เมื่อถึงเวลาต้องเดินทางเราก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะไม่ไป ....
10.40น. สนามบินสุวรรณภูมิ
เครื่องบิน บินออกจากรันเวย์ เรานั่งติดริมหน้าตาในชั้นธุรกิจ ที่เบาะก็กว้างพอตัว เเละก็ไม่ใช่การขึ้นเครื่องบินครั้งเเรกซะหน่อย เเต่ครั้งนี้ก็รู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเครื่องขึ้นได้สักพักก็จะมีเสียงนักบินพูดผ่านไมค์ด้วยเสียงนุ่มนวลเเละภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษที่ฟังเเล้วดูมีเสน่ห์ เเปลกๆ เเต่ถึงอย่างไรนั้น การนั่งเครื่องบินครั้งนี้ มันนานกว่าทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ไม่ได้พักผ่อนหรือหลับไปเเต่เป็นการนั่งเครื่องบิน ที่มองออกนอกหน้าตาเห็นปีกเครื่องบินยาวสุดตา เเล้วก็ปล่อยใจปล่อยความคิดไปกับก้อนเมฆที่จับรวมกลุ้มกับภายใต้ท้องฟ้า สีสดใส ทำให้เผลอไปคิดถึงเรื่องราวเรื่องนึงเข้า
ย้อนไปเมื่ออายุ 14 ปี
ตอนที่ยังเป็นเด็กวัยรุ่นน่าจะสักราวๆม.2 ได้ เเละน่าจะเทอม 2 ด้วย เรื่องราวตอนวัยรุ่นก็เหมือนเด็กปกติทั่วไป อาจโดดเด่นกว่าคนอื่นนิดนึงในเรื่องผลการเรียนเเละการสนิทสนมกับครูหลายท่าน ทำให้บางทีก็ได้เผลอเหลิง ทะนงตัวเอง ทำตัวเป็นจุดเด่นให้คนอื่นเขาหมั่นไส้ อยู่บ่อยๆ เเต่เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อตอน ที่ โรงเรียนได้จัดงานวิชาการขึ้น งานวืชาการนี้จะนำเสนอโครงงานของนักเรียนเเต่ระดับชั้น โครงงานที่ห้องเเต่ละห้องจะเข้าประกวด
ซึ่งวันนั้นห้องเราก็เข้าประกวด เเต่เผอิญไม่ชนะไง เลยหัวเสียกันไปเดินจากห้องประชุมที่ใช้เป๋นเวทีการประกวดในขณะนั้น เดินออกมาด้วยหน้าที่ไม่มีเเม้กระทั้งรอยยิ้มเเละกลายเป็นหน้าที่มีคิ้วชนกันเป็นนางยักษ์ด้วยปกติเราเป็นคนที่มีดวงตากลมโตกว่า เวลาโกรธจะเบิกตาออกมาให้เลยยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ในตอนนั้นได้เดินตรงดิ่วจากห้องประชุม มาที่ตึกเรียนเเละต้องเดินลัดสนามบาสที่ตอนนั้นพี่ม.6กำลังเล่นเเบทกันอยู่ ....
สนามบาส - ตึกม.ต้น
พี่ : น้องๆ พี่เอาตังมาให้50
(หันหน้าไปด้วยหน้ายังโกรธอยู่) พลางพูดออกมาว่า
เรา : อารมณ์ไม่ดีไปก่อนได้ป่ะ
เเละพี่เขาก็เดินออกไปอย่างงงๆ ตอนนั้นเราก็ยืนอารมณ์เสียกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง คุยกันออกรสออกชาติมากกว่าอะไร
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in