Title: in the end
AU : Thai
Pairing: JungJaehyun x KimDoyoung
Rating: PG
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
————————————————————————————————————————
“รำคาญพี่เดลว่ะ”
น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นมานั้นล้นไปด้วยความเอือมระอา ขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งมองหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองที่เต็มไปด้วยแจ้งเตือน ทั้งจากเมสเซนเจอร์ ไลน์ ไปจนกระทั่งมิสคอลนับสิบสาย
“ทำไมอีกวะ?”
วิศณะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงบ่นจากเพื่อนสนิท เขาเงยหน้าขึ้นจากคัทเอ้าท์แสดงความยินดีให้กับพี่บัณทิตที่ตนกำลังระบายสีอยู่ และก็พบกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของเพื่อนตัวเองที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“เนี่ย โทรจิกกูอีกละ มึงดูดิ” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังยื่นสมาร์ทโฟนที่มีแจ้งเตือนมิสคอลโชว์หรามาให้เขาดูเป็นหลักฐานประกอบคำพูด “กูบอกไปแล้วว่าช่วงนี้ไม่ว่าง แต่ก็ยังจะโทรจิกกูอยู่นั่นแหละ”
“มึงก็รับแล้วบอกพี่เขาไปสิว่ามึงทำงานอยู่”
คนเป็นเพื่อนเสนอคำแนะนำ ทว่าคนฟังกลับส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ จอมทัพถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แม้ไม่ดังมากแต่ก็พอจะทำให้เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินเสียง มือหนากดปิดเสียงและคว่ำหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองลงบนพื้นข้างตัว ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับงานตรงหน้าดังเดิม
วิศณะลอบมองใบหน้าเพื่อนตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกดีใจที่เห็นอีกฝ่ายเลือกที่จะเมินเฉยใส่คนรักเสียบ้าง ดรุภัทรคนรักของจอมทัพนั้นเป็นพวกหึงหวงจนเกินเหตุ จนทำให้จอมทัพต้องรู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ และหลาย ๆ ครั้งมันก็ลามมาถึงตัวเขาและเพื่อนคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบกายของเจ้าตัว และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พักหลังมานี้ทั้งคู่มีเรื่องระหองระแหงกันบ่อย
วูบหนึ่งที่ความรู้สึกผิดแล่นวูบเข้ามาในอกของชายหนุ่ม วิศณะรู้แก่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด และเขาก็ไม่ควรดีใจที่ได้เห็นเพื่อนของตัวเองมีปัญหากับคนรัก
แววตาภายใต้กรอบแว่นหมองลงเล็กน้อยทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็น วิศณะกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกลับไปลงมือทำงานในส่วนของตัวเองต่อเพื่อให้เสร็จทันภายในวันพรุ่งนี้
‘ท่านกำลังเข้าสู่ระบบฝากข้อความ…’
มือเรียวลดสมาร์ทโฟนของตัวเองลงจากใบหู ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะไปยังปุ่มวางสายบนหน้าจอนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ของวัน หัวคิ้วเรียวทั้งสองนั้นขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม ดวงหน้าน่ารักฉายแววหงุดหงิดระคนกระวนกระวายอย่างปิดไม่มิด และนั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจแตะปลายนิ้วลงบนปุ่มโทรออกไปยังหมายเลขเดิมอีกครั้ง แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าอย่างไรผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบเดิมก็ตาม
ดรุภัทรและจอมทัพนั้นได้คบหากันในฐานะคนรักมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ช่วงที่เขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก และอีกฝ่ายเองนั้นก็เพิ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง จนตอนนี้เขาเรียนจบและเริ่มทำงานแล้ว ขณะที่จอมทัพนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการเป็นเฟรชชี่หน้าใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่ใครต่อใครต่างก็พูดกันว่าเป็นช่วงที่มีโอกาสเลิกรากับคนรักมากที่สุด
ดรุภัทรเชื่อคำที่ว่านั่นอย่างสนิทใจ เพราะในช่วงที่เขาเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ๆ นั้นก็เคยมีเรื่องที่ทำให้เขาเกือบต้องเลิกกับจอมทัพ ในตอนนั้นจอมทัพยังเด็กและเขาเองก็ยังวัยรุ่น อีกทั้งมหาวิทยาลัยก็เป็นสถานที่ที่รวบคนวัยใกล้เคียงและมีความคิดแนวเดียวกันกับเขา การรักษาความสัมพันธ์ของเขาที่อยู่ปีหนึ่งกับจอมทัพที่ยังไม่ขึ้นชั้นมัธยมปลายเลยด้วยซ้ำจึงเป็นอะไรที่ยากลำบากพอสมควร เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอห่าง แต่เพราะจอมทัพไม่ยินยอม พวกเขาจึงได้คบกันต่อเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
และก็ดูเหมือนกับว่าช่วงเวลาแห่งการไม่เข้าใจกันที่ว่านั่นกำลังวนกลับมาหาเขาอีกครั้ง เพราะตั้งแต่ที่จอมทัพเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ดรุภัทรก็รับรู้ได้ว่าระยะห่างระหว่างเขากับอีกฝ่ายนั้นค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น จอมทัพดูเหมือนจะมีความสุขกับสังคมใหม่ ๆ และโลกของจอมทัพที่เคยเป็นของเขานั้นก็ได้ถูกแบ่งออกไปให้เพื่อนใหม่ที่เจ้าตัวได้เจอ
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดรุภัทรนึกกลัวมากที่สุด
เขากลัวว่าคนรักของตนเองจะใกล้ชิดและสนิทสนมกับเพื่อนคนอื่นมากเกินไปจนทำให้เกิดความรู้สึกที่เกินเลย และถ้าหากว่ามันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็ ดรุภัทรคิดว่าเขาคงจะทำใจไม่ได้อย่างแน่นอน
ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากัน ขณะที่มือเรียวนั้นก็กำสมาร์ทโฟนในมือแน่น คล้ายกับกำลังสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้ในใจ ดรุภัทรรู้สึกแสบขัดที่จมูก และขอบตาของเขาก็เกิดร้อนผ่าวขึ้นมา
ถ้าเกิดว่าจอมมีคนอื่นล่ะ?
ความคิดภายในหัวของเขาเริ่มฟุ้งกระจายไปไกลจนชวนให้รู้สึกปวดหนึบในอก สารภาพตามตรงเลยว่าเขาเกลียดช่วงเวลาแบบนี้ที่สุด ช่วงเวลาที่เขาอยู่ตัวคนเดียวและเอาแต่นั่งคิดกังวลเกี่ยวกับคนรักจนไม่เป็นอันทำอะไร
ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองเริ่มกลายเป็นคนงี่เง่ามากขึ้นทุกวัน และคนรักของเขานั้นก็คงรู้สึกอึดอัดไม่น้อยกับการกระทำทั้งหมดทั้งมวลของเขา แต่มันหยุดไม่ได้ เขาหยุดความงี่เง่าของตัวเองไม่ได้เลย
ทำไมถึงไม่รับสายกันนะ…
ปลายนิ้วเรียวแตะเข้าที่ปุ่มโทรออกอีกครั้ง ร่างผอมโปร่งชันเข่าขึ้นกอดเอาไว้พลางซบใบหน้าลงบนท่อนแขนของตัวเอง และปล่อยให้น้ำตาไหลที่อัดอั้นอยู่นั้นค่อย ๆ ออกมาโดยไม่คิดกลั้นเอาไว้
ดรุภัทรจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าตอนที่ตัวเขายังไม่มีจอมทัพนั้น เขาใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ถ้าหากว่าจอมมีคนอื่นแล้วขอเลิกกับเขาขึ้นมา...เขาจะทำอย่างไรดี
“เฮ้อ หยุดสักที”
ร่างสูงที่กำลังนั่งระบายสีคัทเอาท์อยู่นั้นถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าสมาร์ทโฟนของตัวเองหยุดสั่นมาได้พักใหญ่แล้ว น้ำเสียงทุ้มนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกรำคาญ แต่ถึงกระนั้นมือหนาก็วางพู่กันที่ถืออยู่ลงและคว้าสมาร์ทโฟนของตัวเองมาปลดล็อคอยู่ดี
‘พี่เดลของจอม(16)’
ชื่อที่เขาใช้เมมเบอร์ของคนรักในสมาร์ทโฟนนั้นเป็นชื่อที่อีกฝ่ายตั้งเอาไว้ให้เมื่อนานมาแล้ว และจอมทัพเองก็รู้สึกเคยชินจนไม่คิดที่จะเปลี่ยนมัน เขายังจำใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยิ้มกว้างออกมาหลังจากที่เอามือถือของเขาไปกดเปลี่ยนชื่อเองกับมือได้ดี สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังเป็นแบบปุ่มกดอยู่เลย ซึ่งคนรักของเขาก็เอาไปนั่งกดอยู่ตั้งนานสองนาน ใบหน้าที่คร่ำเคร่งเสียยิ่งกว่าตอนอ่านหนังสือสอบของดรุภัทรนั้นเป็นอะไรที่จอมทัพลงความเห็นกับตัวเองจนเสร็จสรรพว่ามันช่างน่ารัก ดรุภัทรในตอนนั้นน่ะน่ารักเสียยิ่งกว่าอะไรบนโลกใบนี้
แต่น่าแปลกเหลือเกินที่ในตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย ภายในหัวของร่างสูงว่างเปล่าไปชั่วขณะเมื่อได้ค้นพบความจริงข้อที่ว่า
ดรุภัทรไม่ได้เป็นคนที่น่ารักสำหรับเขาอีกแล้ว
“มึงจะไม่รับสายพี่เขาจริง ๆ เหรอวะ?”
วิศณะเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองเอาแต่นั่งมองหน้าจอสมาร์ทโฟนในมือนิ่ง
“ไม่ล่ะ” จอมทัพตอบกลับมาในทันทีโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด “เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก”
ว่าจบเจ้าตัวก็ล็อคหน้าจอแล้วคว่ำสมาร์ทโฟนไว้ที่เดิม
“ทำไมถึงกลับดึกล่ะ”
ไม่มีรอยยิ้มต้อนรับกลับบ้านเช่นทุกวัน จอมทัพถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของคนรักยามที่เขาเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง เขารับรู้ได้ว่าเหตุการณ์เดิม ๆ อย่างการถกเถียงกันระหว่างเขาและอีกฝ่ายกำลังจะวนลูปกลับมาอีกครั้ง
เขาและดรุภัทรตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่ช่วงที่เขาเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ด้วยเหตุผลที่ดรุภัทรอยากลดระยะห่างระหว่างกัน และเป็นการทดลองใช้ชีวิตร่วมกันไปในตัวหลังจากที่คบกันมาหลายปี ซึ่งเขาก็เห็นด้วย แต่เชื่อไหมว่ามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าเดิมเลยสักนิด
“ก็ผมบอกพี่แล้วไงว่าผมทำงานที่คณะ”
“แล้วจอมก็บอกพี่ว่าจอมจะกลับไม่เกินสี่ทุ่ม แต่นี่มันจะตีสองแล้วนะจอม!”
จอมทัพชะงักไปเมื่อโดนอีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ คิ้วเรียวของเขาขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ เขากลับมาจากทำงานที่คณะเหนื่อย ๆ ก็อยากจะพักผ่อน ไม่ได้อยากจะมาทะเลาะกันให้ต้องรู้สึกเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นแบบนี้
“ก็งานมันไม่เสร็จ พี่จะให้ผมทำยังไงอะ จะให้ผมทิ้งงานทิ้งเพื่อนแล้วกลับมาหรอ ผมไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้นนะเว้ย”
“เพื่อน? อ้อ...เพื่อนที่ชื่อแวนด์สินะ”
ดรุภัทรแค่นยิ้มออกมายามนึกถึงใบหน้าน่ารักของเพื่อนสนิทคนใหม่ที่คณะของจอมทัพ และเพียงแค่เขามองดูปราดเดียวเขาก็รู้ว่าเด็กคนนั้นคิดไม่ซื่อกับคนรักของเขา แววตาของคนที่กำลังแอบชอบคนอื่นอยู่น่ะมีหรือเขาจะไม่รู้ แต่จอมทัพกลับไม่เคยรู้อะไร
ไม่เลย…
“แวนด์เกี่ยวอะไรอีกล่ะ พี่อย่ามาหาเรื่องกันได้หรือเปล่า ผมเหนื่อย”
น้ำเสียงที่เคยนุ่มทุ้มนั้นฟังดูแข็งกร้าวขึ้นในทันใดเมื่อเพื่อนสนิทคนใหม่ของตัวเองถูกพาดพิงอย่างไม่มีสาเหตุ นับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าดรุภัทรนั้นยิ่งไม่มีเหตุผลมากขึ้นจนเขาเริ่มจนปัญญาที่จะอธิบาย เหตุผลไม่สามารถใช้กับคนรักของเขาในยามนี้ได้ และจอมทัพเองก็ชักจะเหนื่อยกับเรื่องพวกนี้แล้วเหมือนกัน
“พี่ไม่ได้หาเรื่อง แต่พี่ถามหน่อยเถอะว่าจอมไม่รู้จริง ๆ เหรอ ว่าเพื่อนจอมคนนั้นน่ะมันคิดยังไงกับจอม!” ปลายจมูกของดรุภัทรเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง และความรู้สึกแสบขัดตรงจมูกก็หวนคืนมาอีกครั้ง “หรือว่าจอมชอบมันไปแล้ว ใช่มั้ย?”
"แล้วพี่จะอะไรกับแวนด์นักหนา"
“พี่ถามว่าจอมชอบมันแล้วใช่มั้ย ตอบพี่มาสิ! ฮึก...ใช่มั้ย!”
ดรุภัทรเริ่มสะอื้น ร่างผอมโปร่งพุ่งตรงเข้ามาหา ก่อนจะใช้กำปั้นนั้นทุบตีเข้าที่อกของเขา มือไม้ของคนทั้งคู่พันกันเมื่อจอมทัพเองก็พยายามปัดป่ายมือของคนรักออก จนในที่สุดเขาชักจะทนไม่ไหว
“ถ้าพี่จะงี่เง่าขนาดนี้ ผมว่าเราเลิกกันเหอะ”
จอมทัพผลักร่างคนรักออก ร่างผอมโปร่งของดรุภัทรเซเล็กน้อยก่อนจะนิ่งค้างไปเมื่อสมองของเขาประมวลผลคำพูดของอีกจนเสร็จสิ้น
ภายในหัวของเขาก็มีแต่คำว่า ‘ไม่นะ ไม่เลิก!’ ทว่าริมฝีปากของเขากลับแข็งทื่อเกินกว่าที่จะเอ่ยคำใดออกมา
ดรุภัทรไม่ได้เอ่ยรั้งอะไรอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว ไม่ใช่เพราะเขาเต็มใจกับการเลิกรา แต่เพราะเขาช็อคเกินกว่าสมองจะนึกและร่างกายจะตอบสนองอะไรได้ทัน
สายตาของร่างผอมโปร่งพร่าเบลอไปด้วยหยาดน้ำตา ยามยืนมองแผ่นหลังของของคนรักที่กำลังเดินออกจากห้องไป
“อึกกก!”
ดรุภัทรทรุดลงกับพื้น ขาทั้งสองของเขาไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใด ๆ อีกต่อไป ฉับพลัน ดวงหน้าหวานที่เปรอะไปด้วยหลักฐานของความเสียใจก็เกิดบิดเบี้ยวขึ้นเมื่อความรู้สึกเจ็บจี๊ดแปลกประหลาดแล่นเข้าสู่กลางอกของตนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว มือเรียวที่ชื้นเหงื่อและเย็นยะเยียบนั้นขยุ้มเข้าที่อกเสื้อของตัวเอง กำแน่นจนขึ้นข้อขาว หัวใจของเขาสั่นระรัวจนต้องอ้าปากกว้างเพื่อหอบหายใจเข้าออก
ร่างกายของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ดรุภัทรรู้สึกราวกับตนเองกำลังจะขาดใจตายยังไงยังงั้น
เขาเลิกกับจอมแล้ว…
ไม่จริง…
ไม่จริง!
จอมทัพเลิกรากับดรุภัทรมาได้เกือบสองเดือนแล้ว ในช่วงแรกที่เพิ่งเลิกกันนั้นเขารู้สึกโล่งและเป็นอิสระ อยากจะทำอะไรกับใครที่ไหนก็สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งนึกถึงความรู้สึกของใครอีกคน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแต่ละวันของเขานั้นช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
พอไม่มีดรุภัทรแล้ว ไม่ว่าจะอะไรก็ดูน่าเบื่อไปหมด
จอมทัพยังคงนึกถึงรอยยิ้มของอีกฝ่ายยามที่เขาเปิดประตูเข้าห้องทุกครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีดรุภัทรนั่งอยู่ตรงนั้นนับตั้งแต่วันที่พวกเขาเลิกกัน
ห้องที่เคยมีข้าวของของคนสองคนนั้นดูโล่งลงไปถนัดตาเมื่อดรุภัทรได้ขนย้ายข้าวของของตัวเองออกไปตั้งแต่คืนที่เขาทิ้งอีกฝ่ายเอาไว้และเดินออกจากห้องนี้ไปด้วยแรงอารมณ์
อิสระที่เขาเคยต้องการ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาว่างเปล่า
เขาคิดถึงดรุภัทร
คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงความงี่เง่าเอาแต่ใจของอีกฝ่ายที่แม้จะทำให้เขาอึดอัดแต่ก็ทำให้เขารู้ว่ามีใครสักคนกำลังรักเขาอย่างสุดหัวใจ
คิดถึงทุก ๆ อย่าง
แต่เขาก็ละอายใจเกินกว่าจะกล้าโผล่หน้ามาให้อดีตคนรักของตัวเองเห็น ความเสียใจที่มาถึงช้าเกินไปนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนเขาให้มีสภาพย่ำแย่ดูไม่จืด จนเพื่อนต่างบอกว่าหากเขายังรักดรุภัทรอยู่ก็ให้รีบมาง้อซะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส
และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะเคยเดินเข้าออกได้อย่างอิสระมาเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง
บ้านของอดีตคนรัก
ออดดด
จอมทัพแตะปลายนิ้วของตนลงบนออดที่อยู่ตรงประตูรั้วของบ้าน เขายืนรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะออกแรงกดมัน และหลังจากนั้นไม่นานนักเขาก็สังเกตเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินตรงมายังประตูที่เขากำลังยืนอยู่
“สวัสดีครับ”
เขายกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม ทว่าแววตาอ่อนโยนจากหญิงตรงหน้าที่เคยมองมายังเขานั้น บัดนี้มีแต่ความเฉยชา ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร
คนที่กำลังอยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้เป็นแม่นมของดรุภัทร เธอเลี้ยงดูคุณหนูของเธอมาอย่างดีตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปี ตั้งแต่ที่คุณหนูของเธอคลอดมาจนถึงทุกวันนี้ และการที่เขาทำให้คุณหนูดรุภัทรของเธอต้องเสียใจนั้นมันก็เป็นเหตุผลอันสมควรแล้วที่เธอจะไม่พึงพอใจเขา แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังยกมือขึ้นรับไหว้เขาตามมารยาท
“ผมมาหาพี่เดล…พี่เขาอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ?”
เธอไม่ได้เปิดประตูรั้วให้เขาเข้าไปด้านในเช่นทุกที สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้จึงมีเพียงแค่ยืนอยู่ด้านนอก และเอ่ยถามเธอผ่านประตูรั้วของบ้าน
“เปล่าค่ะคุณจอม” เธอส่ายหน้าเบา ๆ เป็นเชิงปฏิเสธ “คุณเดลเธอย้ายไปอเมริกาได้เดือนกว่าแล้วค่ะ”
คำพูดของเธอทำให้จอมทัพรู้สึกวูบโหวงในอก
อเมริกา…
สถานที่นั้นช่างฟังดูห่างไกลเกินกว่าที่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดา ๆ อย่างเขาจะสามารถตามไปทวงหัวใจของตัวเองคืนได้เหลือเกิน
_____________________________________________________________________________________________________
แจฮยอน - จอม จอมทัพ
โดยอง - เดล ดรุภัทร
วินวิน - แวนด์ วิศณะ
ปิดฟิคด้วย [.end] ไม่ได้ เพราะยังไม่จบ
แต่ก็ปิดด้วย [tbc.] ไม่ได้เหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าตอนต่อจะมาเมื่อไหร่...
เรื่องของเรื่องคือเราฟังเพลง try again มาแล้วอยากเขียนฟิค
แต่ก่อนจะ try again ได้มันก็ต้องมีเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นใช่ไหมล่ะ ก็เลยเอาเรื่องนี้มานำฤกษ์ดูก่อน
เพราะงั้นใครที่กำลังกำหินอยู่ในมือก็อย่าเพิ่งปามานะคะ ใจเย็นๆนะ
อย่าทำเรา เรากลัวเจ็บบบบ (ಥ_ಥ)
ไว้เจอกันใหม่(เมื่อมีตอนต่อ)ค่ะ
#allislovefic
ถึงจะเจ็บที่เห็นความสัมพันธ์ของจอมกับเดลค่อยๆ ร้าวจนมาถึงจุดนี้ (ไรต์บรรยายได้กรีดแทงหัวใจคนอ่านอีกแล้ว ไหนจะบทบาทของแวนด์ ซึ่งเราสงสัยว่าจะเป็นไงต่อ) แต่เราก็จะเป็นกำลังใจให้เขาค่อยๆ Try Again ไปด้วยกันจนสำเร็จนะคะ
พูดแบบนี้แต่จะจบยังไงก็อีกเรื่อง ลุ้นต่อ ฮ่าๆๆ