- 0 -
ดลธรไม่เคยเชื่อในเรื่องรักแรกพบ
ไอ้การที่จะตกหลุมรักใครสักคนทั้งที่เพิ่งเห็นหน้าได้เพียงแค่แวบเดียว โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไรด้วยซ้ำน่ะมันเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ ในเมื่อนิสัยใจคอของคนเรานั้นไม่ได้แขวนอยู่บนใบหน้าเสียหน่อย
และอีกอย่างหนึ่งที่เขานึกสงสัยมาตลอดไม่แพ้กันก็คือจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าความรักที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบนั้นน่ะมันคือความรักจริง ๆ ไม่ใช่ความหลงใหลในหน้าตาหรือรูปกายภายนอกเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันช่างฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี ออกแนวเพ้อฝันเกินความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำไป
ก็ถ้าความรักมันสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายขนาดนั้น บนโลกใบนี้ก็คงไม่มีคนโสดเหลืออยู่แล้ว จริงไหมล่ะ
- 1 -
เสียงกริ่งที่ดังขึ้นนั้นทำให้ผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังยืนบรรยายความรู้อยู่หน้าห้องรับรู้ได้ว่าหมดเวลาเรียนในคลาสนี้แล้ว บรรดานักศึกษาจำนวนไม่น้อยต่างพากันเก็บข้าวของของตนเองลงกระเป๋าเสร็จเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อห้านาทีก่อน และพร้อมที่จะออกจากห้องเรียนไปทานมื้อกลางวันกันเต็มแก่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าลุกออกจากที่ของตนจนกว่าอาจารย์จะเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรสักอย่างขึ้นมาก่อน
“อ้าว หมดเวลาแล้วล่ะทุกคน ถ้าอย่างนั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันเนอะ เลิกคลาสได้ครับนักศึกษา”
เมื่อสิ้นเสียงอนุญาต เหล่านักศึกษาที่ตั้งท่ารออยู่ก่อนแล้วต่างก็พากันลุกขึ้นและทยอยเดินออกจากห้องเรียนในทันที
“ดลลล เร็ว ๆ หน่อยได้ไหม เดี๋ยวก็ไปกินข้าวไม่ทันหรอก”
นายชิตพล นักศึกษาชายผู้มีวิถีเร่งรีบเฉกเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ เอ่ยเร่งเพื่อนสนิทของตัวเองที่ค่อย ๆ จัดแจงปิดสมุด เก็บปากกาลงกระปุกดินสอทีละแท่ง สอดชีทเรียนที่ใช้เมื่อครู่เข้าแฟ้มและตรวจเช็คให้แน่ใจว่าพวกมันไม่พับซ้อนกัน ก่อนจะเอาสิ่งของเหล่านั้นเก็บใส่กระเป๋าทีละอย่างด้วยความเชื่องช้า
“จะรีบไปไหนล่ะเตนล์ ข้าวที่โรงอาหารไม่หนีไปไหนหรอกน่า”
ร่างผอมโปร่งอดที่จะบ่นอุบอิบใส่เพื่อนตัวเล็กของตนไม่ได้ เขาเหลือบสายตามองเวลาบนนาฬิกาตรงผนังห้อง ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงห้าสิบ พวกเขามีเรียนอีกทีตอนบ่ายโมงตรง มีเวลาให้กินข้าวตั้งหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาที ทันถมถืด
“ถึงข้าวจะไม่หนี แต่ถ้าดลช้าเราก็จะไม่มีที่นั่งกันนะ เร็วเลย!”
ทันทีที่พูดจบ ชิตพลก็รีบเสนอตัวเข้าไปช่วยเพื่อนสนิทเก็บข้าวของลงกระเป๋าโดยไม่ถามไถ่ความต้องการของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ดลธรแอบนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าชิตพลทำขอบสมุดของตนยับไปนิดหน่อยเพราะการจับมันยัดลงในเป้อย่างเร่งรีบ เพื่อนตัวเล็กรูดซิปปิดกระเป๋าก่อนจะรีบคว้าข้อมือเขาแล้วออกแรงให้เดินตามไป แม้ชิตพลจะเป็นคนตัวเล็ก ทว่าแรงที่มีนั้นไม่ใช่น้อย ๆ ประกอบกับตัวเขาเองที่ขี้เกียจจะขัดขืนให้เหนื่อยเปล่ากันทั้งคู่ สุดท้ายก็เลยยอมเดินตามแรงดึงของอีกฝ่ายไปแต่โดยดี
“นั่นไงเห็นไหม เราว่าแล้ว”
คนตัวเล็กกว่าบ่นออกมาด้วยความเซ็งเมื่อพวกเขาทั้งคู่มาถึงโรงอาหารคณะที่คลาคล่ำไปด้วยบรรดานักศึกษา เพราะคณะวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งในคณะที่มีนักศึกษาและบุคลากรเยอะ ทั้งยังเป็นคณะที่เปิดสอนวิชาพื้นฐานและวิชาเสรีต่าง ๆ ที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องเรียน จึงทำให้มีโรงอาหารคณะเป็นของตัวเองเพื่ออำนวยความสะดวกกับบุคลากรและนักศึกษาทั้งในคณะและนอกคณะ ดังนั้นการที่โรงอาหารคณะวิทย์จะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่มากหน้าหลายตาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
ซึ่งถ้าเลือกได้ ตอนกลางวันแบบนี้ดลธรกับชิตพลก็ไม่อยากจะทานข้าวที่นี่สักเท่าไหร่ แต่เพราะช่วงบ่ายในวันนี้พวกเขามีเรียนที่คณะของตัวเองต่อ โรงอาหารคณะจึงกลายเป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขามีอยู่
“เราว่าไปซื้อข้าวกันก่อนเหอะ แล้วค่อยมาหาที่นั่งที่หลัง” ชิตพลเอ่ยขึ้น ซึ่งดลธรก็พยักหน้าเห็นด้วย “ดลจะกินอะไร?”
“พี่เจียม เตนล์ล่ะ”
“ป้าแอ๊ด”
เป็นอันเข้าใจในทันทีว่าไม่ได้กินร้านเดียวกัน ทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันไปต่อแถวร้านอาหารที่ตนเลือก ร้านพี่เจียมเป็นร้านข้าวราดแกงเจ้าที่ดลธรลงความเห็นกับตัวเองว่าอร่อยที่สุดในคณะ ส่วนร้านป้าแอ๊ดนั้นเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเพียงร้านเดียวที่มีอยู่ในโรงอาหารแห่งนี้
เจ้าของร่างผอมโปร่งยืนต่อคิวเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน จำนวนคนในแถวค่อย ๆ ลดลง จนจากที่เขายืนอยู่ท้ายแถวในตอนแรกก็ขยับมาอยู่ตรงหัวแถวในที่สุด
“ใส่จานหรือใส่ห่อ?”
“ใส่จานครับ” ดลธรเอ่ยตอบแม่ค้าพลางใช้สายตาสอดส่องกับข้าวในตู้ไปด้วย และเมื่อเห็นว่าแม่ค้าตักข้าวใส่จานเสร็จแล้ว เขาจึงเลือกจิ้มกับข้าวในตู้นั้นไปสองอย่าง “เอาไข่พะโล้กับหมูทอดครับ”
แม่ค้าตักอาหารอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นจานข้าวมาให้เขาตรงจุดสำหรับคิดเงิน
“สามสิบ”
ทันทีที่ได้ยินราคา เขาก็รีบล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่าย ซึ่งอันที่จริงมันก็คือสถานการณ์ปกติตามที่ควรจะเป็น ทว่าในครั้งนี้มันกลับไม่ใช่ ดลธรพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีกระเป๋าสตางค์ของเขาอยู่ตรงที่ที่มันควรจะอยู่
“เอ่อ…แป๊ปนึงนะครับ”
เขารีบเปลี่ยนจากกระเป๋าขวาไปล้วงหาในกระเป๋าซ้าย กระทั่งเปิดหาในกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วแต่ก็ยังหาไม่พบ
ดลธรเหงื่อตก
ซวยล่ะ กระเป๋าตังเขาหายไปไหนล่ะเนี่ย!“เร็ว ๆ หน่อยสิพ่อหนุ่ม คนอื่นเขารอจ่ายเงินอยู่”
แม่ค้าเอ่ยเร่งเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่ยืนยึกยักอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมจ่ายเงินไม่พอ ยังจะไม่ยอมขยับให้คนด้านหลังเลื่อนขึ้นมาจ่ายก่อนอีก
ดลธรหันไปมองหาเพื่อนของตัวเองที่กำลังต่อแถวร้านป้าแอ๊ดเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่อนิจจา เพื่อนของเขาซื้อก๋วยเตี๋ยวเสร็จไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของชิตพลที่แถวหน้าร้านป้าแอ๊ดเลย
แปะ!และขณะที่ดลธรกำลังตกอยู่ในสภาวะหน้าซีดเหงื่อตก กระวนกระวายทำอะไรไม่ถูกเพราะกระเป๋าสตางค์ดันมาหายเอาในสถานการณ์ที่คับขันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีมือมือหนึ่งเอื้อมผ่านตัวของเขาไป ก่อนที่แบงค์ร้อยจากมือนั้นจะถูกวางลงบนเคาน์เตอร์จ่ายเงิน กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อน ๆ ลอยมาแตะจมูกของเขา และเมื่อเขาหันหลังกลับไปมองผู้ที่เป็นเจ้าของมือดังกล่าว เขาก็พบกับผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเรียบร้อยแบบเดียวกันกับตัวเอง
“คิดของผมรวมกับของเขาเลยครับ”
น้ำเสียงทุ้มละมุนนั้นเอ่ยขึ้น ก่อนที่แม่ค้าร้านข้าวจะรับแบงค์ร้อยใบนั้นไปแล้วหยิบเงินทอนส่งมาให้ดลธรที่ยังคงยืนมึนงงอยู่
ชายคนนั้นคว้าจานข้าวทั้งสองจานที่ทำการจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วไปถือ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาพยักหน้าหนึ่งทีเป็นทำนองให้ดลธรเดินตามมา ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็เดินตามอีกฝ่ายไปอย่างว่าง่าย
“อ่ะ นี่ข้าวนาย”
ทางนั้นเอ่ยก่อนจะส่งจานข้าวที่มีไข่พะโล้และหมูทอดมาให้ เขาที่ยังประมวลผลเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เสร็จดีจึงรีบยื่นเงินทอนที่ได้รับมาจากแม่ค้าร้านข้าวคืนให้กับอีกฝ่าย
“ไม่มีมือ นายเอาข้าวของนายไปก่อนสิ”
“อ…อ้อ” ดลธรครางรับเสียงเบา ก่อนจะใช้มือที่ว่างรับจานข้าวของตัวเองมาถือ “ขอบคุณมากนะ เดี๋ยวเราจะรีบเอาเงินมาคืนให้”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เรื่องเล็กน้อย”
ชายคนนั้นเอ่ยตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มดูเป็นมิตร จนทำให้เห็นลักยิ้มทั้งสองข้างที่บุ๋มลงเล็กน้อย วินาทีนั้น ดลธรรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้หยุดหมุนไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและสว่างไสวนั้นผลักเขาให้ตกอยู่ในภวังค์ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีชายคนนั้นก็เดินหายลับไปท่ามกลางฝูงคนในโรงอาหารคณะเสียแล้ว
ในอกของดลธรเกิดความรู้สึกวูบโหวงขึ้นทันใด
เขายังไม่ทันได้เอ่ยถามชื่อของอีกฝ่ายเลย
“มองอะไรเนี่ยดล”
ชิตพลที่เห็นเพื่อนสนิทเอาแต่ชะเง้อชะแง้มองไปรอบ ๆ โรงอาหารจนไม่เป็นอันกินข้าวเอ่ยทักขึ้น ก่อนจะใช้ช้อนเคาะลงที่จานอาหารของอีกฝ่ายจนมันส่งเสียงดังเคร๊ง! ดลธรสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนจะหันมาถามเพื่อนของตัวเองด้วยความงุนงง ท่าทีของเขานั้นไม่ต่างจากคนที่เพิ่งได้สติ
“มีอะไรเหรอเตนล์?”
“เราถามว่าดลมองอะไรอยู่ รีบกินข้าวเร็ว จะบ่ายโมงแล้วเนี่ย”
เมื่อโดนถามอย่างนั้น ดลธรจึงตัดสินใจเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้เพื่อนสนิทฟังว่าเขาเผลอทำกระเป๋าสตางค์หาย โชคดีที่มีคนจ่ายค่าข้าวให้ แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร
ชิตพลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อฟังเรื่องราวจนจบ ดลธรเป็นคนที่มักจะทำอะไรชักช้าอยู่เสมอ เรียกได้ว่าอีกเพียงแค่นิดเดียวก็เข้าขั้นสล็อต เขาจึงพอจะเดาได้ว่าเพื่อนของเขาคงไปยืนเอ๋อใส่คนใจดีคนนั้นจนลืมถามชื่อแซ่เอาไว้อย่างแน่นอน
“แล้วดลจำหน้าเขาได้หรือเปล่า?”
“จำได้สิ” ดลธรตอบเสียงเบาพลางใช้ช้อนในมือเขี่ยข้าวที่เหลืออยู่ในจานไปมา “เขาสูงพอ ๆ กับเรา มีลักยิ้มที่แก้มด้วย แล้วก็รอยยิ้มของเขาน่ะ…สว่างเหมือนดวงอาทิตย์เลยเตนล์”
ดลธรไม่ได้เล่าความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองยามที่ได้เห็นรอยยิ้มของชายแปลกหน้าคนนั้นให้ชิตพลฟัง เพราะคิดว่านั่นคงเป็นเพียงแค่ความรู้สึกปลาบปลื้มใจเวลาที่มีคนมาช่วยเหลือในเวลาที่คับขันเพียงแค่นั้น
เขาไม่อยากที่จะยอมรับ ว่าเขาได้ถูกอีกฝ่ายช่วงชิงหัวใจไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่คราแรกที่ได้เจอ
และก็ไม่อยากที่จะยอมรับอีกเช่นกัน ว่าเขาแอบรู้สึกผิดหวังลึก ๆ ที่ไม่ได้เจอกับชายคนนั้นอีกเลยนับตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายยิ้มให้เขาในครั้งนั้น
- 2 -
เพราะดลธรไม่คิดว่าตัวเองจะตกหลุมรักใครสักคนได้อย่างง่ายดาย เขาจึงให้เหตุผลต่อการชะเง้อมองหาใครสักคนที่โรงอาหารคณะในทุกมื้อกลางวันว่าเป็นเพียงเพราะเขาต้องการจะคืนเงินค่าอาหาร และเลี้ยงอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนความใจดีของอีกฝ่าย
ทว่าลึก ๆ แล้วในใจเขารู้ดี...ว่าเขากำลังสนใจผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่อยู่ในชุดนักศึกษาสุภาพเรียบร้อย สูงพอกันกับเขา และเป็นเจ้าของกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่เขารู้สึกว่ามันก็หอมอยู่ไม่น้อยนั่น
ดลธรไม่ใช่กูรูด้านน้ำหอม เขาไม่รู้หรอกว่ากลิ่นที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำของตนคือกลิ่นของน้ำหอมยี่ห้ออะไร เขารู้เพียงแค่มันเป็นกลิ่นน้ำหอมที่หอมสะอาด และไม่ฉุนจนทำให้เขารู้สึกเวียนหัว ทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่ใคร่จะถูกโฉลกกับพวกสารแต่งกลิ่นหอมสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นก้อนดับกลิ่นในห้องน้ำ สเปรย์ปรับอากาศ หรือแม้กระทั่งน้ำหอมราคาแพงระยับ ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้เขารู้สึกตาลายทุกครั้งที่ได้กลิ่น
ทว่ากลิ่นน้ำหอมของคนคนนั้นน่ะต่างออกไป
เขายังคงมองหาอีกฝ่ายทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งตามโรงอาหารของคณะ โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย ไปจนถึงอาคารเรียนรวมต่าง ๆ ที่เขามีเรียน แต่เขาก็ไม่เคยพบกับคนคนนัั้นเลย จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์
สิบนาทีสุดท้ายก่อนที่เสียงกริ่งหมดคาบเรียนจะดังขึ้นนั้นทำให้ดลธรซึ่งเก็บของเสร็จเป็นที่เรียบร้อยรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เจ้าตัวมองนาฬิกาบนฝาผนังสลับกับแผ่นหลังของอาจารย์ที่ยังคงยืนเขียนอะไรบางอย่างบนกระดานไปพร้อมกับบรรยายอยู่ที่หน้าห้องเรียนไปมาด้วยสีหน้าที่เครียดเคร่ง ท่ามกลางความรู้สึกงุนงงของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ชิตพลไม่รู้ว่าวันนี้เพื่อนของตนเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา ถึงได้เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเสร็จตั้งแต่กริ่งยังไม่ดัง ทั้งที่ปกติแล้วอีกฝ่ายมักจะชักช้าอืดอาดจนทำให้พวกเขาทั้งคู่ต้องออกจากห้องเรียนเป็นคนสุดท้ายตลอด
แต่ก็ดีเหมือนกัน วันนี้เขาจะได้กินข้าวเที่ยงไวขึ้น
แม้จะแปลกใจกับความกระตือรือร้นที่เปลี่ยนไปของเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกมา ด้วยกลัวว่าถ้าพูดไปแล้วเกิดเพื่อนของเขากลับมาทำตัวเชื่องช้าเหมือนเดิม คนที่ซวยก็คงไม่พ้นตัวเขาอีกอยู่ดีที่ต้องคอยกระตุ้นให้อีกฝ่ายทำอะไรต่อมิอะไรเร็วขึ้น
ทันทีที่กริ่งดังขึ้นและอาจารย์เอ่ยประกาศเลิกคลาสจบ ดลธรก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที ราวกับว่าเจ้าตัวรอคอยเวลานี้อยู่นานแล้ว ชิตพลลอบขำให้กับใบหน้าคร่ำเคร่งของเพื่อน ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเครียดแต่ใบหน้าของเพื่อนเขาในยามนี้มันก็ดูตลกจริง ๆ
“เป็นอะไรเนี่ยดล”
ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องพลั้งปากถามออกไปจนได้ เมื่อเพื่อนของเขาเอาแต่ก้าวเท้าฉับ ๆ ตรงไปยังโรงอาหารคณะ ทั้งที่ปกติกว่าจะได้เยื้องยุรยาตรแต่ละก้าวนั้นเขาต้องยืนลุ้นจนเยี่ยวแทบเหนียว
“เป็นอะไร?”
ดังที่คาดไว้ไม่ผิดว่าเพื่อนของเขาต้องหันมาถามกลับด้วยท่าทีมึนงง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองน่ะเปลี่ยนไป
“ก็เนี่ย” ชิตพลพยักพเยิด “ดลดูรีบ ๆ อะ หิวเหรอ ไม่ได้กินข้าวเช้ามาหรือไง?”
“เปล่านะ เราก็กินมาปกติ” ดลธรมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อถูกเอ่ยทัก ร่างผอมโปร่งก้มมองขาทั้งสองข้างของตัวเองที่กำลังก้าวสลับไปมาอย่างรวดเร็ว ก่อนชะลอให้ช้าลงและหยุดเดินในที่สุด ใบหน้าเรียวฉายแววฉงน “จริงด้วย ทำไมวันนี้เราดูรีบ ๆ อะ”
ผับผ่าสิ!ชิตพลแทบจะยกมือขึ้นตีหน้าผากตัวเอง กะแล้วเชียวว่าถ้าเอ่ยทักไปเพื่อนของเขาจะต้องกลับมาทำตัวเป็นสล็อตเหมือนเดิม
“เราก็แค่ถามเฉย ๆ น่า ดลรีบแบบนี้แหละดีแล้ว ปะ...ไปกินข้าวกัน”
ว่าแล้วก็รีบเอื้อมมือไปคว้าคอเพื่อนของตนที่กำลังยืนเอ๋ออยู่กลางทางเดินและออกแรงดึงให้อีกฝ่ายจำต้องก้าวเดินตาม
“เตนล์ ช้าหน่อย เดินเร็วไปแล้วมันเหนื่อย”
ดลธรเอ่ยปรามพลางรีบสับขาของตนให้ไวตามเพื่อน ภาพของคนตัวสูงที่ถูกคนสูงน้อยกว่าล็อกคอแล้วลากให้เดินตามนั้นดูเป็นภาพที่ชวนขันไม่น้อย
“ดลจะกินอะไร?”
ชิตพลถามเมื่อพวกเขาทั้งคู่เดินมาจนเกือบจะถึงโรงอาหารคณะ ทว่าก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา
ดลธรใช้สายตาสอดส่องไปทั่ว กวาดมองตั้งแต่บรรดานักศึกษาที่กำลังต่อแถวซื้ออาหารในแต่ละร้าน ไล่ไปจนถึงบริเวณโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คน
ดวงตากลมคู่เจือแววผิดหวัง
ไม่เจอ…
คนคนนั้นไม่มา…
“ดล ไม่กินเหรอ?” ชิตพลเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทของตัวเองเอาแต่นั่งใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามไปมาอย่างเลื่อนลอย และเมื่อเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งเหม่อนิ่ง เขาจึงใช้ส้อมในมือชี้ไปยังลูกชิ้นที่อยู่ในชาม “ถ้าไม่กินเราขอนะ”
แม้ดลธรจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ชิตพลก็ถือว่าอีกฝ่ายได้รับรู้และอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการถามซ้ำ เขาใช้ส้อมจิ้มลูกชิ้นของอีกฝ่ายใส่ปากก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ ขณะมองหน้าของเพื่อนสนิทอย่างพิจารณา
แปลก…ดลธรดูแปลกไปจริง ๆ
“อ้าว...เตนล์กินลูกชิ้นเราไปเหรอ?”
กว่าเจ้าของชามก๋วยเตี๋ยวจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปตอนที่เขากำลังจะจ้วงลูกชิ้นลูกสุดท้ายที่เหลืออยู่เข้าปากโน่นแหละ ชิตพลถอนหายใจเฮือกโตให้กับอาการเหม่อลอยของเพื่อน ถ้าไม่ติดว่าส้อมในมือของเขามีคราบแกงเลอะอยู่เขาก็คงจะยกมันขึ้นเคาะศีรษะเพื่อเรียกสติให้แล้ว
“ก็เราถามแล้วว่าดลไม่กินเหรอ”
เขาเอ่ยก่อนจะปล่อยลูกชิ้นลูกสุดท้ายที่อยู่บนปลายส้อมคืนสู่ชามก๋วยเตี๋ยวของดลธรอย่างรู้สึกเสียดาย
แหม่...เกือบจะได้กินอยู่แล้วเชียว
“ถาม? ตอนไหน?”
ดลธรเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะตั้งแต่ที่เริ่มนั่งทานอาหารมาเขาไม่ยักจะได้ยินเสียงของชิตพลเลยสักแอะ ทั้งที่ก็นั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้ มันเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ ที่เขาจะไม่ได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ในเมื่อเขาไม่ได้หูหนวกเสียหน่อย
“ตะกี้เลย ก่อนที่เราจะจิ้มลูกแรกเลย” ชิตพลถอนใจกับท่าทีมึนงงของเพื่อนอีกครั้ง ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยจริง ๆ ว่าเมื่อครู่นั้นตัวเองนั่งเหม่อไปถึงไหนต่อไหน “ก็ดลเอาแต่เหม่ออะ คงจะได้ยินเราอยู่หรอก”
“เรา…”
ดลธรนิ่งไป อันที่จริงเขาเพียงแค่รู้สึกงงเล็กน้อยที่ถูกเพื่อนแย่งกินลูกชิ้นไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือโมโหอะไร ด้วยเพราะปกติทั้งเขาและชิตพลนั้นก็มักจะยื่นส้อมมาจิ้มอาหารในจานของกันและกันอยู่แล้ว
แต่กรณีของวันนี้มันต่างออกไปนิดหน่อยตรงที่เขายังไม่ทันได้เริ่มกินเลย แต่เพื่อนตัวดีของเขากลับตัดหน้าชิงลูกชิ้นไปเสียเกือบเกลี้ยง
เส้นก๋วยเตี๋ยวในชามขึ้นอืดไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ดลธรทำการคีบพวกมันเข้าปากช้า ๆ เขาแทบไม่ต้องเคี้ยวอะไรมากนักเพราะพวกมันดูดซับน้ำซุปในชามเข้าไปจนเปื่อยยุ่ย
ชิตพลปล่อยให้เขานั่งกินจนเสร็จโดยไม่ได้มีท่าทีรำคาญใจใด ๆ เขาคีบลูกชิ้นที่เหลืออยู่เพียงลูกเดียวเข้าปากก่อนจะรวบช้อนกลางและตะเกียบเข้าด้วยกัน มือเรียวเอื้อมไปคว้าจานข้าวที่ว่างเปล่าของเพื่อนมาซ้อนแล้วเอ่ยบอก
“เดี๋ยวเราเอาจานไปเก็บให้เอง แต่ฝากซื้อน้ำด้วย เอาน้ำเปล่านะ”
“ได้ ๆ งั้นเรารออยู่หน้าร้านน้ำนะ โอเค๊?”
เขาพยักหน้ารับรู้แล้วคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย ลุกจากโต๊ะ ก่อนจะก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบตรงไปยังชั้นวางจานของโรงอาหารคณะที่อยู่ด้านหลังร้านขายอาหาร
ร่างผอมโปร่งถอนหายใจเบา ๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง
คงไม่ได้เจอแล้วแหละมั้ง…
ความหวังที่จะได้เจอกับคนคนนั้นอีกสักครั้งเลือนหายไปจนหมดสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาพยายามมองหาอีกฝ่ายทุกที่ที่เขามีโอกาสไปในมหาวิทยาลัย แรกสุดเขาคิดว่าชายคนนั้นอาจเรียนอยู่คณะเดียวกับเขา แต่พอนานวันเข้าก็นึกขึ้นได้ว่าโรงอาหารคณะของเขานั้นไม่ได้มีแค่เด็กคณะเขาเพียงคณะเดียวเสียหน่อย โอกาสที่อีกฝ่ายจะเป็นเด็กต่างคณะและมีเรียนที่คณะเขาเพียงสัปดาห์ละครั้งนั้นก็มีมากอยู่ เขาจึงเฝ้ารอวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ โดยหวังไว้อย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้เจอกับชายคนนั้นอีกสักครั้งเพื่อคืนเงิน เอ่ยขอบคุณและตอบแทนด้วยน้ำหรือขนมนิด ๆ หน่อย ๆ
แต่ดูท่าว่าโอกาสนั้นคงจะไม่มาถึง
ร่างผอมโปร่งวางจานลงบนชั้น ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนสนิทของตนที่ยืนรออยู่หน้าร้านขายน้ำตามที่นัดแนะกันเอาไว้
เขาเห็นชิตพลกำลังยืนถือของกินพะรุงพะรังเต็มสองมือ ทั้งถุงใส่ขวดน้ำเปล่าที่เขาฝากซื้อ ไหนจะถุงลูกอมและขนมขบเคี้ยวที่เจ้าตัวมักจะชอบซื้อไปนั่งกินตอนเรียนนั่นอีก
แม้ว่าหน้าห้องเรียนจะมีติดประกาศห้ามเอาอาหารและเครื่องดื่มเข้าไป แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจอะไรกับมันมากนัก
‘ถ้าเราไม่กินเราก็หลับอะดิ’นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องยอมจำนน หลังจากที่เจ้าตัวกระซิบตอบกลับมาตอนเขาเอ่ยปรามเรื่องห้ามกินอาหารในห้อง ดลธรที่คิดว่าการปล่อยให้เพื่อนของเขานั่งกินขนมนั้นน่าจะดีกว่าการที่อีกฝ่ายหลับตอนเรียน เขาจึงไม่ได้เอ่ยห้ามอะไรอีก โชคดีที่ชิตพลไม่ใช่คนกินเสียงดัง ทั้งขนมที่เลือกซื้อไปก็ไม่ใช่ขนมที่มีกลิ่นรุนแรงอะไร การกินอาหารระหว่างเรียนของเพื่อนเขานั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการรบกวนคนรอบข้างแต่อย่างใด
เขาเห็นเพื่อนของตนกำลังง่วนอยู่กับการแกะห่อไอศกรีมจนไม่ทันสังเกตเห็นเขาที่เดินเข้าไปใกล้จนจะประชิดตัวอยู่มะรอมมะร่อ
“โอ๊ย แกะยากแกะเย็นจังวะ”
พอได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบอิบออกมาอย่างนั้นแล้วดลธรก็แอบยิ้มขำ ความเอาจริงเอาจังในด้านการกินของชิตพลเพื่อนของเขานั้นสูงจนไม่เป็นสองรองใคร ในที่สุดซองไอศกรีมก็ส่งเสียงดังแคว่ก! ดวงตากลมของคนที่แกะห่อของกินในมือสำเร็จฉายแววดีใจ
และในที่สุดอีกฝ่ายก็หันมาเห็นเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“อ่ะ”
เจ้าตัวหักแบ่งแท่งไอศกรีมยักษ์คู่รสโคล่าแล้วส่งมาให้เขา
“อะไร”
เขามองหน้าอีกฝ่ายงง ๆ จริงอยู่ที่ชิตพลไม่ใช่คนขี้หวงของกินกับเพื่อนฝูง แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้การหักแบ่งไอศกรีมจากห่อเดียวกันมาให้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก
“ก็แลกกับลูกชิ้นเมื่อกี้”
“อ้อ”
เขาส่งเสียงตอบในลำคอเล็กน้อยก่อนเอื้อมมือไปรับแท่งไอศกรีมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำมาจากอีกฝ่าย ส่งมันเข้าปากและงับเบา ๆ
ดูเหมือนความหวานและความเย็นจากไอศกรีมฟรีที่ได้มาจากเพื่อนนั้นจะทำให้ความรู้สึกผิดหวังในใจของเขาเบาบางลงไปได้นิดหน่อย
- 3 -
แสงแดดยามเที่ยงอันร้อนระอุของวันกำลังแผดเผาผิวกายที่โผล่พ้นมาจากร่มผ้าของดลธรจนทำให้เขารู้สึกปวดแสบไปหมด เม็ดเหงื่อจำนวนไม่น้อยผุดพรายขึ้นตามขมับและแผ่นหลังจนชื้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามบังคับร่างอันแห้งเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงของตนให้ก้าวเดินต่อไป
เขากำลังจะสาย
นึกได้ดังนั้นก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม วันนี้เป็นวันเสาร์ แน่นอนว่าเขาไม่มีเรียน แต่สาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาเดินท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงยามเที่ยงวันแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าเขามีนัดทำงานกลุ่มกับเพื่อนและรุ่นน้องที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
พวกเขานัดทำงานกันตอนบ่ายโมง และตอนนี้ก็ปาเข้าไปเที่ยงกับอีกห้าสิบห้านาทีแล้ว และที่สำคัญ ระยะทางจากหน้ามหาวิทยาลัยไปยังห้องสมุดนั้นก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ ด้วย
ดลธรแอบรู้สึกหงุดหงิดตัวเองนิดหน่อย
เป็นเพราะเมื่อคืนเขานั่งแปลเปเปอร์และหาข้อมูลอ้างอิงของวิชาสัมมนาจนดึกดื่น วันนี้เขาเลยตื่นสาย
จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะตื่นมาตอนเก้าโมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว ทานอาหารให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัยตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง เผื่อเวลารถติดและเดินเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไม่ต้องรีบเร่งแล้วเขาคงถึงห้องสมุดก่อนเวลานัดสักสิบถึงสิบห้านาที แต่ดันกลายเป็นว่ากว่าเขาจะลืมตาตื่นขึ้นก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงครึ่งเสียแล้ว
ทันทีที่เห็นเวลา ดลธรก็รีบดีดตัวขึ้นจากเตียงราวกับติดสปริงไว้ที่หลัง คว้าผ้าเช็ดตัวและตรงเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วที่เขาคิดว่าเร็วสุดในชีวิต ก่อนจะรีบออกจากบ้านของตัวเองทีโดยที่ยังไม่ทันได้ทานอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ท้องถนนในช่วงเที่ยงของวันเสาร์นั้นเต็มไปด้วยรถราดังที่เขาคาดเอาไว้ กว่ารถโดยสารประจำทางจะฝ่าดงรถติดมาถึงมหาวิทยาลัยของเขาได้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง
ถ้ารู้อย่างนี้เมื่อคืนเขาน่าจะนอนที่หอพัก ไม่น่ากลับไปนอนที่บ้านเลย
ดลธรพาร่างของตัวเองมาจนถึงห้องสมุดได้สำเร็จในที่สุด ทันทีที่ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดออก ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศด้านในอาคารก็ปะทะเข้ากับร่างชื้นเหงื่อของเขาในทันที เขาหนาวสะท้านแต่ก็คิดว่ายังดีกว่าอากาศร้อนนรกด้านนอกเมื่อครู่เป็นไหน ๆ มือเรียวหยิบบัตรนักศึกษาขึ้นมาสแกนบาร์โค้ดเพื่อเข้าไปด้านใน
บนชั้นหกของห้องสมุดมหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ของห้องอ่านหนังสือแบบกลุ่ม ซึ่งมีห้องหลายขนาดให้เลือกสรร ตั้งแต่ห้องขนาดใหญ่พร้อมกระดานไวท์บอร์ดที่สามารถจุคนได้ถึงสิบห้าคน ไปจนถึงห้องขนาดเล็กสำหรับสองคน ซึ่งดลธรและเพื่อน ๆ นั้นมักจะมาใช้บริการที่นี่อยู่บ่อยครั้ง
ร่างผอมโปร่งหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาปลดล็อค ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะเข้าไปที่แอปพลิเคชันแชทสีเขียวอันแสนคุ้นตา ไล่สายตาหาหมายเลขห้องที่คนในกลุ่มได้ทำการจองเอาไว้ขณะรอขึ้นลิฟต์
B14เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงสอบ ชั้นหกของห้องสมุดจึงค่อนข้างร้างผู้คน ดลธรเดินไปตามทาง ผ่านโซนซีที่เป็นห้องอ่านหนังสือขนาดเล็กสำหรับสองคนเข้าไปยังโซนบีที่เป็นห้องสำหรับหกคน
เพราะผนังฝั่งทางเดินของห้องอ่านหนังสือเป็นกระจกใส จึงทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาสามารถมองเข้าไปในห้องได้อย่างง่ายดาย เขาสังเกตเห็นว่ามีคนในกลุ่มมาถึงและนั่งรออยู่ด้านในแล้วหนึ่งคน ดลธรค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปก่อนจะเอ่ยทักทาย
“สวัสดี พี่ขอโทษนะที่มาช้า”
เขาเดินไปอีกฝั่งของโต๊ะที่ว่างอยู่ วางกระเป๋าลงและล้มตัวนั่ง
“ไม่เป็นไรครับพี่ คนอื่นยังไม่มาเลย”
เมธา รุ่นน้องต่างคณะที่จับพลัดจับผลูมาทำงานกลุ่มเดียวกันกับเขาเงยหน้าขึ้นจากจอแลปท็อปของเจ้าตัวก่อนจะเอ่ยตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ
เขามาสายไปห้านาที แต่ดูท่าจะมีคนสายกว่า ดลธรหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาโทรหาชิตพลที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
ทันทีที่ปลายสายกดรับ เขาก็ได้ยินเสียงลมดังแทรกเข้ามาจนแทบจะกลบเสียงพูดของอีกฝ่ายไปเสียมิด
[เรากำลังไป อีกห้านาที]
เขาจับความได้เพียงแค่นั้นอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้งไป โดยที่เขาไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ
ภายในห้องอ่านหนังสือแห่งนี้เกือบจะเงียบสงัด มีเพียงเสียงเคาะแป้นพิมพ์เบา ๆ จากเมธาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ามีคนอยู่ ดลธรมองไปยังห้องว่างที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็เหมือนกับห้องอื่น ๆ ที่ปิดไฟมืดและไม่มีคน
“พี่เราว่ามาแบ่งงานกันก่อนดีไหมอะน้องมาร์ค เดี๋ยวเตนล์กับคนอื่นมาถึงจะได้เริ่มทำกันเลย”
ดลธรเอ่ยเมื่อเห็นว่าหากนั่งรอให้คนมาจนครบอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ กว่าจะได้ฤกษ์ทำงานจริง ๆ ก็คงค่ำมืดกันพอดี เด็กหนุ่มผู้เป็นรุ่นน้องหยุดมือที่กำลังพิมพ์งานอยู่ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ เพราะกว่าเพื่อนผมจะมาถึงคงอีกสักพักอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงหยิบแล็ปท็อปของตัวเองออกมาวางก่อนจะกางออก และเพราะว่าตอนที่เขาเก็บของใส่กระเป๋านั้นเขายังไม่ได้ปิดเครื่อง เพียงแค่เขาใช้นิ้วแตะเข้าที่ทัชแพด หน้าจอของแล็ปท็อปก็สว่างขึ้นในทันที ดลธรใส่รหัสเข้าเครื่องของตนก่อนจะเปิดไฟล์รายละเอียดของงานขึ้นมาดู
งานกลุ่มสำหรับห้าคนในครั้งนี้เป็นงานหลักของวิชาเสรีวิชาหนึ่ง ซึ่งดลธรเลือกลงเรียนด้วยกันกับชิตพล ส่วนเมธาและคนอื่น ๆ ในกลุ่มนั้นเป็นนักศึกษารุ่นน้องที่มาจากคณะอื่น เขาและอีกฝ่ายไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ท่าทีระหว่างทั้งคู่จึงดูค่อนข้างน่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย
ดลธรรับมือกับเรื่องแบบนี้ได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เขาไม่ใช่คนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศอะไรขนาดนั้น ชิตพลเพื่อนของเขาต่างหากที่ทั้งอัธยาศัยดีและเข้าหาคนเก่ง อันที่จริงที่พวกเขาหาคนในกลุ่มได้ครบห้าคนก็เป็นเพราะชิตพลเดินเข้าไปขอรวมกลุ่มกับเมธาตอนท้ายคลาสเรียน ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงต้องทำงานนี้กันอยู่แค่สองคน
“พี่ว่าเราแบ่งหัวข้อกันหาข้อมูลกันก่อน แล้วก็ค่อยเอามาสรุปรวมกันตอนทำสไลด์ แบบนี้น้องมาร์คว่าไงบ้าง”
เขาพูดไปด้วยนั่งแบ่งหัวข้อออกเป็นห้าส่วนไปด้วย
“แล้วตอนพรีเซ้นต์ก็รับผิดชอบของใครของมันไปเลยใช่ไหมครับ”
เมธาเอ่ยถาม เพราะส่วนที่สำคัญไม่แพ้กับการหาข้อมูลเลยก็คือการนำเสนอ
ดลธรชะงักไปครู่หนึ่ง ด้วยตัดสินใจไม่ได้ว่าระหว่างให้ต่างคนต่างออกไปพูดในส่วนของตัวเอง กับนำข้อมูลมาสรุปรวมแล้วให้แค่สองคนออกไปเสนอหน้าชั้น แบบไหนจะดีกว่ากัน
“อ่า…” เขาตอบไม่ถูก “ไม่รู้สิ งั้นรอถามคนอื่นแล้วกันเนอะ”
การให้ทุกคนออกไปนำเสนอหน้าชั้นในคราวเดียวนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือภาระจะไม่ไปตกอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่งหรือสองคนที่ต้องออกไปนำเสนอเต็ม ๆ เพราะทุกคนในกลุ่มช่วยแบ่งส่วนที่ต้องรับผิดชอบของตัวเองไปแล้ว และทุกคนต่างก็มีความเข้าใจในส่วนที่ตัวเองหาข้อมูลมา ทำให้เมื่อถึงเวลาที่ต้องตอบคำถาม โอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดก็ลดน้อยลงด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อเสียอยู่เช่นกัน การออกไปยืนออกันอยู่หน้าห้องทั้งห้าคนในคราวเดียวนั้นก็อาจจะดูแน่นขนัดเกินไปจนน่าอึดอัด ที่สำคัญ หากวันนำเสนอเกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้อยู่ในแผนอย่างเช่นมีคนในกลุ่มมาสายหรือขาดเรียนแล้วล่ะก็ ส่วนของคนคนนั้นอาจถูกนำเสนอได้ไม่ครบถ้วน หรือบางทีก็อาจถูกข้ามผ่านไปเลย
“ถ้าอย่างนั้นเอาแค่หาข้อมูลก่อนก็ได้ครับ พี่แบ่งหัวข้อแล้วเหรอ?”
“อื้อ ประมาณนี้โอเคหรือเปล่า?”
เขาหมุนแล็ปท็อปของตนไปให้อีกฝ่ายดู เมธากวาดสายตามองอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
“เอาแบบนี้ก็ได้ พี่ดลกับพี่เตนล์เลือกไปก่อนเลย แล้วเดี๋ยวที่เหลือผมกับเพื่อนค่อยเอาไปเลือกกันเอง”
“อ่า…โอเค”
ดลธรตอบรับเสียงเบา ในใจภาวนาให้ชิตพลรีบมาเสียที
เขาหันแลปท็อปกลับมาก่อนจะเริ่มค้นหาหาข้อมูลในส่วนของตัวเอง ทันใดนั้น ไฟในห้องฝั่งตรงข้ามก็สว่างขึ้น ดลธรละสายตาจากแล็ปท็อปของตัวเองขึ้นไปมองแวบหนึ่ง
คนคนนั้น…คนที่เป็นเจ้าของรอยยิ้มสว่างไสวและกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เขาเห็นชายคนนั้นเดินไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ฝั่งที่หันมายังทางเดินและห้องของเขาอย่างพอดิบพอดี
ดลธรไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาเอาแต่นั่งจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปไหน และราวกับอีกฝ่ายเองนั้นก็รู้สึกตัวว่ากำลังถูกมองอยู่ เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นจากการค้นกระเป๋าเป้ และสบสายตาเข้ากับเขาอย่างบังเอิญในที่สุด ก่อนที่รอยยิ้มน้อย ๆ จนเห็นลักยิ้มที่สองข้างแก้มบุ๋มลงนั้นจะถูกส่งมาให้เขาอีกครั้ง
ดลธรนั่งนิ่งไม่ไหวติง เขารู้สึกมือเท้าแข็งไปหมดจนไม่สามารถขยับตัวได้ ขนาดจะเบือนหน้าหลบสายตาหนีอีกฝ่ายเขายังทำไม่ได้เลย หัวใจของเขาสั่นระรัวจนเขารู้สึกกลัวว่ามันจะหลุดกระดอนเด้งออกมาจากอก เกิดเสียง
ตึกตักดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้าง
ใบหน้าของเขาร้อนฉ่า
ไม่น่าเชื่อว่าแค่สบตากับอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาทีจะทำให้เขารู้สึกราวกับถูกยาพิษขนานแรงเล่นงานได้ขนาดนี้
“พี่ดลไม่สบายเหรอครับ หน้าพี่แดงมากเลยอะ“
กระทั่งเมธาเอ่ยทักขึ้นนั่นแหละเขาถึงสามารถกลับมาขยับตัวได้อีกครั้งและหลบสายตาจากอีกฝ่ายมาได้ในที่สุด
“ป…เปล่า พี่ไม่ได้เป็นอะไร”
เขาเอ่ยปฏิเสธไปทั้งที่หลักฐานยังคาอยู่บนใบหน้า เมธาถามซ้ำจนเขาต้องย้ำว่าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ นั่นแหละ อีกฝ่ายจึงจะเลิกสนใจและหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
ดลธรจมอยู่กับตัวเองอีกครั้ง พลางนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
รอยยิ้มนั้น…ใบหน้าของเขาเผลอเห่อร้อนขึ้นมาทันที และเสียงตึกตักในหูอันน่ารำคาญที่เพิ่งเงียบหายไปก็หวนกลับมาเล่นงานอีกครั้ง
ราวกับว่าพิษร้ายนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขา เพียงแค่นึกถึงสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นมันก็พร้อมที่จะออกฤทธิ์ในทันที
ที่ยิ้มให้เขาเมื่อกี้นี้คืออีกฝ่ายจำเขาได้งั้นเหรอ?
หรือว่าจำไม่ได้แต่ยิ้มให้เป็นมารยาทกันแน่นะ…
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อย ๆ ด้วยความสับสน
เขาเงยหน้าขึ้นมองห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง อีกฝ่ายยังคงอยู่ในห้องนั้น นั่งอยู่ฝั่งที่หันหน้ามาทางห้องของเขา และกำลังใช้ปากกามาร์กเกอร์ที่อยู่ในมือเขียนอะไรบางอย่างยุกยิกลงในสมุด ดลธรลอบมองการกระทำนั้นด้วยนึกสนใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายปิดฝาปากกาและชูสมุดหน้านั้นขึ้นหันมาให้เขา
‘มีธุระอะไรหรือเปล่า?’ อีกฝ่ายรอให้เขาอ่านจนจบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพลิกหน้ากระดาษ
‘เห็นคุณมองผมอยู่นานแล้ว’ดลธรนั่งตัวแข็งทื่อไปเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดที่อยู่ในนั้นจบ พลางนึกก่นด่าความเอ๋อของตัวเองอยู่ในใจ
เขานี่ช่างเป็นคนแอบมองที่ล้มเหลวในการแอบมองอย่าสิ้นเชิง ถูกอีกฝ่ายจับได้ไม่พอยังถูกถามกลับมาอีกว่ามีธุระอะไรไหม
แล้วจะให้เขาตอบกลับไปว่ายังไงกันเล่า!
อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ อย่างคนที่กำลังรอคอยคำตอบ จนคนที่ถูกจ้องกลับมาถึงกับทำตัวไม่ถูก ดลธรหันรีหันขวาง มองหาสมุดและปากกามาร์คเกอร์ของตัวเองเพื่อจะเขียนอะไรตอบกลับไป
ใช่...เขาต้องตอบอะไรกลับไปสักอย่าง ไม่งั้นจะเสียมารยาท
‘คุณเคยจ่ายค่าข้าวให้ผม จำได้ไหมครับ?’
‘คุณนั่นเอง’
‘ออกมาคุยกันไหม ผมจะได้คืนค่าข้าว’
‘ตอนนี้ไม่สะดวก’ อีกฝ่ายพยักพเยิดไปยังไอแพดที่วางตั้งอยู่ตรงหน้าของเจ้าตัวก่อนจะพลิกหน้ากระดาษในมือ
‘คุยงานกับเพื่อนอยู่น่ะ’แม้ดลธรรู้สึกเสียดายในความไม่ประจวบเหมาะนี้ แต่เขาก็ทำอะไม่ได้ และในขณะที่เขากำลังนั่งคิดว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดีอยู่นั้น อีกฝ่ายก็เขียนอะไรบางอย่างแล้วชูขึ้นมาอีกครั้ง
‘แอดไลน์ผมมา @_jay’ดลธรสาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับการเพิ่มเพื่อนลงในแอปพลิเคชันแชทอย่างนี้มาก่อนในชีวิต หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ยามที่เขาพิมพ์ไอดีที่อีกฝ่ายให้มาลงไปในช่องค้นหา ใช้ปลายนิ้วแตะไปที่ปุ่มเพิ่มเพื่อน ก่อนจะกดส่งสติ๊กเกอร์ไปให้อีกฝ่ายเป็นการทักทายเพื่อเปิดบทสนทนา
และในตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ซึ้ง ว่าการตกหลุมรักใครสักคนตั้งแต่แรกเจอมันเป็นอย่างไร
[end.]
____________________________________________________________________________________________________
TALK
รอบนี้มาเป็นฟิคน่ารัก ๆ บ้างค่ะ 555555555
ความจริงก่อนหน้านี้เรามีพล็อตอื่นที่เป็นพล็อตใหม่อยู่ แต่เราเขียนไม่ทันเลยต้องหยิบพล็อตเก่าที่เคยเขียนค้างไว้แต่ไม่จบมาทำให้จบแทน
ใหม่ส่วนนึงก็ถือว่าใหม่เนอะ แอบลักไก่แบบนี้ครั้งหน้าถ้าบนจะยังได้อยู่ไหมเนี่ย ฮือออ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดเห็นใจลูกช้างด้วยเพราะลูกช้างไม่ว่างเลยจริง ๆ ;w;)
ยังไงก็ตาม เราดีใจมากนะที่ทุกคนมารับฟรีเปเปอร์ฉบับนี้ไป
หวังว่าทุกคนจะชอบฟิคน้าาา
#allislovefic
note : เป็นฟิคเรื่องเดียวกันกับที่พิมพ์ในฟรีเปเปอร์แจกหน้าคอนวันเสาร์
note2 : รีบอ่านก่อนปิดฟิค
น่ารักมากเลยยย คุยกันไม่กี่คำ แต่ใจน้วยมากๆ ขอบคุณที่งานเขียนของคุณ brighten my day เหมือนกับที่เขียนว่ารอยยิ้มของเจย์สว่างสดใสเหมือนดวงอาทิตย์ ขอให้มีวันที่สดใสเหมือนกันนะคะ (หัวใจล้านดวง)
เราชอบการบรรยายของคุณนะคะ ประทับใจมากค่ะ ชอบที่กว่าเราจะหากันเจอนั้นยากลำบากมากเลยนะคะ ฮืออออ แล้วคุณเจย์ก็ดี๊ดี เค้าต้องเป็นคนอบอุ่นและสุภาพแน่ๆ เขินตามดลเลยทีเดียว คุณเค้าใจดีมาก และก็จะต้องใจดีกับดลมากแน่ๆ บุคลิกเค้าก็ดูเป็นผู้ใหญ่ด้วย ร้องไห้แล้ว ดีใจที่ในที่สุดดลก็เจอคุณคนใจดี แงงงงงงง
แล้วน้องดลน่ะนะ ทำไมน่าแกล้ง แต่ก็ยังดีที่มีคุณชิตพลคอยชักนำนะคะ คุณคนนี้ต้องแสบพอตัว เราสบายใจมากเลยถ้ามีคุณชิตพลคอยเตือนคอยดุดลธรให้มีสมาธิน่ะ โถ่ เอ็นดูความเพื่อนตัวเล็กกอดคอให้เดินด้วยกัน แงงงงงงงง
ขอบคุณมากนะคะ เราตามมาจากไลน์สแควร์แหละค่ะ คุณใจดีมากเลยค่ะ เราเสียดายมากเลยที่วันเสาร์ไม่มีโอกาสได้รับฟรีเปเปอร์ของคุณ แงงงงงงง