เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คุณเชื่อในรักแรกพบไหม ?stfellove
เพลงที่คุ้นเคย รอยยิ้มที่คุ้นตา
  •     ใครจะไปคิดว่าหลังจากคืนนั้นที่นอนไม่หลับเราก็ยังคงไปทำงานต่อเรื่อยๆ ยังคงใช้เวลาในการทำงานมากกว่าพักผ่อน ทำให้ได้บังเอิญเผลอลืมอะไรไปบ้างในบ้างอย่างเเต่ก็นะ ใครเขาจะลืมได้จริงๆอ่ะ 55555 ก็หวังว่ามันจะลืมได้จริงๆ เพราะคิดว่าคงต้องตัดใจ ดราม่าป่ะ 
         เเละเเล้ววันที่ใกล้กลับไทยก็มาถึง 
         
         พี่ใหญ่ : เก็บของเรียบร้อยนะ
         เรา : คงงั้นมั้ง
         พี่ใหญ่ : ไว้กลับมาเจอกันใหม่นะ

          เเละเราก็ยิ้มเเละกอดกันนั่งดูหนังเรื่องโปรดบนโซฟากับปอปคอร์น โดยที่ไม่พูดถึงเรื่องงานใดๆ เพราะนอกจากเรื่องงานเเล้วเราสองคนก็ไม่ค่อยได้นั่งเฉยๆเเละคุยกันอีกเลย เเม้กระทั้งบนโตะอาหารก็จะพูดเเต่เรื่องงานจริงๆ 
      
        วันนี้หนังที่ดูเราเป็นคนเลือก เลือก home alone เเบบเป็นหนังที่ดูกันมาตั้งเเต่เด็กๆเเล้วอ่ะ คงเป็นหนังที่ ทำให้พวกเราอินได้มากสุดเเล้วมั้ง พวกเราโดนเเม่ทิ้งกันมาตั้งเเต่เด็กๆเเล้ว เล่นกันในบ้านกันบ่อยมาก มีครั้งนึงที่เรากับพี่ ด้วยความเป็นผู้ชายต้องมีปืนมีมีด เอามาไล่ยิงกันเเต่วันนั้นรู้สึกไม่สมจริงเลยเอาซอสมะเขือเทศ มาผูกถุงเเล้วยัดไว้ในเสื้อใครโดนยิงก็จะเห็นเลือดออกมา 
         เเเละใครโดนยิงก็เเดงเต็มไปหมด เเม่กลับมานึกว่าลูกเป็นอะไร อ่อป่าว ลูกเล่นกันเฉยๆ ตอนนั้นก็โดนด่ากันไประนาว หลังจากที่ดูหนังกันจนดึก ก็ตัดสินใจว่าจะไปนอน เเละเเยกย้ายกันไป 
        พอมาถึงห้องนอนสิ่งที่เห็นคือม่หนังสือเล่มหนึ่งบนหัวเตียงที่ยังอ่านไม่จบเลยลองหยิบมาอ่าน เเละทำให้เราคิดไปถึง ผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้น เพราะหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการที่พยายามจะจีบผู้หญิงคนนึง เราอ่านมันโดยที่เราไม่รู้ตอนจบ อ่อลืมบอกเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก เเละอ่านหนังสือรักด้วย หนังก็ชอบหนังรัก เพราะมันรู้สึกว่าอินมากกว่าหนังฆ่ากัน
        สุดท้ายมาเจอประโยคนึงในหนังสือ 

    เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง เเค่ตอนนี้เราได้พยายามมันก็ดีที่สุดเเล้ว
        

        
  •      สนามบิน 9.25 
             นั่งรอขึ้นเครื่องเเละนั่งอ่านนิตยาสารที่ซื้อมาจากร้านเมื่อกี้ เเละหันไปเห็นป้าคนไทยคนนึงกำลังจะพยายามหาของอยู่เลยเข้าไปถาม
           เรา: มีไรให้ช่วยไหมครับ
           ป้า : ป้าหานาฬิกาไม่เจอ จะเอามาใส่ก่อนขึ้น
           เรา : ป้าไปลืมไว้ไหนป่ะครับ
           ป้า: น่าจะที่บ้านมั้ง เเต่กลับไปเอาไม่ทันเเล้ว
           เรา : ผมพอช่วยไรได้ไหม
           ป้า : จริงๆมันก็ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไรหรอก เเต่ป้าเเค่รู้สึกไม่ชินเวลาใส่อะไรทุกวันเเล้ววันนึงมันก็ไม่ได้ใส่ เหมือนมีอะไรหายไปอ่ะ
           เรา : งั้นเอานาฬิกาผมไปเเทนได้นะ
           ป้า : ( อมยิ้ม ) มันไม่เหมือนกันนะ มันไม่เหมือนนาฬิกาของป้า พอเอามาใส่มันอาจจะหลวมไป คับไป หรือ มันอาจจะไม่พอดี มันก็จะรู้ทันที่ว่าไม่ใช่ ป้าก็ไม่ชินอยู่ดีนะลูกขอบใจนะ

         ประโยคของป้านั้นทำให้เราเก็บมาคิดได้เลยนะ เก็บมาคิดว่า เป็นคำพูดเนิ้บๆ เเต่ทำไมมันรู้สึกจับเข้าไปข้างใน มันคมเเต่ไม่ได้บาดลึก มันเป็นคำพูดไม่ได้หวานซึ้ง เเต่มันรู้สึกลึกซึ้ง มันเป็นคำพูดง่ายๆที่เข้าใจได้ เเละดูมีความหมาย สรุปๆง่ายเลย 

       ไม่สามารถมีสิ่งใด หรือใคร มาทดเเทนกันได้

        เเละก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องเรานั่งอยู่ริมเดิมในชั้นธุรกิจริมหน้าต่างที่ทำให้รู้สึกเหงาเเละสายตาก็จะทอดยาวออกไปผ่านก้อนเมฆสีขาว เป็นปุยๆ บางก้อนก็มีสีที่ต่างออกไป บางก้อนก็ทำไมนะ ไม่มารวมอยู่กับเพื่อนๆ หรือแม้กระทั้งบางก้อน สามารถจินตนาการเป็นรูปสัตว์ได้ตั้งหลายรูป แปลกจริงๆเลย นะที่เราโตจนป่านนี้ยังมานั่งจินตนาการกับก้อนเมฆพวกนี้อยู่ ถ้าเราเผลอพูดออกไปต้องมีคนหาว่าเราบ้าเเน่ๆเลย ทั้งที่ในใจอยากจะสะกิดพี่คนข้างๆเเละบอกว่า 
    •       พี่ๆ เมฆก้อนนั้นเหมือนสิงโตจังเลย
    •       พี่ๆ ดูตรงนู้นสินั้นมันงูนี้น่า 

    55555555555ขำเป็นบ้าเลย ที่ตอนเด็กเราจะชวนพ่อกับเเม่เเละพี่ใหญ่ดูก้อนเมฆที่เวลานั่งรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เเละจะมีก้อนเมฆเต็มทางไปหมด เราจะนั่งตักเเม่ที่อยู่ข้างหน้าเเละจะเอามือจิ้มไปที่ท้องฟ้าอยู่เสมอ เเละพี่ใหญ่ก็จะคอยเถียงว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราเห็น
         ถนนสุขุมวิทมุ่งหน้านครราชสีมา
            เรา : แม่ๆ ดูนั้นสิ เหมือนนกเลย
            พี่ใหญ่ : ไม่เห็นเหมือนนกเลย เหมือนไก่มากกว่า
            เรา : ตรงนู้นมีเสือด้วย
            พี่ใหญ่ : ฝั่งนู้นมีดินสอ 

         เเละเราก็เถียงกันอย่างงี้ตลอดทาง เเละก็จะมีเสียงขำจากเเม่เเละพ่อเป็นระยะ ๆ 

          เห้ออ คิดเเล้วก็นึกถึงวัยเด็กเนาะ ที่ทำไรก็มีความสุขไปหมด ไม่เห็นมีความทุกข์อะไรเลย ตอนนั้นเรื่องที่วุ่นวายใจมากที่สุดก็คือของเล่นชิ้นโปรดพังไม่ก็โดนหมาเอาไปกัด หรือเห็นตัวการ์ตูนตาย ตอนนี้ละ อะไรๆก็มีเเต่ความเครียดไปหมดเลย
  •       สนามบินสุวรรณภูมิ  11:45
              เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะไปหาซื้อซิมเเละโทรหาคนที่จะพอมารับได้ ระหว่างเดินออกมาจากเกตนั้นได้ยินเสียงตามหลังมาไกลๆเป็นเสียงที่คุ้นเคยเเละเรียกชื่อที่คุ้นหูที่สุด 
           'คุณบี๋' เป็นสองประโยคสั้นๆเเต่ถึงกับหันไปเพราะเสียงที่ได้ยินนั้นทำให้รู้สึกคุ้นว่าจะเป็นคนที่เรารู้จัก พอหันไปก็จริงๆด้วย เป็นเสียงผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง ที่ตอนนี้ไม่ได้ใส่เหล็กดัดฟันเเล้ว เเต่ตอนที่เราจำภาพเขาได้เขายังใส่เหล็กดัดฟันอยู่ เเละเขาก็วิ่งเขามาเเละถามว่า 
           คุณบี๋ : กลับมาเเล้วหรอ ไม่ได้ยินข่าวเธอนานเลย
           เรา : พึ่งมาถึงเอง เเล้วมาทำไรที่นี้ 
           คุณบี๋ : ก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน ไม่เจอกันนานเลยนะ สูงขึ้นนะเราเนี่ย 
           เรา : ทำไมไม่สูงขึ้นเลยละ
           คุณบี๋ : เออใช่สิ เเละเป็นไง สบายดี?
           เรา : ก็โอเคนะ เเละนี้ใครมารับ
           คุณบี๋ : เอารถมาจอดไว้ข้างหลัง มีใครมารับป่าว
           เรา : ไม่มั่นใจอ่ะ
           คุณบี๋ : ถ้าไม่มีกลับด้วยกันได้ เดี๋ยวไปส่ง 

         เราก็พยายามมองหาเเละโทรหา เอออสิ่งที่ได้ก็กูต้องกลับเองสินะ .... 

         ก็พึ่งบารมีรถคุณบี๋เเละกัน พอขึ้นไปบนรถเราก็คุยกันสารพัดอย่างเเละก็พูดถึงเรื่องเก่าๆบ้างตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน เเละวิทยุช่อง 93.00 ที่เปิดฟังในตอนนั้นได้เปิดเพลงนึง เเละเมื่อเพลวนี้ขึ้นมาเราสองคนต่างหยุดคุยเเละตั้งใจฟังเพลง 

          'ถ้าบอกว่าเพลงนี้เเต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหม'

      เเละพอฟังไปสักพักเราก็ร้องออกมาพร้อมกันว่า 

         'ให้มันเพลงบนทางเดินเคียงที่จะมีเพียงเธอกับฉันอยู่ด้วยกันตาบนานๆ ดั่งในใจความบอกในกวี ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง คือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจฉันมีปลายทาง' 

        เเละเราสองคนต่างหัวเราะออกมาพร้อมกัน
        คุณบี๋ : ตอนนั้นเรามีความสุขมากเลยนะ
        เรา : เราขอโทษนะที่ทำให้มันพังไปเองอ่ะ
        คุณบี๋ : ไม่ต้องขอโทษหรอก ตอนนี้มันก็ไม่ได้เเย่นิ 
        เรา : (หันไปมอง) ขอบคุณเเละขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมานะ 
        คุณบี๋ : อย่ามาดราม่าได้ป่ะ มันผ่านมาเเล้ว อย่าไปทำกับใครอีกเเละกัน 
        เรา : ยังใช้เบอร์เดิมป่ะ เเละหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ลงไปเเละกดโทรออก
        เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
        คุณบี๋ : นี้ยังจำได้อ่อ ผ่านมาหลายปีเเละ
        เรา : ก็ไม่เคยลืม เเละทำไมไม่เปลี่ยน
        คุณบี๋ : ก็เพื่อจะมีใครสักคนโทรมา ถ้าเปลี่ยนก็ไม่มีอ่ะสิ 
     
        สิ้นประโยคนั้น ก็เลี้ยวรถมาจนถึงหน้าบ้านเราพอดี เเละก่อนจะลงรถเราเลยบอกว่า
        เรา : ขอบคุณมากนะ 
        คุณบี๋ : เลิกขอบคุณสักที
        เรา : ทุกอย่างนะ ที่ยังดีกับเราเสมอ
        คุณบี๋ : (เข้ามากอด กอดจนทำให้เราได้ยินเสียงหัวใจเขา )
         เราเข้าไป จับหัวเค้าอย่างเคยเเละลงไป โบกมือบายบายจนรถเข้าลับตาไปเเล้ว เเล้วเราค่อยหันหลังเเละเปิดประตูเข้าบ้านไป 
       
         โฮ่ง โฮ่ง โฮ่งงงงงง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in