Title: น้าแดนครับ
AU : Thai
Pairing: JungJaehyun x KimDoyoung
Rating: R-18
Warning: Incest
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
Note2 : ฟิคเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ผิดศีลธรรม ผู้ที่อายุน้อยกว่าสิบแปดปีควรได้รับคำแนะนำ | โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
————————————————————————————————————————
“เจฟ ตื่นได้แล้ว”
ร่างผอมโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนและกางเกงสแล็คสุภาพค่อย ๆ ล้มตัวนั่งลงบนเตียงนุ่ม พลางเอื้อมมือเรียวของตนไปแตะท่อนแขนของอีกคนที่นอนซุกผ้านวมผืนหนาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ อยู่บนเตียงนั้น ก่อนจะออกแรงเขย่าเบา ๆ เพื่อปลุกให้คนที่กำลังหลับไหลตื่นขึ้น
ดวงตากลมเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องแล้วส่งเสียงถอนหายใจบางเบาออกมาเฮือกหนึ่ง มือเรียวออกแรงเขย่าท่อนแขนของคนที่กำลังนอนอยู่อีกครั้ง
“เจฟ จะสายแล้วนะ ตื่นเร็ว”
“อื้อออ ขออีกนิดไม่ได้เหรอ?”
เด็กหนุ่มในชุดนอนสีเข้มขยับตัวไปมาเล็กน้อย เจ้าตัวปรือตาขึ้นช้า ๆ อย่างง่วงงุนก่อนจะอ้าปากหาวหวอดกว้างโดยไม่ได้นึกสนเรื่องการสำรวมกริยา ผ้าห่มผืนหนายังคงคลุมอยู่บนแผ่นอกกว้าง และไม่มีทีท่าว่าเด็กหนุ่มจะยอมลุกขึ้นจากที่นอนของตนเลยแม้แต่น้อย
“จะเจ็ดโมงแล้วนะเจฟ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนไม่ทันหรอก”
คนอายุมากกว่าแสร้งเอ่ยเสียงขรึม ทว่าดวงตากลมที่จับจ้องไปยังคนอายุน้อยกว่าคู่นั้นยังคงฉายแววใจดีเช่นทุกครั้งไม่เปลี่ยน
ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนสำหรับแดนดนัยไม่เคยเลย
จิรภัทรลุกขึ้นนั่งในที่สุด ก่อนจะเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจเบาๆ ไปซ้ายทีขวาทีอย่างเกียจคร้าน และนั่นก็ทำให้แดนดนัยที่เห็นว่าเขาตื่นขึ้นเต็มตาลุกจากที่นอน ร่างผอมโปร่งเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“รีบอาบน้ำเข้าล่ะ เดี๋ยวน้าไปเตรียมมื้อเช้าให้ เราไม่ได้กินมื้อเช้าด้วยกันมานานแล้วนะ”
ชั่วขณะนั้นจิรภัทรนึกอยากจะเอื้อมมือของตัวเองไปคว้าร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ อยากจะยื้อให้อีกฝ่ายนั่งอยู่บนเตียงของเขาต่อนานกว่านี้อีกสักนิด ทว่าเขาสิ่งที่เขาทำได้จริง ๆ กลับมีเพียงแค่การปัดผ้าห่มผืนหนาที่คลุมอยู่ให้ออกจากตัว
“ครับ”
เขาตอบรับทว่าไม่ได้ขยับตัวไปไหน สายตาคมจับจ้องไปยังแผ่นหลังบางของคนอายุมากกว่าที่กำลังเดินออกจากห้องของเขาไปโดยไม่ละสายตา
จิรภัทรรู้ดีว่าความรู้สึกภายในใจของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนเดิมอีกไปแล้ว
มันค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้าและแนบเนียน
จนรู้ตัวอีกที ความรู้สึกของเขามันก็ชัดเจนเสียจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น พยายามไล่ความรู้สึกฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเองออกไปก่อนจะลงจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำและเตรียมตัวไปโรงเรียน
กระจกที่อยู่เบื้องหน้าของจิรภัทรสะท้อนเงาของเด็กหนุ่มร่างสูงสมส่วนที่อยู่ในชุดนักเรียนสุภาพเรียบร้อยของโรงเรียนเอกชนชายล้วนแห่งหนึ่ง เขายืนสบตากับเงาของตัวเองอยู่พักใหญ่และถอนหายใจออกมาเฮือกโต เจ้าตัวเดินไปคว้ากระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ขึ้นสะพายก่อนจะเดินลงไปยังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน
มื้อเช้าที่แดนดนัยเตรียมไว้นั้นเป็นอาหารแบบง่าย ๆ ด้วยช่วงเช้าแบบนี้เป็นช่วงที่ต้องเร่งรีบ ทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งพิถีพิถันกับการปรุงอาหารมากนัก หนึ่งในไม่กี่ทางเลือกที่มีจึงเป็นการอุ่นอาหารที่เหลืออยู่จากมื้อเย็นของเมื่อวาน
จิรภัทรนั่งเขี่ยผัดผักในจานของตนไปมา สายตาของเขาจ้องมองไปยังคนฝั่งตรงข้ามที่กำลังตักข้าวเข้าปากของตนแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ
“วันนี้รีบเหรอครับ?”
เขาเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่มองข้าวที่เหลืออยู่ในจานสลับกับนาฬิกาบนผนัง ดวงหน้าเรียวฉายแววกังวลในอะไรบางอย่างจนเขาจับสังเกตได้
“อื้ม พอดีมีประชุมตอนเก้าโมงน่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกกันล่ะ ผมจะได้รีบ”
“หูย ดูพูดเข้า อย่างเจฟเนี่ยนะจะรีบให้น้า ขนาดวันนี้แค่จะลุกจากเตียงยังปาไปตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง”
อีกฝ่ายเอ่ยแซวกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มขัน
และมันก็ทำให้จิรภัทรเกิดความรู้สึกหวิววูบภายในอก คล้ายกับว่าตนกำลังตกลงมาจากที่สูง
ซึ่งเขารู้ดีว่าสาเหตุของอาการบ้า ๆ ที่กำลังเกิดกับเขาอยู่นี้คืออะไร
“ผมรีบได้แล้วกันน่า” เขาเอ่ยตอบอีกฝ่ายก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยไม่สามารถอดทนมองรอยยิ้มนั้นต่อได้นานกว่านี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว “แล้วนี่กินเสร็จรึยังครับ เดี๋ยวก็ได้สายเอาจริง ๆ หรอก”
“แหม…ทีงี้ล่ะทำมาเร่งนะ” คนอายุมากกว่าพูดพลางรีบกวาดข้าวคำสุดท้ายในจานของตนเข้าปากจนแก้มกลม “อะ กระผมทานหมดแล้วครับคุณหลานที่เคารพ”
จิรภัทรแสร้งส่ายหัวไปมาเบา ๆ ทำทีเป็นระอาถ้อยคำเย้าแหย่จากอีกฝ่าย แม้ว่าความจริงแล้วในใจรู้สึกไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาจัดการรวบจานอาหารบนโต๊ะไปล้างที่อ่างล้างจาน มันเป็นข้อตกลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการอยู่ร่วมกันของทั้งคู่ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มขึ้นชั้นมัธยม หากคนใดคนหนึ่งเตรียมอาหารในมื้อนั้น อีกคนก็ต้องเป็นฝ่ายล้างจาน
แน่นอนว่าจิรภัทรไม่เคยเตรียมอาหารเอง ดังนั้นการล้างจานจึงกลายเป็นหน้าที่ของเขาไปโดยปริยาย
คนอายุมากกว่านั่งรอเขาทำงานบ้านที่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยนี่อยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี จิรภัทรเห็นแววกังวลที่ฉายชัดขึ้นทีละนิดบนใบหน้าเรียวนั้น เขาเหลือบสายตาขึ้นมองนาฬิกาบนผนัง และมันก็บอกกับเขาว่าเวลาในตอนนี้ใกล้จะแปดโมงเช้าเต็มทีแล้ว จึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะมีท่าทีกระวนกระวายแบบนี้
เด็กหนุ่มเร่งมือที่กำลังล้างจานอยู่ให้ไวขึ้น และคนอายุมากกว่านั้นก็รีบลุกพรวดขึ้นจากโซฟาในทันทีเมื่อว่าเห็นเขากำลังจะเดินออกมาจากครัว เจ้าตัวรีบสาวเท้าไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านอย่างรวดเร็วจนดูคล้ายกึ่งวิ่งกลาย ๆ จิรภัทรที่เห็นดังนั้นจึงรีบก้าวขายาว ๆ ของตนตรงไปหาจนเกือบจะตามทัน
แต่ก็แค่
เกือบร่างสูงชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดินขึ้นไปขนาบข้างน้าชายของตน หยุดยืนชั่วครู่หนึ่ง และปล่อยให้คนเป็นน้าเป็นฝ่ายเดินนำไปอีกหลายก้าว
สายตาของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนที่อยู่ด้านหน้า
แผ่นหลังที่เขาเฝ้ามองมาตลอดระยะเวลาหลายปีของแดนดนัยนั้นดูบอบบาง มันไม่ได้หนาหรือกว้างใหญ่อะไรมากนักตามประสาแผ่นหลังของผู้ชายตัวผอมสูง ทว่ามันกลับมั่นคง และสามารถแบกรับอะไรต่อมิอะไรไว้ได้มากมายเหลือเกิน
จิรภัทรจำวันที่เขาได้พบกับแดนดนัยครั้งแรกได้เป็นอย่างดี
มันเป็นเย็นวันหนึ่ง ในศาลาสวดพระอภิธรรมของวัดที่อยู่ในละแวกบ้านของญาติทางฝั่งพ่อของเขา
พ่อและแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้แปดขวบ
เขาเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ ไม่มีทั้งพี่น้องร่วมสายเลือดและต่างสายเลือด คุณตาคุณยายของเขาเองก็เสียชีวิตไปตั้งแต่ก่อนเขาจะเกิด นั่นจึงทำให้เขาจึงไม่มีญาติทางฝั่งแม่เลย ในงานสวดพระอภิธรรมจึงมีแต่ญาติทางฝั่งพ่อที่เขาพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง
ทว่าในทุก ๆ คืน ตรงเก้าอี้ที่อยู่ในมุมด้านหลังสุดมุมหนึ่งของศาลานั้น กลับถูกจับจองโดยชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ชายคนนั้นไม่ได้ร่วมรับประทานอาหาร ไม่ได้พูดคุยกับใคร สิ่งที่เขาทำมีเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น และฟังพระสวดอภิธรรมเงียบ ๆ คนเดียว
จิรภัทรไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร และเขาในตอนนั้นเองก็เอาแต่เศร้าซึมเพราะความเสียใจจนไม่ได้มีความรู้สึกอยากทำจะความรู้จัก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มักจะมองหาอีกฝ่ายในทุก ๆ เย็น และแอบมองอีกฝ่ายผ่านร่องเก้าอี้ของวัดเมื่อพระเริ่มสวด
ยิ่งใกล้ถึงวันฌาปนกิจ อนาคตของเขาก็ยิ่งมืดมนเข้าไปทุกที เขารู้ดีแก่ใจว่าไม่มีญาติฝั่งพ่อคนไหนเต็มใจรับเขาไปเลี้ยงดู ดูจากการที่ต่างฝ่ายต่างพากันถกเรื่องใครจะรับตัวเขาไปเลี้ยงต่อจนเสียงดังลั่นศาลาเขาก็รู้แล้ว
แต่เชื่อไหมว่าในขณะที่เหล่าญาติ ๆ กำลังทุ่มเถียงเกี่ยงกันเรื่องการรับเขาไปเลี้ยงอยู่นั้น อยู่ ๆ ชายแปลกหน้าคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาหาเขาและย่อตัวนั่งลงตรงหน้า
“สวัสดีครับ น้าชื่อแดนนะ เป็นน้องชายของแม่ดาว”
อีกฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน แววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ทว่าเขาในยามนั้นกลับมีสีหน้างุนงง และไม่เชื่อถือในคำพูดของอีกฝ่าย
แม่เคยบอกกับเขา ว่าแม่ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนเหลืออยู่อีกแล้ว ทว่าจู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าตัวเองคือน้องชายของแม่ จิรภัทรเชื่อว่าแม่ไม่มีทางหลอกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นคนตรงหน้าเขานี่แหละเป็นฝ่ายที่พูดโกหก
“คุณแม่บอกน้องเจฟว่าคุณแม่ไม่มีพี่น้อง”
นั่นจึงทำให้เขาแสดงท่าทีต่อต้านในทันที ทว่าอีกฝ่ายกลับส่งยิ้มบาง ๆ มาให้
แม้รอยยิ้มนั้นของอีกฝ่ายจะดูดีมากเพียงใด ทว่ามันกลับไม่อาจปกปิดความรู้สึกเศร้าสร้อยได้เลย ชั่ววินาทีนั้น เขาในวัยแปดขวบสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเหลือคณาจากแววตาของอีกฝ่าย มันเป็นความเจ็บปวดที่คล้ายกันกับของเขา ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไป
“มีสิ” แม้ว่าสุ้มเสียงนั้นจะฟังดูสั่นเครือเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าอีกฝ่ายก็ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่ “แม่ของเราน่ะมีน้องชายอยู่หนึ่งคนนะ”
“คุณน้าเป็นน้องชายของคุณแม่จริง ๆ เหรอครับ?”
“มองหน้าน้าสิ ไม่คล้ายแม่ของเราบ้างเลยเหรอ?”
เมื่อสิ้นเสียงของอีกฝ่าย เขาจึงพินิจมองใบหน้าเรียวนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ และใช่ เขาพบว่าใบหน้าของคนตรงหน้านี้มีส่วนที่คล้ายคลึงกับคุณแม่ของเขาอยู่จริง ๆ
“แล้วคุณน้ามีอะไรกับผมเหรอครับ?”
“คือ…” อีกฝ่ายมีท่าทีอ้ำอึ้งไม่มั่นใจ “คือว่า น้ารู้ว่ามันอาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่ว่าตอนนี้น้าอยู่คนเดียว และก็ เอ่อ…เรา…เราอยากมาอยู่กับน้าไหม?”
มันฟังดูเป็นคำถามที่แม้แต่เด็กแปดขวบยังรู้สึกได้ว่าไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ทว่าท่ามกลางความรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทิ้งขว้าง สิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยถามออกมานั้นกลับทำให้เขาน้ำตาเอ่อคลอ และกว่าที่เขาจะตั้งสติได้ เขาก็พบว่าตัวเองเอาแต่ยืนสะอื้นไห้พร้อมกับพยักหน้าตอบตกลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด
ในวันที่เขากลายเป็นส่วนเกินของเครือญาติทางฝั่งพ่อ มีเพียงแดนดนัยที่เดินเข้ามากอดเขา และกระซิบบอกเขาอย่างอ่อนโยน
“ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
มีเพียงแค่แดนดนัยที่ต้องการเขา อ้อนวอนเขาผ่านทางน้ำเสียงและสายตา ขอร้อง…ให้เขาเลือกที่จะมาอยู่ด้วยกัน
มีเพียงแค่แดนดนัย
แค่แดนดนัยเพียงคนเดียวแม้แดนดนัยจะไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า ทว่าก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไรเลยสักนิด ชีวิตการเป็นอยู่ของจิรภัทรเรียกได้ว่าสุขสบายสมฐานะ แดนดนัยไม่เคยปล่อยให้หลานชายเพียงคนเดียวของตัวเองขาดเหลืออะไรเลยสักอย่าง เขาดูแลและเอาใจใส่จิรภัทรเป็นอย่างดี และนั่นก็ทำให้คนอายุน้อยกว่าอยากเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนเพื่อให้น้าแดนของตนเองภูมิใจ
“น้าแดนครับบบ! น้าแดนนน! เทอมนี้น้องเจฟสอบได้ที่สามแหละครับ!”
เด็กชายจิรภัทรวัยเก้าขวบวิ่งชูสมุดพกของทางโรงเรียนตรงรี่มาหาน้าชายที่กำลังยืนรอรับอยู่หน้าประตูโรงเรียนด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ไหนขอน้าดูหน่อยซิ" แดนดนัยรับสมุดพกจากมือเล็กของหลานชายไปเปิดดูแล้วเบิกตากว้าง "โอ้โหหห! คนเก่งของน้าเก่งที่สุดเลย อย่างนี้น้าจะให้รางวัลเป็นอะไรดีน๊าาา”
“น้องเจฟอยากกินไอติม วันก่อนน้องเจฟเห็นโฆษณาในทีวีว่ามีรสใหม่ออกมาด้วย นะครับน้าแดน น้าแดนพาน้องเจฟไปกินไอติมหน่อยนะครับ”
“ได้เลยครับ ไหนน้องเจฟอยากกินร้านไหน เดี๋ยวไปถึงห้างแล้วชี้บอกน้าได้เลย”
เด็กชายจิรภัทรในวัยเก้าขวบนั้นชื่นชอบการออดอ้อนน้าแดนดนัยของตนเป็นอย่างมาก เขาชอบเวลาที่ตัวเองได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากคนอายุมากกว่า เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
ดังนั้นจิรภัทรจึงพยายามเป็นเด็กดี เชื่อฟังในสิ่งที่น้าชายสอนให้น้าชายรักและเอ็นดู แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีช่วงเวลาที่ทำตัวไม่น่ารักเลย
“โอ้โหแดน พี่ย้ายไปญี่ปุ่นแค่ปีกว่า กลับมาเรามีลูกโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?”
เย็นวันหนึ่ง ขณะที่จิรภัทรกำลังนั่งทำการบ้านของตัวเองอยู่ที่โซฟารับแขกนั้น จู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้าโผล่มาที่บ้าน แถมยังมีท่าทีสนิทสนมกับน้าแดนของเขาอยู่ไม่น้อยอีกต่างหาก
จู่ ๆ จิรภัทรก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาไม่อยากให้น้าแดนของเขาไปสนิทกับใครมากกว่าตัวเขาเอง
“น้าแดน นั่นใครเหรอครับ?”
เด็กชายรีบลุกขึ้นมาหลบอยู่ด้านหลังของน้าชายในทันที และแสร้งทำเป็นรู้สึกกลัวชายคนนั้นเพื่อให้น้าของตนเอ่ยปลอบ
“นี่น้าจอห์น เป็นเพื่อนของน้าเอง น้องเจฟไม่ต้องกลัวนะ น้าจอห์นน่ะเขาใจดีมากเลย” แดนดนัยพูดพร้อมกับขยับตัวออกเพื่อให้หลานชายได้เจอกับเพื่อนของตัวเอง “ส่วนนี่น้องเจฟ เป็นหลานผมเองพี่"
“หลาน? ไม่เห็นเคยบอกพี่เลยว่าเรามีหลาน แถมยังโตตั้งขนาดนี้แล้ว”
“ก็นะครับ...”
แดนดนัยยิ้มน้อย ๆ เขาไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายว่าอย่างไรดีตัดสินใจที่จะปล่อยคำถามนั้นไป
“ไหนมาให้น้าดูหน่อยซิตัวเล็ก”
จารุกิตติ์ที่พอจะเดาออกว่าคนตรงหน้าไม่อยากเอ่ยอธิบายเองก็ไม่ได้มีท่าทีเซ้าซี้อะไร เขาเดินเข้าไปหาเด็กชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รุ่นน้องก่อนจะย่อตัวลงนั่งแล้วเอ่ยทักทายอย่างใจดี ทว่าจิรภัทรกลับยืนนิ่ง
เขาไม่อยากจะสนิทสนมกับคน ๆ นี้เลยสักนิด
“
ผมไม่ได้ตัวเล็ก”
จารุกิตติ์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้รับท่าทีต่อต้านจากเด็กชายตรงหน้า ในขณะที่แดนดนัยนั้นอึ้งเสียยิ่งกว่า เพราะปกติแล้วจิรภัทรเป็นเด็กที่น่ารักเรียบร้อยและสามารถเข้ากับผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี เขาจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าหลานชายของเขาจะมีมุมที่ไม่เป็นมิตรแบบนี้อยู่ด้วย
“น้องเจฟ ไม่เอาครับ พูดกับผู้ใหญ่ดี ๆ หน่อยสิ”
ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้เด็กชายมองจารุกิตติ์ด้วยสายตาไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง
เขาอยู่กับน้าแดนมาเกือบปี น้าแดนไม่เคยดุเขาเลยสักครั้ง แต่แค่คน ๆ นี้มาที่บ้านไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ทำให้เขาต้องโดนน้าแดนดุแล้ว
เขาไม่ชอบน้าจอห์นอะไรนี่เลย
“น้องเจฟ...น้องเจฟจะไปทำการบ้านต่อแล้ว!”
เด็กชายกำมือแน่น เสียงเล็กที่เอ่ยออกมานั้นฟังดูแข็งกร้าวผิดไปจากปกติ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันหลังแล้ววิ่งกลับไปยังโซฟาหน้าทีวี
เด็กชายวัยเก้าขวบทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะหยิบดินสอขึ้นมากำไว้ด้วยท่าทีไม่พอใจ
“ขอโทษแทนน้องเจฟด้วยนะพี่จอห์น ปกติไม่ได้ดื้อแบบนี้นะพี่" แดนดนัยมองตามหลานชายไปด้วยสายตาเครียดเคร่ง "น้องเจฟคงไม่ชอบให้คนมาเรียกว่าตัวเล็ก”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง เด็ก ๆ ก็อย่างนี้แหละ” จารุกิตติ์เอ่ยอย่างไม่ถือสาก่อนจะยื่นของที่ถืออยู่ในมือของตนไปให้คนตรงหน้า “เอ้านี่ ของฝากจากญี่ปุ่น”
“โห ขอบคุณมากนะพี่ ซื้อขนมมาเยอะอย่างกับรู้เลยอะว่าผมมีเด็กอยู่ที่บ้าน”
แดนดนัยเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม จารุกิตติ์มองหน้ารุ่นน้องที่สนิทของตนก่อนจะยิ้มตาม
เขาจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าอีกฝ่ายจะมีหลานมาอยู่ที่บ้านด้วย ขนมที่เขาซื้อมาทั้งหมดนี่ก็ตั้งใจซื้อมาให้เจ้าตัวนั่นแหละ
“พี่ว่าหมดสัญญารอบนี้พี่จะทำเรื่องย้ายกลับมาที่ไทยแล้วนะ”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าทำที่ญี่ปุ่นมันก้าวหน้ากว่าเหรอพี่ เงินก็ดีกว่าด้วย”
แดนดนัยขมวดคิ้วถามด้วยความแปลกใจ เดิมทีนั้นจารุกิตติ์เป็นรุ่นพี่ที่แผนกเดียวกันกับเขา แต่เมื่อต้นปีที่แล้วอีกฝ่ายได้มีโอกาสย้ายไปทำงานที่สาขาญี่ปุ่น เจ้าตัวคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานจึงตัดสินใจย้ายไป ใครต่อใครที่ได้ข่าวต่างก็อิจฉา
ทว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับบอกเขาว่าจะทำเรื่องย้ายกลับมาเสียอย่างนั้น
“เรื่องเงินดีกว่าน่ะไม่เถียง แต่ถ้าพูดถึงความก้าวหน้าพี่ว่ามันก็พอ ๆ กับที่ไทยนะ แต่ที่ญี่ปุ่นแย่กว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยคือความกดดัน งานโคตรเครียดเลย ดูหน้าพี่ดิ ตีนกาขึ้นแล้วเนี่ย ไหนจะผมหงอกอีก พี่ยังไม่สามสิบเลยนะเว้ย!”
“โอ้ยพี่ ผมเชื่อแล้ว”
แดนดนัยได้ยินรุ่นพี่โวยวายอย่างนั้นถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ก็หลักฐานคาใบหน้าและศีรษะของอีกฝ่ายเสียขนาดนั้น
จิรภัทรเองนั้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของคนเป็นน้าก็ยิ่งมีสีหน้าบูดบึ้งเข้าไปใหญ่ หลักฐานว่าน้าจอห์นอะไรนั่นต้องการแย่งน้าแดนไปจากเขาชัดเจนเสียขนาดนี้แล้วเขาคงทนญาติดีด้วยไม่ไหวอีกต่อไป
เด็กชายกำดินสอในมือของตนแน่นขึ้นกว่าเดิม หมายมาดเอาไว้ในใจว่าต่อจากนี้เขาจะกีดกันไม่ให้น้าจอห์นได้เข้าใกล้น้าแดนของเขาอีกเป็นอันขาด!
[tbc]
_____________________________________________________________________________________________________
แจฮยอน -เจฟ จิรภัทร
โดยอง - แดน แดนดนัย
จอห์นนี่ - จอห์น จารุกิตติ์
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ความบาปปป
มาพายเรือในนรกไปด้วยกันนะคะ
เพราะความบาปนี้มันช่างหอมหวาน TwT
จริง ๆ มันเป็น os แต่เพราะว่ายาวมาก เราเลยตัดเป็น 2 ตอน
แล้วเอาตอนแรกมาลองเชิงดูก่อนว่ามีคนโอเคมั้ย
ถ้าโอเคกับความบาปนี้ก็เจอกันตอน 2 นะคะ
แต่ถ้าไม่ เดี๋ยวเราลบฟิคหนีเองค่ะ 5555555
#allislovefic
how to comment ใน minimore
เรามาอ่านเอาตอนที่ฟิคออกมาครบทั้ง 2 พาร์ทแล้ว ด้วยทิศทางของเรื่องที่แดนยังมองเจฟเป็นหลานอยู่ (แดนน่าจะไม่รู้ความในใจเจฟ...? เพราะ "ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนสำหรับแดนดนัย") กับความยาวที่เหลืออยู่อีก 1 ตอน ทำให้เราเดาไม่ออกเท่าไหร่ว่าเรื่องลงเอยยังไง แต่อยากบอกไว้ก่อนในตอนนี้ว่าชอบการถ่ายทอดความอัดอั้นของเจฟมาก มั่นใจในความรู้สึกและอยากจะไปเดินข้างกันแต่ก็ยังมีความลังเลที่จะทำ อยู่ใกล้แต่ก็ไปไม่ถึงซะที เฝ้ามองเขาตลอดแต่ก็ยังมีตัวตนของแดนที่เจฟไม่รู้จัก มันแบบบบ เราชอบแจโดในฟิลเตอร์ผมโตพอจะดูแลพี่ได้รึยังมากเลยค่ะ แน่นอนว่าเราอ่านฟิคกับจอยที่เขาอายุเท่ากันได้อยู่แล้ว (แจฮยอนโตกว่าโดยองก็ได้ถ้าสนใจพล็อตกับคาแรคเตอร์) แต่ฟิคที่แจฮยอนเด็กกว่าแล้วอยากพิสูจน์ตัวเอง อยากเป็นที่พึ่งให้โดยองเนี่ย มันกร๊าวใจมากๆ พอเห็นแจฮยอนปลอบ ช่วยดูแล หรือมองโดยองด้วยตาเชื่อมๆ และยิ้มเอ็นดูในชีวิตจริง มันก็อดใช้ฟิลเตอร์แฟนเด็กไม่ได้ ฮือออ
แต่ความดราม่าคุกรุ่นอยู่ทั่วเรื่องเลยนะคะเนี่ย แดนดูทำตัวเข้มแข็งแต่ก็น่าจะแบกความรู้สึกผิดมาตลอด คงเป็นปมกับแม่ของเจฟ แล้วยังมีจอห์นที่น่าจะแอบชอบแดนอีก คาแรคเตอร์แดนน่าจะแอบเซ็กซี่อยู่รึเปล่าคะ จำแคปชั่นรูปน้องๆ ที่คุณไรต์เคยลงในทวิตได้ว่าเจฟมารอน้าแดนที่ผับ ว่าแล้วก็ไปลุ้นเนื้อเรื่องในอีกพาร์ทเลยดีกว่า