Title: not the same
AU : Working age
Pairing: JungJaehyun x KimDoyoung
Rating: PG
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
————————————————————————————————————————
เท้าทั้งสองของผมกำลังยืนอยู่บนถนนเส้นหนึ่งที่แสนคุ้นเคยอย่างมั่นคง…และถ้าหากว่าผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอีกสักนิด ถนนเส้นนี้ก็จะพาผมไปยังตึกคอนโดมิเนียมตึกหนึ่ง
ที่ใต้คอนโดนั้นมีร้านสะดวกซื้อแฟรนไชส์เจ้าดัง ที่ผมมักจะลากคุณลงมาเดินซื้อขนมกินเล่นแก้ง่วงเป็นเพื่อนระหว่างที่ผมต้องนั่งทำงานกลางดึกอยู่บ่อย ๆ
คุณชอบจับมือผมไว้ และคอยกระตุกเตือนเบา ๆ เมื่อเห็นว่าผมเริ่มหยิบขนมไร้สาระในสายตาของคุณลงตระกร้ามากเกินไป
‘พอได้แล้วน่า เดี๋ยวก็อ้วนหรอก’
คุณยิ้มขันให้กับท่าทีค้อนขวับของผม ถ้าให้เดานะ ผมว่าใบหน้าของผมในตอนนั้นมันต้องดูตลกมากแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ขำหรอก
แต่ถึงแม้ว่าคุณจะเอ่ยปากบ่นผมไม่หยุดมากแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นคุณอยู่ดีนั่นแหละที่ควักเงินจ่ายค่าขนมทั้งหมดนั่นให้ผม
คุณมักจะรวบถุงที่พนักงานยื่นให้ไปถือไว้คนเดียว และถ้าหากว่าผมเอ่ยท้วงขึ้น--
‘แบ่งมาให้พี่ถือบ้างสิ เร็ว’
คุณก็จะเลือกถุงที่เบาที่สุดในนั้นแล้วส่งมาให้ผมถือ
คุณจะรู้บ้างไหมนะ…ว่ารอยยิ้มขันและความเอาใจใส่ของคุณนั้นทำให้ผมตกหลุมรักคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมไม่อาจถอนตัวได้เลย
ที่ฝั่งตรงข้ามของถนน เยื้องจากคอนโดของเราไปไม่ไกลนักนั้นมีคาเฟ่อยู่ร้านหนึ่ง
ผมน่ะชอบเค้กของร้านนั้นเอาเสียมาก ๆ และมักจะอ้อนขอให้คุณพาไปนั่งที่ร้านนั้นอยู่บ่อย ๆ
‘นะแจฮยอนนะ ก็พี่อยากกินโอริโอ้ชีสพายอะ’
ผมทำเสียงกระเง้ากระงอดเพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานคุณต้องใจอ่อน
‘โอเค ๆ แต่หยุดเขย่าแขนผมก่อนเร็ว มันสั่นมาถึงหัวจนผมมึนไปหมดแล้วเนี่ย’
‘ไม่เขย่าก็ได้' ผมยอมหยุดมือตามที่คุณบอกแต่โดยดีเมื่อได้ยินคุณตกปากรับคำเพราะกลัวว่าคุณจะเผลอเปลี่ยนใจ ก่อนจะซบศรีษะลงบนท่อนแขนของคุณแล้วเอ่ยด้วยเสียงเอาอกเอาใจ 'นายน่ะเป็นแฟนที่ดีที่สุดในโลกเลยรู้ไหมแจฮยอน’
เห็นไหมล่ะ ผมเดาไม่ผิดเลยสักนิดว่าสุดท้ายแล้วคุณก็ต้องยอมตามใจผมเหมือนทุกครั้งอยู่ดีนั่นแหละน่า
บนโต๊ะตรงหน้าของเราสองคนมีโอริโอ้ชีสพายกับโกโก้ปั่นเพิ่มวิปปิ้งครีมของผม และอเมริกาโน่เย็นซึ่งเป็นเมนูประจำของคุณ
ผมจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมถือวิสาสะคว้าแก้วของคุณมาดูดโดยไม่ได้เอ่ยขอก่อน
‘ขม…’ ผมเบ้หน้าในทันทีเพราะอเมริกาโน่เย็นของคุณนั้นไม่มีเสี้ยวความหวานใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ‘ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะว่าไม่ใส่ไซรัป’
จริง ๆ แล้วผมดื่มกาแฟได้นะ แต่ขมขนาดนี้น่ะไม่ไหวหรอก
‘สมน้ำน่า’
คุณหัวเราะให้กับใบหน้ามุ่ย ๆ ของผม
ผมแกล้งสะบัดหน้าหนีสายตาของคุณไปอีกทาง ก่อนจะรีบตักโอริโอชีสพายเข้าปากเพื่อกลบความขม
กลิ่นกาแฟจาง ๆ ยังคงคลุ้งอยู่ในปาก ทว่าความขมที่เคยมีอยู่นั้นได้ถูกแทนที่ด้วยความหวานจากขนมตรงหน้า
‘ทำไมนายถึงชอบกินอเมริกาโนไม่หวานอะ?’
ผมถาม เพราะไม่ว่าเราจะมาร้านนี้ด้วยกันกี่ครั้งผมก็เห็นคุณสั่งแต่เมนูนี้ตลอด
‘ก็มันไม่เข้มเท่าเอสเพรสโซ’ คุณตอบก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ‘แล้วก็ยังมีอีกเหตุผลนึงนะ พี่อยากรู้ปะ?’
'อื้อ!'
ผมพยักหน้ารัว ๆ เพราะถ้าหากเป็นเรื่องของคุณแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับอะไรผมอยากรู้หมดนั่นแหละ
‘เอาหูมาใกล้ ๆ สิครับ’
แน่นอนว่าผมน่ะรีบโน้มตัวเข้าไปหาคุณและเอียงหูเพื่อรอฟังคำตอบในทันที
และเพราะอย่างนั้น คุณจึงยกใบเมนูของทางร้านขึ้นมาบดบังใบหน้าของเราทั้งคู่จากสายตาของคนในร้าน ก่อนจะประกบจูบลงมา
เพราะคุณดื่มอเมริกาโน่ จูบของคุณจึงเป็นกลิ่นกาแฟ
แต่น่าแปลก…ที่มันไม่ขมเลยสักนิดเดียว
‘เล่นบ้าอะไรน่ะ ประเจิดประเจ้อ!’
ผมเอ็ดคุณทันทีที่คุณถอนจูบออกไป ก่อนจะฟาดมือลงบนท่อนแขนที่ผมมักจะชอบซบเวลาต้องการอ้อน
คุณหัวเราะจนตาปิด
‘ก็นี่ไงคำตอบ กาแฟขม ๆ มันก็ต้องกินคู่กับของหวานไม่ใช่เหรอ?’
ใบหน้าผมเห่อร้อนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
ของหวานบ้าบออะไรกันล่ะ!
ผมหน้าง้ำเมื่อรู้ตัวว่าถูกคุณแกล้งเข้าแล้ว
เสียงหัวเราะของคุณ และจูบรสกาแฟของเรานั้นทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังก้องอยู่ในหัวอย่างชัดเจน
ร้านที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดนั้นเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดแฟรนไชส์เจ้าหนึ่งที่เราทั้งคู่มักจะไปฝากท้องกันอยู่บ่อย ๆ
ครั้งแรกที่เรามากินร้านนี้ คุณสั่งดับเบิลชีสเบอร์เกอร์ ส่วนผมนั้นสั่งชีสเบอร์เกอร์ธรรมดา
คุณบอกให้ไปผมนั่งรอที่โต๊ะขณะที่รอรับเครื่องดื่มและบิลออเดอร์จากพนักงานของร้าน
เรานั่งรอจนน้ำแข็งละลาย น้ำในแก้วของผมพร่องไปเกินครึ่ง แต่เบอร์เกอร์ก็ยังไม่มาเสียที ช่วงหกโมงเกือบจะหนึ่งทุ่มนั้นเป็นช่วงเวลาที่ร้านแห่งนี้เต็มไปด้วยลูกค้า
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เรื่องงานที่เจอในแต่ละวัน ปัญหาระดับชาติอย่างรถติด ไปจนถึงละครช่วงเย็นที่กำลังฉายอยู่บนทีวีของร้านแห่งนี้ อันที่จริงแล้วจะบอกว่าผมพูดอยู่ฝ่ายเดียวและคุณคอยนั่งฟังก็ไม่ผิดนัก
จนในที่สุดเบอร์เกอร์ของเราทั้งคู่ก็มาเสิร์ฟ
ผมเห็นคุณแอบทำหน้าเซ็งเมื่อคุณเห็นว่าในดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ของคุณนั้นมีบางสิ่งบางอย่างแปลกปลอมอยู่
มัสตาร์ด หอมหัวใหญ่สดและแตงกวาดอง เรียกได้ว่าขนสิ่งที่คุณไม่ชอบกินมากันครบเลยทีเดียว
ผมเดาว่าเจ้าของร้านคงเป็นห่วงว่าลูกค้าจะไม่ได้รับสารอาหารครบทั้งห้าหมู่ เขาคงเป็นคนใจดีน่าดู ก็เพราะว่าไอ้ที่แถมมาในเบอร์เกอร์ของคุณน่ะมันน้อยเสียที่ไหนกันล่ะ
‘ทำไมทำหน้างั้นอะ’
ผมถามทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าทำไม และพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นขำไม่ให้คุณเห็น
‘ก็มันมีพวกนี้อะ…เนี่ย’
น้ำเสียงของคุณฟังดูเซ็งเสียเต็มประดา คุณใช้ส้อมในมือเขี่ยขนมปังเบอร์เกอร์ชิ้นบนสุดออก ก่อนจะจิ้มเอาแตงกวาดองสไลซ์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาชูให้ผมดู
‘แต่นายก็กินพวกนี้ได้หนิ’
‘ก็ใช่’ คุณตอบ และส่งแตงกวาดองที่ปลายส้อมของคุณเข้าปาก ‘แต่ผมบอกไปแล้วว่าไม่เอา เขาก็ไม่ควรจะใส่มาไหมอะ’
‘เขาคงลืมมั้ง’ ผมเอ่ยพลางมองคุณที่ทำหน้ายับยู่ยี่ขณะเคี้ยวแตงกวาดองนั่น ‘แล้วมันกินได้ไหมอะ? ถ้าไม่โอเคงั้นเอามาให้พี่กินก็ได้นะ’
‘ไม่ต้องหรอก จริง ๆ มันก็พอกินได้แหละ' คุณว่า ก่อนจะสบตาผมแล้วอมยิ้มน้อย ๆ จนลักยิ้มบนแก้มของคุณบุ๋มลง 'แต่แค่คิดว่ายังไง ๆ ผมก็ชอบเบอร์เกอร์ฝีมือพี่มากกว่าอยู่ดีน่ะ’
ผมรู้ดีว่าที่จริงแล้วคุณก็แค่อยากกินเบอร์เกอร์ที่ไม่มีมัสตาร์ด หอมหัวใหญ่ และแตงกวาดองเท่านั้นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังดีใจอยู่ดีที่ได้ยินคุณพูดแบบนั้น
ผมก้าวเดินไปตามฟุตปาธ เงยหน้ามองตึกสูงตึกหนึ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในวันปกติคุณมักจะขับรถไปรับผมที่บริษัทหลังเลิกงาน แวะหาอะไรกินกันที่ร้านอาหารอร่อย ๆ สักร้านที่คุณเปิดดูรีวิวมา แล้วค่อยกลับมานอนอืดกันที่คอนโด
ไม่บ่อยนักที่คุณจะปล่อยให้ผมกลับมาคอนโดเองแบบนี้
ในกระเป๋ากางเกงของผมมีคีย์การ์ดและกุญแจสำหรับเข้าห้อง
ประตูห้องขนาด 1LDK ที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไปสำหรับคนสองคนถูกผมเปิดออก
ทุกอย่างในห้องนี้ยังคงอยู่ที่เดิม
เราสองคนชอบขลุกอยู่บนโซฟาหน้าทีวีในวันหยุด นั่งเถียงกันเรื่องหนังที่จะดูในตอนบ่ายกันอยู่ครึ่งค่อนวัน และสุดท้ายก็จบลงด้วยการเป่ายิ้งฉุบ
คุณจัดการเรื่องหนัง ส่วนผมก็ไปเวฟป๊อปคอร์น
หรือบางที คุณก็นั่งอ่านหนังสือบนนั้น ส่วนผมก็หนุนตักของคุณ นอนมองใบหน้าของคุณจากมุมล่าง และพยายามอย่างหนักที่จะทำให้คุณเลิกสนใจหนังสือในมือแล้วหันมาสนใจผมแทน
‘นี่…’
เป็นผมที่เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
‘หืม?’
คุณขานตอบเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยอมละสายตาจากหนังสือมามองผมอยู่ดี
‘อูแจอาาา’
และนั่นจึงทำให้ผมเริ่มเรียกชื่อของคุณด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พลางไถศรีษะไปมาบนตักของคุณ
‘ว่าไงครับ?’
และก็ได้ผล คุณปิดหนังสือลงก่อนจะก้มลงมามองหน้าผมพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ
‘ก็แค่อยากเรียกเฉย ๆ…ไม่ได้เหรอ?’
ผมเอ่ยพร้อมกับยู่ปาก
ความจริงแล้วผมก็แค่นึกสงสัยขึ้นมาเฉย ๆ ว่าระหว่างหนังสือในมือของคุณกับตัวผมนั้นคุณจะสนใจอะไรมากกว่ากัน และดูเหมือนว่าผมจะได้คำตอบนั้นเรียบร้อยแล้ว
‘ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ผมชอบให้พี่เรียกชื่อผมจะตายไป’ คุณยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ‘โดยเฉพาะตอนที่เรา…’
‘ตอนที่เราอะไร’
ผมเผลอแหวใส่คุณเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าคุณจงใจเว้นช่วงประโยคไว้เพื่อแกล้งผม
‘นั่นน่ะสิ ตอนที่เราอะไรน้าาา’
น้ำเสียงครุ่นคิดอันแสนจอมปลอมของคุณนั้นเป็นอะไรที่น่าหมั่นไส้อย่างที่สุด เราทั้งสองสบตากันขณะที่คุณค่อย ๆ โน้มหน้าลงมาทีละนิด ใบหน้าของคุณเลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ชวนจั้กจี้เหนือริมฝีปาก
หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น
‘อือออ’
และแรงขึ้นอีกเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นของคุณทาบทับลงมาบนริมฝีปากของผม เราจูบกันบนนั้น บนโซฟาหน้าทีวีที่เรามักจะดูหนังด้วยกัน บนโซฟาตัวที่ผมมักจะนอนหนุนตักและพยายามทำลายสมาธิเมื่อคุณอ่านหนังสือ ซึ่งผมก็สามารถทำลายได้ทุกครั้ง
บนโซฟาตัวที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวันหยุดของเราสองคน
ผมเดินตรงไปยังประตูระเบียงห้องอย่างไม่เร่งรีบ ใช้มือเลื่อนผ้าม่านกันแสงผืนใหญ่ออก แสงแดดยามสายที่สาดเข้ามาถึงด้านในจนทำให้รู้สึกร้อนหน่อย ๆ
คุณมักจะเดินมาที่ริมระเบียงนี้เสมอเวลาที่เราทะเลาะกันใหญ่โตแล้วคุณก็เกิดหัวเสียขึ้นมา
‘อะไรกันล่ะแจฮยอน ก็พี่บอกแล้วไงว่าเตนล์เป็นเพื่อนที่ทำงาน อย่ามาหึงงี่เง่าได้ไหม คนมันต้องทำงานด้วยกันก็ต้องอยู่ใกล้กันดิ’
น้ำเสียงของผมแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราสองคนทะเลาะกันเรื่องนี้
‘แล้วคนที่ทำงานด้วยกันมันต้องโอบเอวกันด้วยเหรอโดยอง! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นนะ แล้วก็ไม่รู้ว่ายังมีอีกกี่ครั้งที่ผมไม่เห็นน่ะ’
‘มันจะมากไปแล้วนะแจฮยอน นายก็รู้ว่าพี่ชอบเดินชนนู่นชนนี่อยู่บ่อย ๆ เตนล์เขาก็แค่ช่วยกันให้ นี่นายไม่ไว้ใจพี่ขนาดนี้เลยเหรอ?’
‘ไว้ใจดิ แต่ผมก็ยังไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวแฟนผมอยู่ดี ผมหึงพี่ หึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เข้าใจกันบ้างไหมวะ!’
นี่เป็นครั้งแรกคุณที่ตะโกนใส่หน้าผม ร่องรอยโทสะก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของคุณ
ยิ่งเรายืนคุยกันนานมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งทะเลาะกันเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ
และไม่มีใครเป็นฝ่ายที่เย็นลงเลย
เรื่องของเรื่องคือเย็นวันนั้นคุณมารับผมกลับบ้านตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างไม่ปกติคือคุณเกิดเข้ามาเห็นชิตพล เพื่อนที่ทำงานของผมเอื้อมมือมาคว้าเอวผมเอาไว้เพราะผมเสียหลักจนเกือบจะชนเข้ากับพนักงานคนอื่นตอนกำลังเดินออกจากลิฟต์
คุณไม่พูดไม่จาอะไรตั้งแต่ที่บริษัทของผมจนกระทั่งเรากลับมาถึงห้อง เราทั้งคู่เงียบผิดปกติเสียจนผมอึดอัด ทั้งปกติแล้วเรามักจะคุยกันเรื่องสัพเพเหระ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องบ่นเรื่องงานที่เจอในแต่ละวันให้อีกฝ่ายฟังบ้าง แต่วันนี้ไม่มีเลย
จนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว ผมไม่เข้าใจว่าคุณเป็นอะไรเลยเป็นฝ่ายถามคุณออกไปก่อน
‘ทำไมเงียบจังอะอูแจอาาา เครียดหรอ?’
‘นี่พี่ไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ งั้นเหรอครับ?’
คุณถามผมกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ผิดกับในยามปกติ
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราทะเลาะกันใหญ่โตแบบนี้
ผมสะดุ้งเมื่อถูกคุณตะโกนใส่หน้า คุณเองก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
‘โถ่เว้ย!!!’
คุณสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะเดินหันหลังให้ผมและตรงไปยังนอกระเบียง ทิ้งให้ผมได้แต่ยืนนิ่งเป็นหินอยู่ที่หน้าโซฟา
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากร้องไห้ตั้งแต่คบกับคุณมา
มือของผมสั่นด้วยความกลัว
ผมกลัวว่าคุณจะโกรธและเกลียดผม กลัวมากจนไม่กล้าแม้แต่จะเดินตามคุณออกไปที่นอกระเบียง
ผมล้มตัวนั่งบนโซฟา
ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ…
ปกติแล้วผมชอบความเงียบนะ เพราะมันทำให้ผมมีสมาธิเวลาทำงาน แต่ในตอนนั้นผมกลับนึกเกลียดความเงียบขึ้นมาสุดใจ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนผมผล็อยหลับไป และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีในเช้าของวันถัดมา ผมก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง
หัวใจของผมวูบโหวงเมื่อตื่นขึ้นมาและพบว่าข้างตัวของผมนั้นมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีคุณที่นอนอยู่ข้าง ๆ เหมือนทุกเช้า และเมื่อเดินออกมาที่ครัวก็พบกับอาหารเช้าที่คุณเตรียมไว้ให้ มันเป็นโจ๊กหมูพิเศษใส่ไข่ไม่ใส่ขิงเจ้าโปรดของผม ข้างถุงโจ๊กนั้นมีโพสท์อิทสีเหลืองอ่อนที่มีลายมือเรียบร้อยของคุณเขียนเอาไว้แปะอยู่ ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน
— ถ้าเย็นแล้วก็เอาไปเวฟก่อนทานนะ อย่าทานทั้งที่มันยังเย็นอยู่ล่ะ —
จู่ ๆ ผมก็รู้สึกแสบขัดที่จมูก และขอบตาของผมก็เริ่มร้อนผ่าวอย่าไม่มีสาเหตุ
ทั้งที่เรากำลังทะเลาะกันอยู่แท้ ๆ แต่คุณก็ยังคงใส่ใจผมเหมือนที่ทำมาโดยตลอด และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรักที่แย่เอาเสียมาก ๆ ที่ใส่ใจคุณได้ไม่เท่าที่คุณใส่ใจผม
คุณไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเพื่อนร่วมงานเกินความจำเป็น และมักจะเว้นระยะห่างกับทุกคนอย่างพอเหมาะพอควร เพราะคุณรู้ดีว่าผมเป็นพวกขี้หึง
ใช่…ที่คุณพูดมาน่ะถูกต้องทุกอย่าง
ผมเองก็ไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวคุณเหมือนกัน แล้วก็ไม่ชอบให้คุณไปแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นนอกจากผมด้วย
คุณรู้ดีว่าผมไม่ชอบ คุณจึงไม่ทำแบบนั้นให้ผมรู้สึกระแวง แต่ผมกลับไม่เคยนึกถึงใจของคุณบ้างเลย
ชั่ววูบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เอาแต่เรียกร้องให้คุณทำตามใจผมไปเสียหมดอยู่ฝ่ายเดียว
เย็นวันนั้นคุณก็ยังคงมารอรับผมที่บริษัทเหมือนทุกวัน
ผมเปิดประตูรถและเข้าไปนั่งตรงที่ว่างข้างคนขับ
‘โดยองงี…ผมขอโทษนะที่เมื่อคืนผมทำตัวงี่เง่าใส่’
เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่คุณเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษก่อนทั้งที่คุณไม่ผิด
‘แจฮยอน’ ผมเรียกชื่อคุณเสียงเบาหวิว พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับไม่ให้ตัวเองเผลอหลุดเสียงสั่นออกมา วันนี้ทั้งวันผมเอาแต่นั่งคิดถึงเรื่องที่เราทะเลาะกันจนแทบไม่เป็นอันทำงาน ซึ่งมันแย่มาก ‘พี่...พี่ขอโทษที่…ฮึก’
แต่ก็นั่นแหละ คนจะร้องไห้น่ะมันบังคับกันได้ที่ไหนล่ะ
‘พี่ขอโทษนะที่เอาแต่ใจ แจฮยอน ฮึก! แจฮยอนอย่าเกลียดพี่เลยนะ พี่จะ…จะไม่ยอมให้ใครมาแตะตัว ฮึก! ง่าย ๆ แล้ว’
ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาและสะอื้นไห้เสียงดังราวกับเด็กเล็ก ๆ
ผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว และเพราะว่าผมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอาเสียมาก ๆ นี่แหละ
ผมถึงไม่อยากให้คุณเกลียดผมเลย…
‘ผมจะเกลียดพี่ได้ยังไงล่ะ’ คุณคว้าตัวผมไปกอดไว้ และปล่อยให้ผมซบใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาลงบนแผ่นอกของคุณ ‘ไม่ร้องนะครับ’
‘พี่ขอโทษนะ ฮือ แจฮยอนอย่าโกรธพี่เลยนะ อย่าเงียบ อย่าทิ้งพี่เอาไว้ ฮึก! พี่ไม่อยากตื่นมาแล้วไม่เจอนายแบบวันนี้อีกแล้ว’
‘ผมไม่ได้โกรธพี่แล้วน่า’
‘จริงนะ พูดจริงนะ?’
‘อื้อ’
‘พี่ขอโทษนะแจฮยอน’
‘รู้แล้ว’
‘ให้อภัยพี่หรือยัง?’
คุณค่อย ๆ คลายกอดออกแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยคราบน้ำตาบนในหน้าให้ผมอย่างเบามือ เราสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณจะโน้มหน้าลงมาจูบเบา ๆ บนริมฝีปากของผม
‘ให้อภัยแล้วครับ’
คุณเอ่ยก่อนจะกดจูบบนริมฝีปากผมซ้ำอีกรอบ
อ่า…รู้บ้างไหมว่าคุณทำให้ผมรักคุณเพิ่มมากขึ้นอีกแล้ว
ด้านนอกระเบียงมีเค้าความวุ่นวายของเมืองหลวงปรากฎอยู่ รถราขยับรุดหน้าไปอย่างเชื่องช้าทว่าไม่มีทีท่าจะหยุดนิ่ง ผมปิดผ้าม่านลงดังเดิมก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังห้องนอน
เตียงนอนสีเข้มถูกคลุมไว้ด้วยผ้ากันฝุ่น ผมนั่งทับลงบนนั้น ทั้งที่รู้ดีว่ามันจะทำให้กางเกงสกปรกแต่ผมก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไรนัก
ผมวางมือลงบนปลายเตียง ไล้มือไปมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกโหยหา
คุณจะรู้ไหมว่าผมรักเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบมีคุณนอนอยู่ข้าง ๆ มากแค่ไหน
ผมรักเช้าที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าคุณกำลังนอนมองหน้าของผมอยู่
‘มองอะไรของนายเล่า’
ผมบ่นอุบอิบแก้เขิน ให้ตาย ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตื่นมาแล้วพบว่ากำลังถูกคุณจ้องอยู่เสียหน่อย แต่ถึงยังไงผมก็ไม่เคยจะชินอยู่ดี
‘ก็มองแฟน’ คุณยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะยื่นหน้ามาจุ้บเบา ๆ เข้าที่มุมปากของผม ‘มอร์นิ่งคิสครับ’
‘มอร์นิ่งคิสอะไรล่ะ น้ำลายบูดไหม ขี้ฟันทั้งนั้นอะ’
ผมโวยใส่คุณเบาๆ ทั้งที่รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า
ยังไงก็ไม่ชินอยู่ดีอะ…
‘โหย ไม่โรแมนติกเลยนะครับคุณคิมโดยอง’
‘อะไรเล่า ลุกไปอาบน้ำได้แล้วไป เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก’
ผมใช้มือผลักท่อนแขนของคุณออกเบา ๆ
‘ไม่อยากไปทำงานเลยอะ’ คุณทำเสียงเอาแต่ใจก่อนจะคว้าตัวผมไปกอด ‘อยากนอนกอดพี่แบบนี้ทั้งวันมากกว่า’
‘ถ้าไม่ไปทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงพี่ล่ะ พี่กินเยอะนะ เยอะพอ ๆ กับนายเลยด้วย’
‘โอ้โห เจอเหตุผลนี้เข้าไปนี่หายขี้เกียจเลย ก็ได้ ๆ ไม่ขี้เกียจแล้วครับ แต่ขออยู่อย่างนี้อีกห้านาทีนะ’
ผมไม่ได้ตอบอะไรคุณกลับไปและยิ่งซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของคุณ เรานอนกอดกันอยู่พักใหญ่ แถมเกินห้านาทีที่คุณขอเอาไว้เสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา เพราะลึก ๆ แล้วผมเองก็ชอบใจกับเช้าแบบนี้อยู่เหมือนกัน
ในที่สุดคุณก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เราทำงานกันคนละบริษัท และบริษัทของคุณก็เข้างานเร็วกว่าผมครึ่งชั่วโมง ปกติแล้วนั้นคุณมักจะเตรียมอาหารเช้าไว้และปลุกผมก่อนที่คุณจะออกจากห้อง เมื่อผมตื่นก็จัดการทำธุระส่วนตัว ทานอาหารเช้าให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ที่ห้องแล้วจึงขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ส่วนในตอนเย็นนั้นก็ให้รอคุณมารับที่บริษัท ยกเว้นวันไหนที่ผมต้องรีบไปเคลียร์งานตั้งแต่เช้านั่นแหละผมถึงจะตื่นและออกจากห้องพร้อมกับคุณโดยให้คุณไปส่ง
และเพราะวันนี้เราดันตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ผมจึงเป็นฝ่ายลุกจากเตียงไปทำมื้อเช้าง่าย ๆ ขณะที่รอคุณไปอาบน้ำแต่งตัว
ขนมปังปิ้ง เบคอน ไข่ดาว และกาแฟดำ
ผมกำลังรอให้คุณออกมาจากห้อง เพื่อที่เราสองคนจะได้ทานมื้อเช้าด้วยกัน
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก หมายถึงการที่ผมตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าให้คุณอย่างนี้น่ะนะ
โครม!
เสียงของหนักๆ หล่นร่วงกระทบกับพื้นนั้นทำให้ผมหยุดมือที่กำลังทอดเบคอนอยู่ ผมละสายตาออกจากกระทะครู่หนึ่งแล้วหันมองไปยังประตูห้องนอน
‘แน่ะ! ทำของหล่นอ่อ ซุ่มซ่ามนะเราน่ะ’
ผมแกล้งตะโกนหยอกเหมือนที่คุณชอบทำเวลาที่ผมเผลอทำของร่วงลงพื้น ทว่ามีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบผมกลับมา
‘อูแจอา เป็นไรอะ?’
ผมเริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ไม่มีเสียงตอบใด ๆ จากคุณ ผมรีบปิดเตาแก๊สแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
แกร๊ก!
‘แจฮยอน!!!’
และสิ่งที่ผมได้เห็นก็ทำให้ผมตกใจเสียจนแทบสิ้นสติ
คุณที่แต่งตัวใกล้เสร็จแล้วนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนพื้น ตรงขอบโต๊ะเครื่องแป้งมีคราบของเหลวสีแดงข้นเปื้อนเปรอะ ผมรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเลือด ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่บนพื้นนั้นก็มีกองเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลบนศีรษะของคุณอยู่กองหนึ่ง
‘จ…แจฮยอน แจฮยอนเป็นอะไร’
ผมพยายามแล้วที่จะบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองสั่น พยายามแล้วที่จะบังคับไม่ให้น้ำตาไหลออกมา แต่ผมก็ทำไม่ได้
มือของผมสั่นขณะที่ผมเอื้อมมันไปตบบ่าของคุณเบา ๆ เพื่อเรียกสติ แต่คุณก็ยอมไม่ลืมตาขึ้น
‘จ…แจฮยอนรอพี่แปปนึงนะ พี่...ฮึก!’
อา…ผมเกลียดเวลาที่ตัวเองเอาแต่สะอึกสะอื้นจนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ชะมัด
‘พี่จะไปตามคนมา ฮึก มาช่วยนะ’
ผมวางคุณลงบนพื้นทั้งน้ำตา ทั้งขาและมือของผมสั่นไปหมดยามลุกเดินไปที่โต๊ะเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรเรียกรถพยาบาล ก่อนจะรีบเดินกลับมานั่งเป็นเพื่อนคุณที่เดิม
ผมทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างนอกจากกุมมือของคุณเอาไว้ ร้องไห้อยู่อย่างนั้นและรอความช่วยเหลือจากรถพยาบาล
ช่วงเวลาสิบห้านาทีก่อนที่คุณจะถึงมือหมอนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าและแสนยาวนาน ผมพยายามบังคับให้ตัวเองหยุดร้องไห้เพื่อที่จะได้โทรไปลางานให้คุณและตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจโทรแจ้งข่าวให้กับพ่อและแม่ของคุณรับรู้
‘เนื้องอกในสมอง’
นั่นเป็นสิ่งที่แพทย์พบเมื่อพวกเขาทำ CT Scan ผมได้แต่ยืนนิ่งด้วยความช็อก ขณะนึกย้อนไปถึงอาการปวดหัวแปลก ๆ ช่วงสามสี่เดือนหลังมานี้ของคุณที่ทำให้คุณต้องลุกขึ้นมาอาเจียนกลางดึกอยู่บ่อยครั้ง แต่คุณก็มักจะบอกปัดกับผมว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรมากเพื่อไม่ให้ผมกังวล
อีกแล้ว…เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ผมไม่ใส่ใจคุณเลย
ผมได้แต่ก่นด่าตัวเองและนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงของคุณ กุมมือคุณไว้อย่างนั้นและภาวนาอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างบนโลกใบนี้
ผมขอให้คุณฟื้นขึ้นมาและให้โอกาสผมได้ใส่ใจคุณมากกว่านี้อีกสักครั้ง
‘ด…โดยองงี ร้องไห้ทำไม หืม?’
น้ำเสียงของคุณฟังดูแหบแห้งจนชวนให้รู้สึกใจหาย มันขาดห้วงและเบาหวิวราวกับว่าคุณเอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก คุณพยายามจะเอื้อมมือมาเช็ดคราบน้ำตาให้ผมเหมือนทุก ๆ ครั้ง ผมที่เห็นดังนั้นจึงรีบคว้ามือของคุณมาปาดน้ำตาให้ตัวเองและซบหน้าลงบนฝ่ามืออันเย็นเยียบของคุณ
‘แจฮยอนอย่าทิ้งพี่ไปนะ ฮึก! สัญญา…สัญญากับพี่ได้ไหม?’
ผมสะอื้นไห้และร้องขอคำสัญญาจากคุณ
คำสัญญาที่จะทำให้ผมมั่นใจว่าผมจะไม่มีวันถูกคุณทิ้งไป เพราะผมรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่คุณตอบตกลงให้คำมั่นกับผมแล้วคุณจะไม่มีวันบิดพลิ้ว ก็คุณน่ะไม่เคยผิดสัญญากับผมเลยสักครั้ง
ผมรู้ว่ามันเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว แต่ผมน่ะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว คุณก็รู้นี่ ใช่ไหม…
‘ผมจะทิ้งโดยองงีของผมไปได้ยังไง’ ปลายนิ้วของคุณไล้ไปมาเบาๆ ที่ข้างแก้มของผม ‘ไม่ร้องสิ ผมไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก ผมยังต้องอยู่ดูแลพี่ไปอีกนาน’
แต่ผมไม่หยุดร้องไห้
‘ผมอยากกินเบอร์เกอร์ฝีมือพี่จัง’
‘ฮึก…ก็รีบ ห…หาย’
‘อื้ม ผมจะรีบหายเพื่อมากินฝีมือพี่นะ’
คุณบอกกับผมอย่างนั้น ก่อนจะตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดทั้งที่รู้ว่ามีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์
‘เราจะสู้ไปด้วยกันนะแจฮยอน’
ผมเอ่ยพร้อมกับยกหลังมือของคุณขึ้นมาจูบเบา ๆ และภาวนาให้คุณเป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์ที่รอดชีวิต
คุณบีบมือผมตอบ
‘ฉันรักโดยองนะ’
‘ฉันก็รักนายเหมือนกัน ฉันรักแจฮยอนที่สุดในชีวิตนะ’
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เราคุยกันก่อนที่คุณจะเข้าห้องผ่าตัด ก่อนที่สิบสองชั่วโมงในห้องผ่าตัดนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความทรมานจากการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุด
คำภาวนาของผมเป็นจริง คุณเป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์ที่รอดชีวิต ทว่ารอดมาด้วยภาวะผักถาวร
คุณเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ถึงหกปีเต็ม ก่อนที่พ่อและแม่ของคุณจะตัดสินใจไม่ยื้อชีวิตต่อ
การรอคอยของผมสิ้นสุดลงพร้อมกับการสูญเสียคุณไปตลอดกาล คำสัญญาที่ว่าคุณจะไม่ทิ้งผมไปเป็นคำสัญญาเดียว…
ที่คุณไม่รักษา
ข้างชั้นวางของมีกล่องกระดาษที่พับวางซ้อนกันเป็นชั้น ใกล้ ๆ กันนั้นมีสก็อตเทปสำหรับแพ็คของและกรรไกรวางอยู่
มันถูกวางทิ้งไว้อยู่อย่างนั้นมานานเสียจนมีฝุ่นจับบาง ๆ ผมเดินไปหาผ้าขี้ริ้ว ชุบน้ำและบิดจนแห้งก่อนจะนำมาเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่บนนั้นออกไป
ความจริงแล้วผมควรจะเก็บของพวกนี้เสร็จตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แต่เพราะน้ำตาของผมมันไม่ยอมหยุดไหลเสียทีเวลาที่มองเห็นหรือแตะต้องของพวกนี้ สุดท้ายผมก็เลยเก็บมันไม่เสร็จ และได้แต่ปล่อยมันทิ้งเอาไว้แบบนั้นจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมานานขนาดนี้
‘โดยอง คอนโดของลูกน่ะ...แม่ว่าถ้าลูกจะไม่กลับไปอยู่แล้วก็ปล่อยเช่าเสียดีไหม ดีกว่าปล่อยให้มันว่างอยู่อย่างนั้นนะลูก’
แม่ของผมเอ่ยขึ้นในมื้อเย็นวันหนึ่ง
ตั้งแต่ผมสูญเสียคุณผมก็ไม่ได้กลับไปอยู่ที่คอนโดนั้นอีก ที่นั่นมีความทรงจำของเราเยอะเกินไปจนทำให้ผมร้องไห้อยู่ตลอดเวลาเพราะเอาแต่คิดถึงคุณ พ่อและแม่จึงบอกให้ผมย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านกับพวกท่าน
แต่คุณรู้อะไรไหม…ว่าไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ท้ายที่สุดแล้วผมก็หยุดคิดถึงคุณไม่ได้อยู่ดี
‘แต่ผมไม่อยากให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่นี่แม่ ห้องนั้นน่ะ…’
ห้องนั้นน่ะ…เป็นห้องของแจฮยอนกับโดยองนะ
เป็นห้องของเรา
‘แล้วลูกจะปล่อยให้ห้องมันร้างต่อไปอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าลูกคิดจะกลับไปอยู่’
กลับไปอยู่ที่ห้องนั้นงั้นเหรอ…
ผมเผลอกำช้อนที่อยู่ในมือแน่น เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถกลับไปอยู่ที่ห้องนั้นได้อีกแล้ว
ผมได้แต่ก้มหน้ามองข้าวในจานตรงหน้า และไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับไป
‘โดยอง พี่ได้ข่าวมาว่านายปล่อยห้องคอนโดให้เช่าเหรอ?’
มุนแทอิล รุ่นพี่ที่ทำงานของผมเดินเข้ามาถามในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งรอกาแฟอยู่ที่ร้านคาเฟ่ใต้ตึกทำงาน
‘ใช่แล้วพี่ ทำไมเหรอ?’
‘พอดีว่าน้องชายพี่มันเพิ่งจะเรียนจบแล้วกำลังหาที่อยู่ใหม่น่ะ ห้องของนายมีคนมาเช่าหรือยังล่ะ?’
‘ยังเลยครับ น้องของพี่สนใจห้องผมเหรอ?’
‘อือฮึ ยังไงให้มันดูห้องนายก่อนได้ไหมอะ พี่ว่าถ้าอยู่ห้องนายได้ก็ดี เพราะคอนโดนายน่ะอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของมันเท่าไหร่’
‘ได้ครับ แต่สักอาทิตย์หน้าได้ไหม? พอดีผมต้องเคลียร์ห้องก่อนอะ ของผมยังเต็มห้องอยู่เลย’
‘ได้ ๆ งั้นเดี๋ยวพี่ไปบอกมันก่อน เอ้อใช่...พี่เอาเบอร์นายให้น้องพี่เลยได้ไหมอะ มันจะได้มาคุยกับนายโดยตรงเลย ไม่ต้องมาติดต่อผ่านพี่อยู่แบบนี้’
‘อ่า…เอางั้นก็ได้ครับ’
ผมตอบเสียงเบา ในอกของผมวูบหวิวเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเวลาที่ผมต้องปล่อยมือนั้นใกล้จะมาถึงแล้วเต็มที
‘โอเค ขอบคุณใจนะโดยอง’
พี่แทอิลส่งยิ้มมาให้ผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปรับกาแฟที่เคาน์เตอร์เมื่อได้ยินพนักงานประกาศเรียกชื่อ
หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงคิวของผม ผมรับอเมริกาโน่เย็นไม่ใส่ไซรัปมาดูดก่อนจะจ่ายเงิน
อันที่จริงผมยังคงดื่มอะไรขม ๆ ไม่ไหวอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่อเมริกาโน่เย็นคือข้อยกเว้นเดียว
ผมดื่มมันทุกครั้งที่ผมคิดถึงจูบรสกาแฟของเรา
ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง พยายามจดจำความทรงจำทั้งหมดของเราเป็นครั้งสุดท้าย
ทุกอย่างในห้องนี้ยังคงอยู่ที่เดิม
แต่มันไม่เหมือนเดิม…ไม่มีวันเหมือนเดิม
เพราะไม่มีคุณ
[end.]
_____________________________________________________________________________________________________
ตั้งแต่เราเคยเขียนฟิคมา
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เศร้าที่สุดแล้วค่ะ
#allislovefic
how to comment ใน minimore
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in