เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sorry, I'm Ovary-Reactเนตรธิ ~
Dear Mom and Dad, I'm Getting Better
  • ในที่สุดพ่อแม่ก็รู้แจ้งว่าเราไม่สบาย .
    กรี๊ด

    เอาจริงพ่อแม่ก็คงรู้นั่นแหละว่าไม่สบายอะไรซักอย่าง เพราะหลังๆ เวลากลับบ้านก็เอาแต่อยู่ในห้อง นอนตื่นสาย ไม่ค่อยกินข้าว หรือไม่ตลกเท่าปกติ
    เราก็เพิ่งแย็ปๆ กับพ่อแม่ไปช่วงเดือนสองเดือนที่เราดีขึ้นนี่เองว่าเรามีอาการนอนไม่หลับก็เลยไปหาจิตแพทย์ หมอก็บอกว่าอารมณ์มันแปรปรวนเพราะฮอร์โมน ก็กินยาคลายเคลียดนิดหน่อย เพราะเกินจะปิดบังเรื่องความอ้วนเพราะฤทธิ์ยาด้วยงี้งั้น (โทษยาต่อไป ฮ่าๆๆ) ก็ว่าไป แต่ไม่ลงรายละเอียด เป็นความจริงครึ่งเดียว และพ่อแม่ก็ไม่ถามมากนัก

    หลังจากนั้นทุกครั้งที่กลับบ้าน พ่อจะถามว่าเมื่อไหร่จะไปหาหมออีก หรือว่าเดือนนี้ได้ยามากินเพิ่มไหม อะไรแบบนี้ เราก็ตอบตรงๆ ไป พ่อเราต้องหาหมอเป็นประจำอยู่แล้วเพราะงั้นเขาจะค่อนข้างเข้าใจว่า เอ้อ คนเรามันป่วยได้นะ ป่วยก็ไปหาหมอ กินยา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่แม่จะมาแนวห่วงแบบจุกจิกหน่อย ไม่อยากให้กินยาเลยเดี๋ยวไตพัง กินสับปะรดหรือส้มโอก่อนนอนมั้ย ลองออกกำลังกาย นั่งสมาธิมั้ยจะได้นอนหลับอะไรพวกนี้ เราก็ฟังๆ อืมๆ ตามประสาลูก 

    เราไม่ค่อยกล้าบอกพ่อแม่ ตั้งใจว่าจะไม่บอกด้วย
    เพราะรู้สึกว่า จะบอกยังไงอะ เริ่มยังไง จะบอกว่าเหตุผลคืออะไร ?
    ถ้าดันพูดว่าอยากตาย แม่คงเสียใจมาก ไม่อยากได้ยินแบบว่า ทำไมคิดงั้น คิดถึงใจพ่อแม่บ้าง อะไรงี้ เราหวาดหวั่นมาก เพราะนั่นจะทำให้เรายิ่งรู้สึกผิดกับตัวเอง บวกกับคงรู้สึกโกรธถ้าไม่มีใครเข้าใจ

    ทุกวันนี้เรายังต้องใส่นาฬิกาตลอดเวลาที่กลับบ้าน หรือไม่ก็ต้องใส่แขนยาวแม้ว่าจะร้อนแค่ไหน เพราะรอยแผลเป็นที่ข้อมือข้างซ้ายมันชัดมาก ทายายังไงก็ไม่หาย ไม่รู้จะอธิบายยังไง แม่เลี้ยงลูกมาแทบไม่ให้เล่นจนหกล้มด้วยซ้ำ

    (ถึงจุดนี้แล้วใครมียาดี หรือมีหมอเลเซอร์ลบรอยแผลเป็นเก่งๆ โปรดบอกเรา )

  • ตามความจริงมันก็มี trust issues นิดหน่อยในบ้านน่ะนะ มันมีระยะห่างอยู่ เพราะเรามีความเยอะเอง เยอะและหัวดื้อและงอแงเงียบๆ ตั้งแต่เด็ก เหมือนว่าอ่านหนังสือมากไป ดูหนังมากไปจนไม่ได้อยู่โลกจริงเดียวกันกับที่บ้านบ้างบางที พูดกันคนละภาษา คิดกันคนละเรื่อง มองโลกคนละมุม
    พอโตหน่อยก็ออกมาอยู่หอคนเดียว แล้วก็รู้สึกว่าหวงความเป็นส่วนตัวจนเหมือนก่อกำแพงที่มองไม่เห็นไว้ อะไรพวกนั้น , ก็คงเป็นสถานการณ์วุ่นๆ ระหว่างวัยรุ่นกับพ่อแม่ทั่วๆ ไป โดยสรุปก็คือพ่อแม่ยุคเบบี้บูมกับลูกเจนวาย นั่นเอง


    เราเพิ่งกลับบ้านตัวเองอีกรอบ แฟนเรามารับกลับตอนค่ำๆ พอแฟนเรามาก็เลยทำให้มีเวลานั่งคุยกับพ่อแม่ด้วยกัน
    topic หลักวันนั้นก็มีให้คุย แต่อยู่ๆ พ่อก็โพล่งถามแฟนเราว่า "เวลาเรามีอาการขึ้นมา เราเป็นยังไง ?"
    นี่ก็อึ้งสิ ใครจะไปคิดว่าจะถามกันชัดเจนขนาดนี้ .

    แฟนเราก็เล่าให้ฟังตามความจริงแต่ค่อนข้างใช้ภาษานุ่มนวล ฮ่าๆ ๆ ว่าเราจะงอแงมากขึ้นนะ ไม่อยากไปเจอใคร ไม่อยากทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ก็จะอธิบายว่าเราดีขึ้นมากๆ แล้ว

    แต่เป็นครั้งแรกที่มีการพูดคำว่า "โรคซึมเศร้า" ขึ้นมาในบ้านหลังนี้ ,, 

    หูย ระหว่างที่แฟนเราพูดๆ เล่าๆ อยู่นะ เราไม่กล้าหันไปมองหน้าพ่อกับแม่เลย ทำหน้าไม่ถูก รู้สึกขัดเขินประหลาด เพราะไม่มีใครพูดกันเรื่องความรู้สึก ความอ่อนแอทางใจ อะไรพวกนี้ต่อกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าเปิดประเด็น เป็นรูปแบบครอบครัวในวัฒนธรรมตะวันออกที่ไม่มีใครแสดงความรู้สึกต่อกันประมาณนั้น

    พ่อกับแม่ก็ตั้งใจฟังนะ เวลาแฟนเราพูดพ่อกับแม่จะฟังมากกว่า จะเชื่อมากกว่าเราพูด เรารู้สึกแบบนั้น เพราะแฟนเราโตกว่ามากๆ ด้วย โชคดีมากๆ ที่แฟนเรากลายมาเป็นตัวกลางเชื่อมการสื่อสารระหว่างเรากับพ่อแม่ตลอดเวลาที่ผ่านมา

    พ่อกับแม่เขาออกจะมาแนวว่าเป็นห่วงว่าเราจะไปเป็นภาระแฟนมั้ยเพราะอยู่ด้วยกัน แฟนเขาก็ต้องมาดูแลเราเวลาไม่สบายหรือเปล่า เพราะงานก็หนักอยู่แล้ว

    แล้วพ่อก็พูดว่า

    “พ่อกับแม่ก็มาคิดกันนะว่า เราเลี้ยงลูกไม่ดีตรงไหนรึเปล่า เราไปดุอะไรลูกหรือเปล่า?”

    อูว ว .
    .. สตั๊น ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ..

    แต่มันก็ไม่ได้อีโมชั่นนอลอะไรขนาดนั้นหรอกนะ เรามักชอบทำตลกกลบเกลื่อน ที่เราพูดตอนนั้นคือตอบไปว่าไม่เกี่ยว ไม่ใช่ ไม่อยากให้พ่อแม่รู้สึกผิด ถึงแม้ว่าความคิดแว๊บแรกเราก็คิดว่าเขามีส่วนผิดนิดหน่อย แต่พ่อแม่คือคนที่เราไม่อยากเบลมเขาที่สุด เพราะเราก็คิดว่าทุกคนก็ทำดีที่สุดในสถานะและหน้าที่ของแต่ละคนในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว

    วันนั้นทำให้ได้รู้ว่า เออ พ่อแม่ก็รู้และสงสัยและเป็นห่วง ขนาดต้องมีการไปปรึกษาญาติว่าทำไมลูกเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่กล้าถามเราตรงๆ ไม่กล้ายุ่ง ไม่โทรมากวนหรือซักไซร้อะไรมาก ซึ่งตรงนั้นก็เป็นส่วนดี เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเขาตั้งคำถามเราในช่วงเวลาที่มันยังวิกฤติอยู่ เราก็คิดว่ามันคงทำให้เรื่องยิ่งแย่ เราคงจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ค่อยถูก ที่ไม่กลับบ้านบ่อยๆ ช่วงนั้นก็เพราะกลัวใจตัวเองนี่แหละ

  • เราพยายามมองเรื่องนี้ให้เป็นหมุดหมายที่ดีที่ต่อไปจะได้ไม่ต้องโกหก ไม่ต้องอ้อมแอ้มกันแล้วเวลากลับบ้าน ไม่ต้องมีการเตี๊ยมกับน้องว่าเรื่องนี้ห้ามบอกแม่นะ เรื่องนั้นห้ามบอกพ่อนะ 
    แต่ถ้าถูกพ่อแม่ถามอีกว่าเป็นยังไง มันมายังไง ก็คงไม่อยากอธิบายเหมือนเดิม เพราะบางทีก็ไม่รู้จะอธิบายอะไรเข้าใจมะ ขนาดที่เล่าให้หมอฟังยังยากเลย

    พ่อแม่มักเริ่มต้นตั้งคำถามว่า เพราะสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นเหตุใช่มั้ย มันเหมือนจะต้องหาซับเจคที่จะต้องเบลม ออน , แล้วอะไรๆ มันก็ผ่านมาด้วยดีถึงตอนนี้แล้ว ขุดคุ้ยขึ้นมาพูดถึงก็ดูจะไม่เป็นประโยชน์เท่าไรแล้วมั้ง 
    อยากให้เขารับรู้แค่ว่า ตอนนี้โอเคแล้ว พอ .


    คืนนั้นก่อนกลับบ้านแฟน ก็พยายามทำให้พ่อแม่เชื่อว่าสบายดีขึ้นแล้ว ซึ่งก็ดีขึ้นแล้วจริงๆ นะ
    ไม่น่าห่วงแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก
    กินข้าวได้ นอนได้ ทำงานได้ กินยาเป็นเวลา เริ่มออกกำลังนิดหน่อยแล้ว 
    ไม่เป็นภาระใคร ดูแลตัวเองได้ดี มู้ดดี้บ้างแต่ก็ยังจัดการได้
    ทีนี้พ่อแม่จะได้เข้าใจว่าที่ไม่กลับบ้านบ่อยๆ ไม่ได้ไม่พอใจพ่อแม่นะ อ๋อ จริงๆ ไม่มีอะไร แค่ขี้เกียจ และติดแฟน และต้องทำงานบ้าน และอยากเที่ยว :D




    ที่ใกล้จะผ่านไปอีกปีแบบนี้
    ก็เหมือนจะได้โล่งใจไปได้อีกหนึ่งเรื่อง .



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in