สมมุติว่า
อ่าา…จะเริ่มยังไงดีนะ
ยากจังเลยเนอะ ไอ่การตั้งเรื่องสมมุติที่ว่า
อย่างสมมุติว่า พวกเรามีวุฒิภาวะกันเพียงพอ
มันจะสามารถลดจำนวนความขัดแย้ง หรือสร้างความเข้าใจระหว่างกัน ได้ดียิ่งขึ้นไหมนะ นั่นมันคงจะดีไม่น้อยเลยนะ ที่เราได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข
สมมุติว่า ช่องว่างระหว่างเรานั้น ไม่ไกลห่าง
มันคงจะอบอุ่นไม่น้อย ที่เราได้ใช้เวลาร่วมกัน เพราะแค่ลืมตาขึ้นมา แล้วเธอยังคงขดตัว อยู่ในอ้อมแขนฉัน นั่นมันก็คงเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ ที่ดีกว่าการสูบบุหรี่ตัวแรกของวัน เป็นไหนๆ
สมมุติต่อว่า เรากล้าพอ ที่จะต่างคน ต่างพาครอบครัวของพวกเรา มาสลับกันเจอหน้ากันบ้าง มันจะทำให้เราแน่นแฟ้น และเข้าใจซึ่งกันและกัน มากขึ้นบ้างไหม? เมื่อกำแพงที่เรียกว่าสถาบันครอบครัว เริ่มถูกเปิดออก
แล้วสมมุติว่า ต่างคน ต่างยอม เปลี่ยนแปลง มุมมอง พฤติกรรมส่วนตัว แก่กัน ชีวิตของเราสอง จะหอมหวาน และกลมกล่อมกว่านี้รึป่าวนะ หรือเราเพียงแค่ฝ่าฝืนธรรมชาติความเป็นตัวเรากันแน่
หลากหลายเรื่องสมมุติ (รึป่าว?) ที่ได้กล่าวมาข้างต้น
มันให้อะไรแก่เราได้บ้าง
คงไม่นะ ผมกลับมองว่า มันก็เพียงแค่ เรากำลังดำดิ่งสู่ห้วงเวลาในอดีต ที่ล่วงเลย ไปกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ของเรื่องรายเก่าๆ ซึ่งมันไร้ประโยชน์
แต่
แล้วสมมุติว่า…เรา
ไม่เคยรักกันเลย คงจะเป็นมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นอย่างสุขงอม แต่ไม่จบลงอย่างแหลกสลาย ช่างน่าเสียดาย ตอนนี้พวกเราอาจจะ ต่างคน ต่างเต็มใจ เมื่อยามพบเจอกัน อีกครั้ง จากคนทางไกล
ต่างคน ต่างเติบโต
พบเจอ แยกย้าย
เพื่อกลับมาเจอกันใหม่ เมื่อยังมีโอกาส
เหมือนว่าทุกเรื่องสมมุติที่ว่าช่างไร้ค่าเหลือเกิน ที่จะไปนั่งสมมุติในทุกๆรายละเอียด ที่ผ่านมา มันก็คงไม่อะไร กับการที่คนเกิดอาการ “หมดอาลัยตายอยาก” กับคำพูดสุดคลาสสิคที่ว่า “รู้งี้นะ”
ไม่ว่าคุณจะไปรู้อะไรมา มันก็ไม่มีอะไรน่าสังเวชไปกว่า รู้งี้ อีกและนั่นแหละ แม้มันจะเคยผ่านเข้ามา แล้วก็จากไป
อย่างเช่น รู้อย่างงี้
“ผมไม่น่าตอบรับคำขอนั้นจากคุณเลยจริงๆ”
MidnightMessageBox
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in