ตามความจริงมันก็มี trust issues นิดหน่อยในบ้านน่ะนะ มันมีระยะห่างอยู่ เพราะเรามีความเยอะเอง เยอะและหัวดื้อและงอแงเงียบๆ ตั้งแต่เด็ก เหมือนว่าอ่านหนังสือมากไป ดูหนังมากไปจนไม่ได้อยู่โลกจริงเดียวกันกับที่บ้านบ้างบางที พูดกันคนละภาษา คิดกันคนละเรื่อง มองโลกคนละมุม
พอโตหน่อยก็ออกมาอยู่หอคนเดียว แล้วก็รู้สึกว่าหวงความเป็นส่วนตัวจนเหมือนก่อกำแพงที่มองไม่เห็นไว้ อะไรพวกนั้น , ก็คงเป็นสถานการณ์วุ่นๆ ระหว่างวัยรุ่นกับพ่อแม่ทั่วๆ ไป โดยสรุปก็คือพ่อแม่ยุคเบบี้บูมกับลูกเจนวาย นั่นเอง
เราเพิ่งกลับบ้านตัวเองอีกรอบ แฟนเรามารับกลับตอนค่ำๆ พอแฟนเรามาก็เลยทำให้มีเวลานั่งคุยกับพ่อแม่ด้วยกัน
topic หลักวันนั้นก็มีให้คุย แต่อยู่ๆ พ่อก็โพล่งถามแฟนเราว่า "เวลาเรามีอาการขึ้นมา เราเป็นยังไง ?"
นี่ก็อึ้งสิ ใครจะไปคิดว่าจะถามกันชัดเจนขนาดนี้ .
แฟนเราก็เล่าให้ฟังตามความจริงแต่ค่อนข้างใช้ภาษานุ่มนวล ฮ่าๆ ๆ ว่าเราจะงอแงมากขึ้นนะ ไม่อยากไปเจอใคร ไม่อยากทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ก็จะอธิบายว่าเราดีขึ้นมากๆ แล้ว
แต่เป็นครั้งแรกที่มีการพูดคำว่า "โรคซึมเศร้า" ขึ้นมาในบ้านหลังนี้ ,,
หูย ระหว่างที่แฟนเราพูดๆ เล่าๆ อยู่นะ เราไม่กล้าหันไปมองหน้าพ่อกับแม่เลย ทำหน้าไม่ถูก รู้สึกขัดเขินประหลาด เพราะไม่มีใครพูดกันเรื่องความรู้สึก ความอ่อนแอทางใจ อะไรพวกนี้ต่อกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าเปิดประเด็น เป็นรูปแบบครอบครัวในวัฒนธรรมตะวันออกที่ไม่มีใครแสดงความรู้สึกต่อกันประมาณนั้น
พ่อกับแม่ก็ตั้งใจฟังนะ เวลาแฟนเราพูดพ่อกับแม่จะฟังมากกว่า จะเชื่อมากกว่าเราพูด เรารู้สึกแบบนั้น เพราะแฟนเราโตกว่ามากๆ ด้วย โชคดีมากๆ ที่แฟนเรากลายมาเป็นตัวกลางเชื่อมการสื่อสารระหว่างเรากับพ่อแม่ตลอดเวลาที่ผ่านมา
พ่อกับแม่เขาออกจะมาแนวว่าเป็นห่วงว่าเราจะไปเป็นภาระแฟนมั้ยเพราะอยู่ด้วยกัน แฟนเขาก็ต้องมาดูแลเราเวลาไม่สบายหรือเปล่า เพราะงานก็หนักอยู่แล้ว
แล้วพ่อก็พูดว่า
“พ่อกับแม่ก็มาคิดกันนะว่า เราเลี้ยงลูกไม่ดีตรงไหนรึเปล่า เราไปดุอะไรลูกหรือเปล่า?”
อูว ว .
.. สตั๊น ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ..
แต่มันก็ไม่ได้อีโมชั่นนอลอะไรขนาดนั้นหรอกนะ เรามักชอบทำตลกกลบเกลื่อน ที่เราพูดตอนนั้นคือตอบไปว่าไม่เกี่ยว ไม่ใช่ ไม่อยากให้พ่อแม่รู้สึกผิด ถึงแม้ว่าความคิดแว๊บแรกเราก็คิดว่าเขามีส่วนผิดนิดหน่อย แต่พ่อแม่คือคนที่เราไม่อยากเบลมเขาที่สุด เพราะเราก็คิดว่าทุกคนก็ทำดีที่สุดในสถานะและหน้าที่ของแต่ละคนในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว
วันนั้นทำให้ได้รู้ว่า เออ พ่อแม่ก็รู้และสงสัยและเป็นห่วง ขนาดต้องมีการไปปรึกษาญาติว่าทำไมลูกเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่กล้าถามเราตรงๆ ไม่กล้ายุ่ง ไม่โทรมากวนหรือซักไซร้อะไรมาก ซึ่งตรงนั้นก็เป็นส่วนดี เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเขาตั้งคำถามเราในช่วงเวลาที่มันยังวิกฤติอยู่ เราก็คิดว่ามันคงทำให้เรื่องยิ่งแย่ เราคงจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ค่อยถูก ที่ไม่กลับบ้านบ่อยๆ ช่วงนั้นก็เพราะกลัวใจตัวเองนี่แหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in