Venom: Let There Be Carnage
ถ้าหากภาคแรกเปรียบเสมือนคนโง่ที่พยายามทำตัวอวดฉลาดด้วยการนั่งเต๊ะจุ้ยอยู่ในสภา ภาคสองก็เป็นคนโง่ที่ยอมรับในความโง่ของตัวเอง และทำอะไรโง่ ๆ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่น่ารำคาญ หรือน่าหมันไส้เท่าภาคแรก
ว่ากันตามตรง ผู้เขียนนั้นมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นักกับ Venom ภาคแรกเมื่อปี 2018 ความเจ็บช้ำจากสิ่งที่คาดหวังในตอนนั้นส่งผลให้เกิดเป็นอคติชนิดด่าทอไม่ฟังความเห็นต่าง ทว่าเมื่อรู้ว่าผู้ที่มารับไม้ต่อกำกับหนังภาคนี้คือ แอนดี้ เซอร์คิส (กอลลัม ในไตรภาค Lord of the Ring และซีซาร์ ในไตรภาค Planet of the Apes) อีกทั้งยังได้ตัว โรเบิร์ต ริชาร์ดสัน ผู้กำกับภาพคู่บุญของ เควนติน แทแรนติโน มาประกบคู่ดูแลเรื่องงานภาพ ซึ่งถึงแม้ว่า เราจะไม่หวังอะไรกับหนังเรื่องนี้อีกแล้ว แต่จากรายชื่อคนเบื้องหลัง อย่างน้อยเราก็น่าจะชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกพอสมควร
ซึ่งก็เป็นไปตามตามคาด การรู้ตัวว่าโง่ของหนังภาคนี้ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้เรื่อย ๆ ไม่พีค หรือเล่นใหญ่เกินตัว การกำกับของ แอนดี้ เซอร์คิส ทำให้หลาย ๆ ฉากดูสนุกและดูมีอะไรมากกว่าภาคแรกค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้ การกำกับภาพของ โรเบิร์ต ริชาร์ดสัน ยังทำให้ฉากแอคชั่นในภาคนี้ดูรู้เรื่องค่อนไปทางสนุกมากกว่าภาคที่แล้วแบบเทียบไม่เห็นฝุ่น
ประเด็นลึกซึ้งอย่างการนำเสนอของสื่อ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กที่ถูกทารุณกรรม ก็ถูกแตะต้องเพียงผิวเผินผ่านคำบอกเล่า ซึ่งเอาเข้าจริงก็ค่อนข้างน่าเสียดายที่ Venom ไม่สามารถเป็นหนังฮีโร่/วายร้ายสายมืดหม่นได้ ในทางกลับกัน สิ่งที่หนังให้ความสำคัญมากที่สุดเห็นจะเป็น ความสัมพันธ์ระหว่าง เอ็ดดี้ (ทอม ฮาร์ดี้) และเวน่อม ที่สาดความพ่อแง่แม่งอนใส่กันให้พอขบขันน่ารักน่าเอ็นดู เรื่องราวหลักในภาคนี้จึงไม่ใช่การต่อสู้กับฆาตกรโรคจิตระดับพระกาฬ แต่เป็นการประคองชีวิตคู่ของ 1 มนุษย์ 1 เอเลี่ยนให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง โดยมีสถานการณ์รอบข้างเป็นบททดสอบความสัมพันธ์ (หนังฮีโร่จริง ๆ นะ)
ด้วยเหตุนี้เองหนังจึงไต่เส้นความตลกแบบเสี่ยงตกไปยังความน่ารำคาญได้อย่างน่าหวาดเสียวอยู่หลายที แต่จนแล้วจนรอด การที่หนังยาวแค่ 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็เห็นจะเป็นความพอดีสำหรับผู้สร้างที่รู้ถึงศักยภาพอันโง่เง่าเบาปัญญาที่ภาคแรกสร้างไว้ของหนังซึ่งตัวเองกำลังกำกับอยู่
เขียนโดย: พัทธนันท์ สวนมะลิ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in