศษซากความหวาดกลัวหรือลังเลใจหลงเหลือแม้แต่น้อย

     

    แววตาเป็นประกายแบบนี้น่ะหรือ

     

    ที่มนุษย์เรียกว่าความหวัง

     

    ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

     

    อ่ะ สวัสดีค่ะ หญิงวัยกลางคน ใบหน้าซูบตอบ ตรงปรี่เข้ามาระหว่างกลางของเราทั้งสองชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ปัดป่ายเสื้อสูทอย่างเบามือ พลางโค้งตัวทักทายเธอด้วยความสุภาพ

     

    เธอฉวยข้อมือเด็กชายตรงหน้ากำไว้อย่างหละหลวม เพราะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าอย่างผมขณะแสดงตัวเคารพตามมารยาท คุณ คือ...

     

    ผมแวะมาแสดงความเสียใจในฐานะเพื่อนบ้านคนใหม่น่ะครับ นับเป็นบทพูดที่ค่อนข้างยาวเสียจนน่าหวั่นใจ เผลอ ๆ มันคงยาวกว่าคำพูดของเดือนก่อนรวมกันทั้งเดือน เพียงเพราะพยายามจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ผิดแปลกไป จากแผนการพูดเป็นคำ ๆ ในแต่ละวันจึงถูกเลี่ยงใช้ไปก่อน

     

    เธอพยักหน้าช้า ๆ นัยน์ตาคู่โศกบวมแดงเริ่มทำการสำรวจคนแปลกหน้าอีกครา ว่าแต่ ทานข้าวรึยังคะ

     

                ไม่เป็นไรครับ พอดีลูกชายรอผมอยู่ ชายหนุ่มโค้งตัวลาตามมารยาท เขากระชับเสื้อสูทอีกหนตามนิสัย ก่อนจะเอียงตัวหันหลังกลับ เหลียวมองคู่หูที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังกันเท่าไหร่จากพื้นที่แออัดมุมตรงข้าม รูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มผู้นั้นดูเหมาะสมกับคำกล่าวอ้างแก่คนแปลกหน้าถึงสถานะจอมปลอมอย่างไร้ข้อติเตียน จนผมนึกอยากหัวเราะขึ้นมาแทบจะเดี๋ยวนั้น แน่นอนว่าหมอนั่นคงต้องหยิบกล้องถ่ายรูปนิยมใช้ของคนสมัยใหม่ขึ้นมาบันทึกภาพไว้เผื่อล้อเลียนในอนาคตตามประสาเด็กอู้งานที่ชอบหนีไปนั่งตากแอร์ในร้านอิเล็กทรอนิกส์

     

     

    ผมชะงักปลายเท้าด้วยความระแวดระวังเมื่อรู้ตัวว่าเสื้อสูทโทรม ๆ ที่ผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วนกำลังถูกใครบางคนรั้งไว้

     

                ผมจะได้เจอคุณอีกไหม

     

     

    ความหวังน่ะหรือ

     

     

    เมื่อแววตาคู่นั้นปรากฏต่อหน้าอีกครา, ผมจึงได้ทบทวนกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน

     

               

    สักวัน วันที่เธอไม่ต้องทุกข์ทนบนโลกนี้แล้วต่างหากไม่ใช่สักวันที่หมายถึงวันที่ยังมีลมหายใจประคองชีวิตอย่างที่มนุษย์โลกเข้าใจกัน



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in