เรื่องย่อ
ในหน้าร้อน Oliver วัย 24 ปีมาพักที่บ้านของ Elio เด็กหนุ่มวัย 17 เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อให้พ่อของ Elio ช่วยดูงานเขียนวิชาการให้ ตลอดระยะเวลาสั้นๆ ความสัมพันธ์พวกเขาค่อยๆพัฒนา ความรู้สึกแปลกใหม่ผลิบาน ต่างคนต่างเรียนรู้อะไรบางอย่าง ทิ้งความทรงจำที่จะอยู่กับพวกเขาไปทั้งชีวิต
ตัวละคร
“จริงใจ ประหม่าขัดเขิน อ่อนไหว จับต้องได้ อย่างที่มนุษย์คนหนึ่งพึงเป็น”
เรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองของ Elio และให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบันทึก เป็นไดอารี ที่เขียนได้ละเอียดประณีตมาก ให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับ Elio จนบางทีก็เหมือนว่าความคิดของเราเป็นของ Elio และความคิดของ Elio ก็เป็นของเรายังไงยังงั้น
จุดที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆ คือ เรารู้สึกว่าตัวละครในเรื่องช่างเปลือยเปล่า ปราศจากความลับ อารมณ์หมุนเวียนเปลี่ยนไปในทุกๆหน้าจนเหมือนพายุขนาดย่อม Elio บอกทุกความรู้สึกนึกคิดกับเรา ความกลัว ความเศร้า ความประหม่า ความสุข หรือความปรารถนาอันแรงกล้า เพราะแบบนี้เราเลยไม่ได้มอง Elio ในฐานะตัวละครที่ดำเนินเรื่องอีกต่อไป แต่มองว่าเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจจริงๆ เรื่องที่เกิดขึ้นก็สมจริง ไร้การปรุงแต่ง โดยเฉพาะฉากที่บรรยายความต้องการที่เขามีต่อ Oliver มันรุนแรงและดิบเถื่อนจนเราเขินหน้าร้อนเลย ยัยหนูรูกกกกกกกกกกกก อะไรจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ /ยืนตัวบิด
มีสปอยล์
ยิ่งอ่าน ยิ่ง convinced ขึ้นเรื่อยๆว่า Elio น่ะเคลื่อนไหวได้ จับต้องได้ ความรู้สึกเขาเป็นของจริง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาแสดงออกว่าปรารถนาในตัว Oliver ขนาดไหน ตอนที่เขามีอะไรกับผู้หญิงได้ปกติ ตอนที่เขา regret เมื่อตื่นขึ้นมายามเช้า ความรู้สึก Elio มันช่างอิรุงตุงนังชวนสับสนจริงๆ
Elio ก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งอะเนอะ เป็นแค่เด็ก 17 ที่พยายามหาพื้นที่ของตัวเองบนโลกอันกว้างใหญ่ หนังสือก็ raise ประเด็นต่างๆตามสไตล์ coming-of-age คือ Who am I? Is what I did wrong? Who would I become? Have I changed? และอีกสารพัดคำถามที่ไม่มีใครหาคำตอบให้ได้ Elio ต้องหาคำตอบให้ตัวเอง และเรื่องทั้งหมดนี้--ความรัก ความรู้สึกผูกพันที่เกิดขึ้น--เป็นเพียง process หนึ่งในชีวิตของเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
ส่วน Oliver นั้น เราไม่ค่อยได้มีโอกาสล่วงรู้ความคิดเขาเท่าไหร่ แต่จากการบรรยายของ Elio เราก็ตกหลุมรัก Oliver ตามไปด้วยแบบไม่ยากเลย เพราะว่าเขาดูจะเป็น Sunshine ในเรื่อง เป็นคนที่มอบความสุขให้กับทุกๆคน ชอบตรงที่เราเดาใจเขาไม่ได้เลย วันนี้เขาอาจจะปฏิเสธ พรุ่งนี้เขาอาจจะตอบตกลง วันนี้เขาดูเหมือนจะรัก พรุ่งนี้เขาดูเหมือนจะไม่รัก ช่างมีหลายบุคลิกเหมือนสี bathing suit นั่นแหละ ทว่าแต่ละการกระทำไม่ได้เกิดขึ้นแบบไร้เหตุผล ผู้เขียนค่อยๆเผยให้เห็นว่า Oliver มีทั้งมุมขี้อาย มุมที่รู้จักกลัว มุมที่อ่อนไหว เหมือนอย่างมนุษย์คนอื่น รู้สึกว่าผู้เขียนฉลาดมากที่ให้ Oliver มีวลีประจำตัวอย่าง 'Later!' เพื่อช่วยเสริมบุคลิกตัวละครให้เด่นเป็นเอกลักษณ์
ขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ตัวละครสมบูรณ์--Character development--ทั้ง Elio และ Oliver เปลี่ยนแปลงนะ ทั้งการกระทำและความคิด ไม่สิ อาจจะต้องใช้คำว่าทั้งคู่ 'โตขึ้น' โดยเฉพาะเมื่อ Oliver ถึงจุดที่รู้ตัวว่าต้องแต่งงาน เขาปฏิเสธ Elio ด้วยเหตุผลที่รู้ดีแก่ใจ ส่วน Elio เอง ถึงวันหนึ่ง เขาก็รู้จัก deal กับความเจ็บปวด ไม่ว่าสุดท้ายเขาจะ feel anything หรือไม่ก็ตาม
เราชอบที่แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี แม้ Elio กับ Oliver จะอยู่ในจุดที่ีรักษาความสัมพันธ์แบบเดิมไว้ไม่ได้แล้ว แต่เมื่อเขากลับมาเจอกัน ไอ้ความรู้สึกเล็กๆที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้น ก็ยังทิ้งร่องรอยให้ทั้งคู่จดจำเอาไว้ อาจจะอยู่ในชื่อสถานที่ที่พูดถึง อยู่ในโปสการ์ดที่เก็บไว้ อยู่ในคำพูด อยู่ในอะไรก็ตาม ทางที่ทั้งคู่เลือกเดินอาจจะกั้นทั้งคู่ไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะหาย อาจจะกลายร่าง แต่ไม่ได้ตายจากไป
และเราก็น้ำตาไหลเลยตอนที่ Elio บอกว่า "You're the only person I'd like to say goodbye to when I die...And If I should hear that you died, my life as I know it, the me who is speaking with you now, will cease to exist." จู่ๆมวลอารมณ์มหาศาลก็จู่โจมเราแบบฉับพลัน ประโยคนี้ลึกซึ้งมากเลย เหมือนตัวตนของ Elio ส่วนหนึ่งมีอยู่ได้เพราะ Oliver และการสูญเสีย Oliver ไป มันพรากตัวตนนั้นไปด้วย มันไม่ใช่ประโยคน้ำเน่า ประโยคเปล่าๆ ใส่ให้สวย แต่เป็นประโยคที่ capture ความรู้สึกของทั้งคู่ได้ capture ช่วงเวลา 6 สัปดาห์นั้นได้ แบบเข้าใจง่ายที่สุด
อ่านจนจบแล้ว ทั้งสองก็คือมนุษย์ที่มีชีวิตของตัวเอง มีทางที่ต้องเดิน สิ่งที่ผูกพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันไม่ใช่ความรัก--หรืออาจะไม่เคยเป็นความรักเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่เคยใช้คำนี้อธิบายความรู้สึก แต่เป็นช่วงซัมเมอร์ปีนั้น ทั้งอากาศ ทั้งช่วงเวลา ทั้งความทรงจำ ทั้งตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกันและกันมาแล้ว
บางทีมนุษย์ก็ไม่ได้ต้องการความรักนิรันดรเพ้อฝันหรอกมั้ง แค่ต้องการกลิ่นไอของมัน ตะกอนของมัน ความรู้สึกตอนที่เคยมีมัน ความทรงจำตอนที่เคยมีมันมากกว่า
หมดสปอยล์
เนื้อเรื่อง
"เรียบง่าย ละมุนละไม เร้าอารมณ์แบบฝาดๆ เฝื่อนๆ แต่ทิ้งอะไรไว้ให้คิด"
ต้องบอกว่า--เป็นเรื่องที่ Sexual tension แบบรุนแรงมากแก๊ //ปิดหน้า เอะอะก็ sex เอะอะก็ come in my mouth ทั้งๆที่ไม่ได้มีฉาก explicit ใดๆเลย แต่การบรรยายที่เน้นความรู้สึก เน้นความคิด Elio ก็ทำให้รู้สึก horny ตามเบาๆได้ (หัวเราะ) ถามว่าสวยไหม เราว่าไม่ได้สวยนะ ออกจะบรรยายแบบ natural เหมือน Elio คิดอะไร รู้สึกอะไรก็พูด แต่เราคิดว่าการใส่ sex-related thoughts เข้ามามากมายขนาดนี้มันทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายมากขึ้นเยอะ
มีสปอยล์
ประเด็นนึงที่ฉุกคิดขึ้นมาได้คือ ความรัก เซ็กส์ และผู้ชายนี่แยกกันไม่ขาดจริงๆ เซ็กส์กลายเป็นวิธีแสดงออกถึงความปรารถนา ความต้องการ อารมณ์ที่ลึกซึ้ง ที่จับต้องได้สำหรับผู้ชาย ที่สำคัญ เซ็กส์ช่วยหลอมรวมคนสองคนเป็นคนๆเดียวกัน การที่ประโยคเด็ดของเรื่องอย่าง "Call me by your name and I call you by mine" ถูกใส่เข้ามาใน sex scene เราคิดว่ามันต้องมีเหตุผล และเรามองว่าการได้เจอกับ Oliver ทำให้ Elio ค้นพบตัวตนเขา --คือในด้านของ sexuality--เพราะ sex ทำให้เห็นภาพนั้นชัดขึ้น พวกเขาได้ค้นพบ เรียนรู้ และจดจำช่วงเวลาเหล่านั้นไปพร้อมๆกัน จนเหมือนเป็นคนเดียวกัน อันนี้คือการตีความของเรา แท้จริิงประโยคนี้อาจจะดีพมาก เกินกว่าที่เราจะเข้าถึงก็เป็นได้ แต่การที่พวกเขาเป็นกันและกันได้ อย่างน้อยสุดก็สะท้อน passion และ affection ที่ท่วมท้นในตัวกันและกัน
หมดสปอยล์
การผูกปมเรื่อง รู้สึกว่าไม่มีอะไรเลย T v T เนื้อเรื่องไม่ได้ซับซ้อน เดินเป็นเส้นตรง แบ่ง 4 parts แล้วแต่เนื้อเรื่องที่เชื่อมโยงกัน เป็นโรแมนซ์เรียบๆ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบพล็อตอลังๆ หักมุม ตราตรึงใจ สนุกสนาน ตลกขบขัน กุ๊กกิ๊กชวนเขิน คือต้องบอกว่าเรื่องนี้ว่างเปล่า เหมือนแก้วเปล่า รอให้เราเติมความคิดจินตนาการตัวเองลงไปมากกว่า
สถานที่มีบทบาทอย่างมากในเรื่อง ดังนั้นเราดีใจที่มีหนัง จะได้ไปดื่มด่ำวิวทิวทัศน์อิตาลีให้เต็มที่ บวกกับเพลงก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอีก ในเรื่องกล่าวถึงเพลงกับหนังสือเยอะมาก ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะมีความหมาย ความสำคัญ ไปซะหมด แต่ด้วยความที่เราไม่รู้จักตัวอย่างอะไรที่ Elio กับ Oliver ยกมาเลย... เรารู้สึกโง่และเข้าไม่ถึง T_T ในหนังน่าจะ accessible กว่า แถมปกติเราก็ไม่ค่อยชอบอ่านแนวสถานที่สวยๆ เที่ยวเยอะๆ เพราะจินตนาการไม่ออก ไม่แปลกที่บางส่วนของหนังสือเราจะไม่เอนจอย
มีสปอยล์
การวางพล็อตที่ค่อยเป็นไปค่อยไปทำให้การอ่านไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจเท่าไหร่ มีบ้างที่เราเบื่อ และอ่านไม่ครบทุกตัวอักษร เช่น ฉากในโรม ตอนเจอ The poet คือถึงกับอ่านคร่าวๆ พลิกหน้าต่อไป ทั้งๆที่เป็นส่วนที่น่าจะดื่มด่ำมากที่สุดฉากนึง แต่ไม่ไหวจริงๆ เบื่อมาก T w T จนตอนนี้ก็ยังไม่ grasp meaning ของ San Clemente หรือ Clementizing ว่ามันมี effect ต่อเรื่องยังไง ใครอ่านเข้าใจก็บอกกันบ้าง ใคร่จะรู้เด้อ แต่ไม่อยากอ่านตรงนั้นซ้ำแล้วเด้อ
จุดที่ประทับใจที่สุดของเนื้อเรื่อง คือฉากใกล้จบที่ต้องใช้คำว่า 'สุดยอด' มาบรรยายเลยอะ ประมาณสิบหน้าสุดท้ายคือจะขาดใจ จริงๆน้ำตาปริ่มๆมาตั้งแต่ฉากที่พวกเขาจากลากันแล้ว โฮววววว คือสงสาร Elio ที่ดูจะต้องอยู่กับความทรงจำนั้นข้างเดียว ในเมื่อ Oliver ไม่ได้มีสภาพแวดล้อมอะไรมา remind มากเท่า Elio แถม Ghost spots ของ Oliver ก็มีหลายที่ด้วยเนอะ Elio เนอะ T__T
แต่ฉากที่ทำให้น้ำตาร่วงเผาะๆจริงคือตอนที่ Elio ไปหา Oliver ที่มหาวิทยาลัย แล้วได้พูดคุย ได้ระลึกความหลัง ได้แลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบ เราแพ้ nostalgia เราแพ้การย้อนคิดถึงวันวาน คิดถึงทางที่ไม่ได้เลือก สิ่งที่ could have done otherwise หรือสักแวบหนึ่งที่ทั้งคู่คิดขึ้นมาว่า ถ้ายังกลับไปเป็น two young men จะเป็นยังไง ถ้ายังรักกันอยู่จะเป็นยังไง รู้ตัวอีกทีก็สะอื้นแล้ว ตอนที่ทั้งคู่คุยเรื่อง best moment เหมือนความรู้สึกระเบิดตู้ม ต่อมน้ำตาแตก บรรยากาศอบอวลไปด้วยความคิดถึง ความโหยหา แต่ทั้งคู่ก็ต้อง suppress มันเอาไว้ เพราะกาลเวลาทำให้ทุกสิ่งไม่เหมือนเดิมแล้ว
สิ่งที่เศร้าแต่ก็สวยงามกว่าการจากลา คงเป็นการกลับมาเจอกันใหม่และรับรู้ว่าเราเดินห่างออกมาจากจุดเดิมไกลแค่ไหนแล้ว
หมดสปอยล์
พูดถึงภาษา สำนวนต่างๆ ผู้เขียนใช้คำเปรียบเปรยเป็นจำนวนมาก มากในที่นี้คือมากกกกกกกกกกกกกกกก แบบมากกกกกกกกกกก โผล่มาทุกหน้า จัดว่าสละสลวย อ่านแล้วก็อินๆดี แต่บางทีเล่นสำบัดสำนวนเยอะไปจนลืมว่า เอ๊ะ นี่พี่แกพูดถึงอะไรแล้วนะ Orz ไม่เหมาะกับคนที่ชอบอ่านเอาเนื้อเรื่อง แต่ว่าภาษาโดดเด่นจริง บาง quote กระแทกใจแบบต้องยกมือกุมอก ชอบ แต่ก็มีบางโมเม้นที่อ่านแล้วรำคาญ พรรณาเวิ่นเว้อไป บางฉากเราก็ต้องการเนื้อมากกว่าน้ำนะ
ส่วนคำศัพท์ อาจจะโง่เองเพราะรู้สึกว่าก็เจอศัพท์ยาก ศัพท์ไม่รู้จักเยอะนะ แต่สามารถอ่านข้ามๆได้ ไม่ต้องเก็บความหมายหมด ก็ยังอ่านเข้าใจ อ่านจบได้โดยไม่ลำบากอยู่ เสน่ห์อีกอย่างคือสอดแทรกภาษาอิตาเลียนเป็นระยะๆ ทำเอาอยากกลับไปเรียนภาษาอิตาเลียนอีกรอบเลย แปลออกคำนึงคือดีใจแทบตาย แต่ส่วนใหญ่ก็แปลไม่ออก โว้ย55555555555555555
มีสปอยล์
ในส่วนของสาระ เราคิดว่าเรื่องนี้กระตุ้นให้เราคิดพอสมควร ในฐานะหนังสือ Coming-of-age ที่พาเราก้าวข้ามช่วงวัยไปพร้อมๆกับ Elio จุดนึงที่ชอบมากคือคุณพ่อของ Elio ดูจะเข้าอกเข้าใจลูก และให้อิสระกับลูกเต็มที่ ถ้าทุกคนเป็นเหมือนคุณพ่อของ Elio โลกนี้คงเป็นโลกที่สงบสุข เพราะว่ากลุ่ม LGBT ได้รับการยอมรับและได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
หลังจากอ่านจบเราเกิดคำถามนึงในใจ หรือนี่คือสิ่งที่นิยาย homosexual is supposed to be? เพราะว่า Call me by your name ไม่ได้นำเสนอความรักของผู้ชายสองคนแบบหวานหยด งดงาม มั่นคง ฯลฯ แบบที่ถูก romanticized กลับกัน เป็นความรักที่เจือปนไปด้วยความเข้าใจ ความใคร่ อิสระ และความเป็นมนุษย์ ผิดกับที่คาดไว้ตอนแรกว่าจะเป็นนิยายรักโรแมนติก สำหรับเรา เรื่องนี้ดีพกว่านั้น ซ่อนไอเดียของ two beings in love ไว้มากกว่า two men in love และเราก็ชอบที่เป็นแบบนั้นนะ
ความรู้สึกส่วนตัว
ไม่ผิดหวังที่ซื้อมา ชอบเลยแหละ อาจจะไม่ได้ชอบเว่อๆ ชอบทุกจุดทุกรายละเอียด แต่ชอบ ชอบเห็นความคิด ความรู้สึกของตัวละครค่อยๆพัฒนา และเติบโต สนุกกับการเอาใจช่วยความรักของทั้งสอง ตั้งแต่วันที่เจอกันจน 20 ปีต่อมาเราก็ยังชอบบรรยากาศระหว่างทั้งคู่อยู่ ชอบเวลาผู้เขียนใช้ภาษามาเรียงร้อยจนคมบาด ชอบเวลาสองคนนี้คุยกันแบบกำกวม เหมือนจะบอกหมดแต่ก็ไม่หมด แต่ก็เข้าใจกันได้ ชอบที่สองคนนี้เหมือนถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน ชอบความประณีตของเรื่อง
มีฉากเล็กๆที่ชอบเป็นพิเศษฉากนึง โอเค อาจจะไม่เล็ก ก็เป็นจุดที่ move เรื่องเหมือนกัน
*สปอยล์* ฉากที่ Oliver จะจับไหล่ของ Elio แล้วทั้งคู่ตีความ gesture นั้นไปคนละทาง Elio มองว่าตัวเองหลบเพราะเขิน Oliver มองว่าตัวเองจับเพราะชอบ แต่สุดท้ายกลับตีความว่าอีกฝ่ายไม่ชอบตัวเองซะงั้น ก็เลยกลายเป็นว่าจากนั้นมาก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกตัวเอง เราว่ามันสะท้อนอะไรได้หลายอย่างดี
จุดที่ไม่ชอบอย่างเช่น ช่วงบรรยายสถานที่ กลอน เพลง หนังสือที่เราไม่ค่อยอิน สุดท้ายแล้วก็ช่วยเสริมให้หนังสือเรื่องนี้สมบูรณ์มากขึ้น ไปๆมาๆ เราว่า Call me by your name ก็ครบเครื่องเหมือนกันแฮะ recommend ให้อ่านเลย ถ้าชอบภาษาบรรยายเยอะๆนะ lol เพราะเชื่อว่านิยายเรื่องนี้จะซึมซับได้ถึงที่สุดต้องดูหนังด้วย อ่านหนังสือด้วย หนังสือไม่สามารถให้ภาพชัดๆกับบรรยากาศสวยๆได้อย่างหนัง หนังก็ไม่สามารถให้ความลึกซึ้งของอารมณ์ ให้ความใกล้ชิดตัวละครได้เท่าหนังสือ
สุดท้ายนี้ เราว่าเรายังเก็บรายละเอียด Call me by your name ได้ไม่ถึงครึ่งที่ซ่อนไว้อย่างละเมียดละไม ช่วงซัมเมอร์อาจจะหยิบมาดื่มด่ำอีกสักครั้ง <3
- ilysm.
จับความรู้สึกได้ นี่ก็้น้ำซึมตอนอ่าน ;; ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านนะคะ สุดยอดมากเลย
ผมพูดได้เลยว่ามันเติมเต็มอะไรหลายอย่าง พอผมมาเจอรีวิวนี้ทำให้ภาพของการอ่านมันชัดขึ้นไปอีก จริงๆ รีวิวนี้เป็นกำลังใจผมระหว่างการอ่านและทำให้มันสำเร็จและละเมียดที่สุด ต้องขอบคุณนะครับ