Rating: Teen And Up Audiences
Archive Warning (s) : None
Fandom (s) : TOMORROW X TOGETHER
Categories: M/M
Relationship: YEONJUN/SOOBIN
Characters: YEONJUN, SOOBIN, BEOMGYU, TAEHYUN, HUENINGKAI
Credit: ภาพปกโดย by okeykat on Unsplash
Work Title: Instinct
Notes: Omegaverse!AU
- มองเมินชื่อเรื่องไปเถอะค่ะ คิดไม่ออก เพราะสิ่งที่คิดยากที่สุดก็คือ ชื่อเรื่อง ?
- แรงบันดาลใจจากตอนยอนจุนใส่เสื้อที่จะให้น้องซูบินเป็นของขวัญมา แล้วก็ถอดให้น้อง ?
Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสียแก่บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงที่ถูกกล่าวถึงใด ๆ ทั้งสิ้น
เพศรองของซูบินคือโอเมก้า เรื่องนี้ถ้าบอกคนอื่นที่เพิ่งเคยเจอเขาครั้งแรกไป ไม่ว่าใครก็คงล้วนมีปฏิกิริยาเหมือนว่าเขาเพิ่งโกหกคำโต แต่ซูบินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์อะไรให้กับคนอื่น เพราะนอกจากมันจะไม่มีหลักฐานให้เห็นทนโท่แบบนั้นแล้ว เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอกด้วย ในยุคที่เพศรองไม่ได้ใช้ตัดสินการใช้ชีวิตในสังคม ตราบใดที่ยังอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสันติ ถ้าคนส่วนใหญ่หรือแฟนคลับจะคิดว่าเขาเป็นอัลฟ่าเพราะรูปร่างหน้าตาไปตรงกับสเตอริโอไทป์ส่วนใหญ่ของพวกอัลฟ่าตามตำราเรียนยุคโบราณหรือนิยายประโลมโลกนั่นก็สุดแล้วแต่ ขอเพียงไม่มีใครล้ำเส้นทำอะไรไม่มีมารยาทใส่เขา ซูบินก็คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องชี้แจงอะไรออกมา
แต่นั่นไม่ใช่กับคนที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเพื่อนร่วมวง
วันหนึ่ง หลังจากต้นสังกัดประกาศว่าพวกเขาต้องฟอร์มทีมเตรียมเดบิวต์ด้วยกัน ซูบินจึงตัดสินใจเรียกทุกคนมาคุยเรื่องสำคัญ
“เพราะพวกเราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ผมเลยคิดว่าต้องบอกไว้หน่อย”
ทีมของเขาประกอบด้วยเด็กหนุ่มห้าคน นอกจากเขาแล้วก็มีเด็กฝึกรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าชื่อ ชเวยอนจุน ที่เป็นเหมือนตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ของค่าย ด้วยตำแหน่งเด็กฝึกคะแนนประเมินอันดับหนึ่งมาตลอดตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในค่ายนี้ และอันดับหนึ่งคนที่พยายามจะคุยกับซูบินตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เขาเข้ามาทั้งที่ซูบินเป็นคนขี้อาย จนซูบินยอมเปิดปากด้วยในที่สุด
ถัดมาคือ ชเวบอมกยู รุ่นราวคราวเดียวกับเขา เจ้าคนที่ทำให้เขาสงสัยอยู่ตลอดว่า มีคนหน้าตาแบบนี้อยู่จริง ๆ ได้อย่างไร ตอนแรก ๆ เหมือนเงียบ ๆ แต่ความจริงเป็นคนพูดมากอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะดูวุ่นวายไปหน่อยแต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดี
มีรุ่นน้องอีกสองคน คนหนึ่งคือ คังแทฮยอน เป็นคนที่เสียงร้องดีและมีพลังมากสมตำแหน่งนักร้องหลักของวง นอกจากนี้ยังดูฉลาดและพึ่งพาได้อีกด้วย ส่วนคนสุดท้ายคือฮยูนิงไค อีกคนที่ทำให้ซูบินรู้สึกว่าโลกช่างน่าอัศจรรย์นักที่สร้างคนหน้าแบบนี้ขึ้นมาได้ ด้วยใบหน้าที่เหมือนรูปปั้นกรีกทำเอาซูบินสับสนอยู่นิดหน่อยว่าตัวเองอยู่ในโลกความจริงหรือเปล่า แต่เด็กก็คือเด็ก ทั้งที่อายุไม่ได้ห่างจากแทฮยอนมาก แต่ไคมักทำตัวเหมือนเด็กเล็กให้เขารู้สึกเอ็นดูอยู่เสมอ
ซูบินไม่เคยพูดเรื่องเพศรองกับคนพวกนี้เลยตั้งแต่รู้จักกันในฐานะเด็กฝึก ไม่เคยแม้แต่จะคาดเดาด้วย แต่วันนี้เขาคิดว่าจำเป็นต้องพูด
เขามองหน้าทุกคนในห้องซ้อมที่มองมาทางเขาอย่างรอคอย ก่อนจะเอ่ยออกมา
“เรื่องเพศรอง”
“…”
“ผมเป็น...”
“โอเมก้า” ยอนจุนโพล่งขึ้นมา
ซูบินขมวดคิ้ว “ผมยังไม่ได้พูดเลย”
“ฉันไม่ได้พูดเพราะเดาหรืออะไร แต่ฉันเป็นอัลฟ่า ฉันเลยรู้” คนอายุมากกว่าว่า “เราจะเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเพศรองอะไรตอนสิบแปดใช่ไหม แล้วพอใกล้ ๆ จะยี่สิบก็จะเริ่มสัมผัสได้ว่าคนที่อยู่ด้วยกันบ่อยๆ เป็นเพศอะไร แบบ” เขายกมือขึ้นเกาจมูกเหมือนขัดเขินที่จะต้องพูดสิ่งนี้ออกมาตรง ๆ “ฉันได้กลิ่นน่ะ”
ในยุคที่เพศรองไม่ใช่เรื่องที่คนจะพูดถึงเป็นประเด็นหลักในใช้ชีวิต การบอกว่า ได้กลิ่น เพศรองอื่นให้ความรู้สึกพิกลอยู่บ้างเหมือนกัน อาจถูกตีความได้ว่ากำลังคุกคามอยู่ก็ได้ แต่เพราะรู้เจตนากันดีซูบินจึงไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
เขาตกใจมากกว่า เพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“งั้นเรื่องกลิ่นก็น่ากังวล ถ้าเกิดคนอื่นรู้แล้วคิดไม่ดีน่าจะแย่นะครับ” แทฮยอนว่าต่อ “มันมีวิธีไหนบ้างไหมที่ช่วยกลบกลิ่นโอเมก้า”
“ถ้าอยู่กับอัลฟ่าตลอด กลิ่นอัลฟ่าก็กลบได้หมดแหละ” บอมกยูตอบ “แล้วก็ ฉันเป็นอัลฟ่าเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยได้กลิ่นนายนะ” เขาหันมาบอกซูบิน
ซูบินเงียบ “นายก็ด้วยเหรอ”
“ผมยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าตัวเองก็น่าจะเป็นอัลฟ่าด้วยเหมือนกันครับ” ฮยูนิงไคพูดต่อยิ้ม ๆ
โอเมก้าเพียงคนเดียวนิ่งอึ้ง เขาหันไปทางแทฮยอนอย่างมีความหวัง
“ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นเบต้านะ แต่ก็ไม่แน่ อาจจะต้องรอดูอีกที”
เพราะตอนนั้นไคกับแทฮยอนยังอายุไม่ถึงสิบแปดดี ลักษณะเฉพาะของเพศรองจึงยังไม่ชัดมาก
ซูบินรู้ดีว่าตัวเองแอบเห็นแก่ตัวอยู่หน่อย ๆ ที่อยากให้มีโอเมก้าอีกสักคนในวง อย่างน้อยก็จะได้ช่วยกันแบ่งปันความหนักใจบ้าง แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เห็นใจเขาขนาดนั้น
หรือไม่ วิธีแสดงความเห็นใจของพระองค์ก็แปลกประหลาดนัก
หลังจากเดบิวต์อย่างเป็นทางการ แม้จะไม่ได้ประกาศออกไปว่าเพศรองของสมาชิกวงคืออะไรกันบ้าง แต่แฟนคลับก็เดากันไปว่า ทุกคนน่าจะเป็นอัลฟ่าหมด ยกเว้นบอมกยู
“พล็อตทวิสต์สุด ๆ” ฮยูนิงไคขำ “แต่พี่บอมกยูก็ดูตรงตามขนบโอเมก้าในหนังสือเรียนอยู่นะ”
“หนังสือเรียนนายไม่อัปเดตหรือไง” คนถูกเข้าใจผิดขมวดคิ้ว
พวกเขาไม่ได้ถือสาเรื่องการอนุมานไปเองพวกนี้มากนัก อย่างเช่นที่ซูบินเคยพูดไว้ว่า ขอแค่ไม่ล้ำเส้นมากเกินไป จะคิดอะไรก็ตามสบาย
ตอนนั้นซูบินบอกกับผู้จัดการเรื่องเพศรองของแต่ละคนไปแล้ว อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของตัวพวกเขาเอง ระยะเวลาช่วงนั้นไม่มีอะไรให้น่ากังวล แต่ของแบบนี้นึกอยากจะเกิดก็เกิด
ความวุ่นวายครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อซูบินฮีตเป็นครั้งแรก
กลางฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ ชเวซูบินกลับรู้สึกร้อนรุ่มอย่างประหลาด
เขาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการวิงเวียนคล้ายจะหน้ามืด รู้สึกร่างกายร้อนผ่าวราวกับจะเป็นไข้ เมื่อเปิดประตูห้องออกมาจะล้างหน้าเตรียมไปซ้อมเต้นตามตาราง ก็เจอสายตาตกตะลึงจากยอนจุนและบอมกยูที่กำลังกินกาแฟอยู่ที่โต๊ะ
ฮยูนิงไคผละจากขนมปังปิ้งมามองเขา ปลายจมูกโด่งฟุดฟิดก่อนเอ่ย “กลิ่นสดชื่นจัง เหมือนแดดหน้าร้อนเลย”
สาบานว่าซูบินไม่ได้กลิ่นอะไรที่ว่านั่นเลย แต่ยอนจุนกับบอมกยูกลับมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน
แทฮยอนที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จพุ่งเข้ามาหาเขาแล้วผลักเขาเข้าไปในห้องพร้อมกับปิดประตู ซูบินมองหน้ารุ่นน้องแรงมหาศาลตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มไหววูบเล็กน้อยก่อนเอ่ย “พี่น่าจะฮีต”
“…”
ซูบินประมวลผลไม่ทัน เขามองหน้าแทฮยอนด้วยความสับสน ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นเบา ๆ จากด้านนอก
“ซูบิน”
เสียงยอนจุน
“พี่โทร.หาพี่ผู้จัดการแล้ว เดี๋ยวเขาเอายามาให้ วันนี้นอนพักก่อนก็ได้”
“เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ซูบินเองครับ” แทฮยอนว่า “พวกพี่ไปซ้อมกันเถอะ ไม่ต้องห่วง”
“…โอเค”
เขาได้ยินเสียงยอนจุน บอมกยู และฮยูนิงไคทยอยออกจากห้องไป ตลอดเวลานั้น ซูบินขดตัวอยู่ในผ้าห่ม มีแทฮยอนนั่งอยู่ข้างเตียงเขาด้วยความกังวล
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ซูบินเริ่มรับรู้ได้ว่า เพศรองนี้อาจจะทำให้เขาใช้ชีวิตยากขึ้นกว่าที่ตัวเองเคยคาดไว้
สิบนาทีหลังจากที่ยอนจุนโทร.ไป พี่ผู้จัดการแวะเอายาและคำแนะนำการจัดการตัวเองมาให้ พอกินยาเข้าไปซูบินก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนเฉย ๆ ในห้องด้วยความอ่อนแรง รู้สึกตัวอีกทีท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว ซูบินรับรู้ความเคลื่อนไหวของคนอื่น ๆ ที่ทยอยกลับเข้ามาจากในห้อง ได้ยินเสียงพูดคุยดังอยู่อีกฝั่งของประตู แต่ไม่อยากเปิดออกไป
‘ถึงจะกินยาแล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างกรณีที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาก็จะห้ามยาก หรือถ้าเกิดว่าอัลฟ่านั่นเกิดอยู่ในช่วงไม่ปกติขึ้นมาก็อาจจะแย่เอา’ ผู้จัดการที่เป็นเบต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับพ่อคุยกับลูก ‘ระหว่างนี้อยู่ในห้องไปก่อน พอกินยาระงับไปแล้วคิดว่าพรุ่งนี้กลิ่นน่าจะจางลง อาการฮีตเกิดขึ้นไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องลาให้ ไม่ต้องห่วงนะ’
‘แล้วผมต้องเป็นแบบนี้ทุก ๆ สามเดือนเลยเหรอครับ’
คำถามของเขาทำให้พี่ผู้จัดการหน้ายุ่งขึ้นมาทันที ซูบินจึงถอนหายใจ
‘ขอโทษครับ ไม่น่าถามเลย ก็น่าจะรู้อยู่แล้วเพราะเรียนมา’
‘ไม่ใช่ความผิดของซูบินหรอกนะ เข้าใจได้ มันเป็นธรรมชาติน่ะ’
ธรรมชาติใจร้ายชะมัด
เพราะอย่างนั้น ทั้งวันซูบินจึงอยู่แต่ในห้อง มีอะไรก็ให้แทฮยอนออกไปหยิบให้เพราะไม่อยากให้กลิ่นตัวเองกระจายไปทั่วหอพักจนอัลฟ่าที่เหลือไม่เป็นอันทำอะไรกัน แทฮยอนก็ดูแลเขาดีจนซูบินเกรงใจ
‘ถ้าพวกเราไม่ดูแลกันเอง ใครจะทำล่ะครับ’
‘…’
น้อง ๆ ของเขานี่น่ารักกันจริง ๆ
พอทุกคนทยอยกลับมาแล้วแทฮยอนจึงออกไปพูดคุยกับคนอื่นบ้าง รายงานสิ่งที่ผู้จัดการบอกให้ทุกคนฟัง ซึ่งตรงกับที่ผู้จัดการแวะไปบอกพวกอัลฟ่าที่บริษัทมาแล้ว
เขาทรุดตัวลงนั่งพิงประตู รู้สึกอึดอัดทั้งร่างกายและหัวใจ แม้จะกินยาระงับไปแล้ว แต่อะไรที่มันพลุ่งพล่านอยู่ข้างในก็ยังทำตามสัญชาตญาณอย่างร้ายกาจจนเขาหงุดหงิด
“กังวลเหรอ”
เสียงจากอีกฝั่งของบานประตูดังขึ้น
“พี่ยอนจุน?”
“เป็นไงบ้าง”
“คนอื่นล่ะครับ?”
“เข้าห้องกันไปหมดแล้ว” อีกฝ่ายตอบ “วันนี้เหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
“อืม” ซูบินกอดเข่า “ไม่นึกว่ามันจะแย่แบบนี้”
“…ไม่เป็นไรหรอกนะ”
แม้จะไม่เห็นหน้ากัน แต่น้ำเสียงอบอุ่นนั้นทำให้ซูบินน้ำตารื้นขึ้นมาดื้อ ๆ
“ยังไงซูบินก็มีทุกคนอยู่ด้วย ไม่เป็นไรแน่นอน”
“…ขอบคุณครับ”
เขาพูดได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ ก่อนที่ก้อนสะอื้นลูกใหญ่จะพุ่งขึ้นมาจนทำได้เพียงร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ข้างประตู และคิดไปเองว่า ยอนจุนคงนั่งฟังเขาร้องทั้งคืนอยู่ที่อีกฟากของประตูนั้น
แล้วซูบินก็ได้รู้ว่า วันแรกเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะวันที่สองของการฮีต ทุกอย่างแย่ลงกว่านั้น
เขาได้กลิ่นยอนจุนกับบอมกยู
“น่าจะเพราะฮีตแรกเลยเป็นแบบนี้” แทฮยอนขมวดคิ้ว “ที่ยังไม่ได้กลิ่นฮยูนิงน่าจะเพราะนายยังไม่โตพอ”
“อะไรเล่า แต่ฉันได้กลิ่นพี่ซูบินนะ”
“ก็เพราะพี่เขาฮีตไง”
ซูบินที่กินยาระงับฮีตไปแล้วนั่งอยู่กลางห้องนั่งเล่น เพราะแทฮยอนตัดสินใจว่า การขังซูบินไว้ในห้องคนเดียวมันแย่เกินไป ซูบินไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นทุกคนก็ควรจะเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกันได้ เพราะนี่คงไม่ใช่ครั้งเดียวที่พวกเขาต้องเผชิญสถานการณ์แบบนี้
เขากอดเข่าก้มหน้านิ่ง ไม่อยากสบตากับใคร ซุกจมูกไว้ตรงเข่าตัวเองเพราะกลิ่นของอัลฟ่าสองตัวทำให้อยู่ไม่เป็นสุข บอมกยูกลิ่นเหมือนแอปเปิล ยอนจุนกลิ่นเหมือนมินต์ มันคงจะดีถ้าเป็นกลิ่นจาง ๆ ไม่ใช่กลิ่นอวลฉุนไปทั่วทั้งห้อง ซึ่งซูบินมั่นใจว่า ไม่ใช่เพราะสองคนนั้นตั้งใจปล่อยกลิ่นหรืออะไร แต่เขาเซนซิทีฟขึ้นช่วงฮีต และอัลฟ่าน่าจะถูกกระตุ้นจากกลิ่นของเขา
พระเจ้า ถ้าฮยูนิงโตเต็มที่เขาจะอยู่ยังไงเนี่ย
บอมกยูนั่งมองเขาอยู่ห่าง ๆ ที่โต๊ะกินข้าว ขณะที่ยอนจุนยืนมองเขาอยู่ตรงหน้าทีวี ท่าทางของทั้งคู่ไม่เหมือนปกติ แต่เหมือนสัตว์ร้ายที่รอดูท่าทีจะพุ่งเข้าหาเหยื่อมากกว่า
ซูบินเงยหน้าขึ้นมาแล้วเผลอสบตายอนจุน
ในอกเขาร้อนวูบ ซูบินจึงก้มหน้าลงไปทันที
“…พวกเราก็เพิ่งเคยเจอสถานการณ์นี้กัน ยังไงผมคิดว่าก็ต้องหาทางคุยกันดี ๆ ให้ได้” แทฮยอนทำตัวเป็นทูตสันถวไมตรีเข้ามาตรงพื้นที่ตรงกลางระหว่างโซฟาที่ซูบินนั่งกับทีวีที่ยอนจุนยืนอยู่ “อัลฟ่าก็ต้องกินยาร่วมไปด้วยนะครับ ช่วงนี้ เราจะได้อยู่กันได้อย่างสบายใจนะ”
เทคโนโลยีสมัยนี้ไม่ได้มีแค่โอเมก้าที่มียาระงับฮีตเท่านั้น แต่อัลฟ่าเองก็มียาระงับอาการถูกกระตุ้นจากกลิ่นของโอเมก้าเหมือนกัน
แทฮยอนยื่นแผงยาให้อัลฟ่าโตเต็มวัยสองคน “กินด้วยนะครับ”
ยอนจุนกับบอมกยูรับไปแล้วรีบเทน้ำใส่แก้ว กินยาทันที หลังจากนั้นประมาณห้านาทีกลิ่นที่เคยอวลในห้องจนซูบินแทบจะบ้าตายก็จางลง
ขอบคุณวิทยาการทางการแพทย์ เช้าวันนั้นจึงไม่มีเหตุน่าสะพรึงกลัวใด ๆ เกิดขึ้น
แต่นอกจากอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ของตัวเองแล้ว ซูบินได้เรียนรู้อีกว่า ช่วงฮีตเขาจะรู้สึกโหยหาสัมผัสจากคนอื่นเป็นพิเศษ
วันแรกเขาแทบสิงแทฮยอน แต่อีกฝ่ายไม่ได้ติดใจอะไร พอตกกลางคืนต้องนอนคนเดียวก็รู้สึกหงุดหงิดจนนอนไม่ได้ และหลับไปเพราะเพลีย พอตื่นมาเจอกลิ่นอัลฟ่าก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอีกแล้ว หลังจากอัลฟ่าทั้งสองกินยาไปพวกเขาจึงมานั่งประชุมแผนงานด้วยกันอย่างจริงจัง ตอนนั้นเองที่ซูบินตัดสินใจเข้าไปเกาะแขนยอนจุน
“…”
ยอนจุนตัวแข็งทื่อ
“…พี่ซูบินมานั่งข้างผมดีกว่าไหมครับ” แทฮยอนว่า
ซูบินส่ายศีรษะจนผมปลิว “ตรงนี้แหละ”
เงียบกันไปชั่วขณะ ก่อนที่แทฮยอนจะทำเป็นไม่เห็นแล้วพูดเรื่องงานต่อ
ซูบินกอดแขนยอนจุนไว้ ศีรษะก็พิงไหล่ของคนอายุมากกว่า หูเขาฟังคำพูดของแต่ละคน แต่อีกใจก็จดจ่ออยู่ที่กลิ่นมินต์จาง ๆ จากคนข้างตัว
รู้สึกดีจัง
คิดแบบนั้นแล้วก็นึกอยากหลับตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาขยับตัวให้ชิดอีกคนมากขึ้นอีกหน่อยก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง
แล้วซูบินก็หลับไปทั้งแบบนั้น
ชเวยอนจุนยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดหว่างคิ้วตัวเองเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอจากคนที่ใช้ไหล่เขาต่างหมอน ใช้แขนเขาต่างหมอนข้าง
พอจะรู้อยู่บ้างว่าอาการเรียกร้องหาสัมผัสแบบนี้เป็นอาการช่วงฮีตของโอเมก้า แต่ก็ทำเอาอัลฟ่าแบบเขาไปไม่เป็นเหมือนกัน
ทุกคนมองมาทางเขากับซูบิน ก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วคุยกันต่อ
ยอนจุนถอนหายใจ ปฏิกิริยาแบบนี้น่าจะดีกว่า เขาเหลือบมองเจ้ารุ่นน้องแก้มกลมแล้วยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นเบา ๆ
“อือ...”
“…”
นึกไม่ถึงว่า ซูบินจะหลุดครางออกมาด้วยความพึงพอใจ และทำให้ทุกคนตรงนั้นนิ่งไปอีกครั้ง
“…ผมว่าเราพอเถอะ”
แทฮยอนยอมแพ้
“พี่ซูบินน่ารักจัง” ฮยูนิงไคคลานเข้ามาหาพวกเขาที่นั่งพิงโซฟาเหมือนลูกหมาตัวเล็ก ๆ “ดูแก้มสิ”
“เดี๋ยวพี่เขาตื่นหรอก” บอมกยูว่า “พี่ยอนจุนพาพี่ซูบินไปนอนเถอะ เดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมงเราค่อยไปซ้อมกัน”
เขาพยักหน้ารับ จัดการอุ้มคนที่ตัวสูงกว่าเขานิดหน่อยขึ้นมาด้วยการช้อนข้อพับเข่าและประคองช่วงหลังคอไว้ ซูบินซุกหน้าเข้าหาเขาทันทีทำเอายอนจุนเกือบหน้ามืด
ถึงเขาจะกินยาไปแล้วเหมือนกัน แต่แบบนี้ก็อันตรายเหมือนกันนะ
เขาพาซูบินไปส่งที่เตียงในห้อง พอร่างกายของเจ้าของห้องสัมผัสเตียง ยอนจุนก็เตรียมจะผละออก แต่มือขาวนั้นรั้งเสื้อเขาไว้ก่อน
“…”
“…”
“…ทำไมครับ”
เขาตัดสินใจลงไปนั่งบนเตียงคุยกับคนที่ลืมตามามองเขาด้วยดวงตากลมใสแป๋ว
ผิวแก้มที่ปกติขาวสว่างเหมือนก้อนแป้งโมจิของซูบิน วันนี้มีสีเลือดฝาดแต่งแต้มขึ้นมา อาจจะเพราะอาการฮีตที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ริมฝีปากอิ่มนั้นเม้มเข้าหากันก่อนเอ่ยทั้งที่ยังรั้งเสื้อเขาไว้
“…กอดหน่อยได้ไหมครับ”
“…”
“นอนคนเดียวไม่ได้เลย”
ด้วยน้ำเสียงและสายตาแบบนั้น ชเวยอนจุนจะไปปฏิเสธอะไรได้
เขาหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างคนอายุน้อยกว่าก่อนจะซุกตัวตามเข้าไปด้วย พอซูบินเห็นเขานอนข้าง ๆ ก็แทบจะขึ้นมานอนเกยบนตัวเขา ฝังใบหน้าลงแถวไหปลาร้าเขาอย่างอุกอาจ แถมกอดรัดแน่นเหมือนเขาเป็นตุ๊กตาก็ไม่ปาน
ดูท่าจะไปซ้อมสายกว่าที่นัดกับบอมกยูเสียแล้ว
ยอนจุนคิดในใจ พลางยื่นมือนวดไล้หลังคอของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ไปด้วย สัมผัสนุ่มหยุ่นนั่นก็เพลินมือดี คนที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่ข้าง ๆ ก็ชวนให้สบายใจจนอยากหลับบ้างเหมือนกัน
เอาเป็นว่า ขอนอนบ้างแล้วกัน ถ้าบอมกยูมาปลุกก็ค่อยว่ากันอีกที
ซูบินสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว พอรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนก็สับสนเพราะจำไม่ได้ว่าเข้ามานอนในนี้ได้ยังไง เขาได้กลิ่นมินต์จาง ๆ อวลอยู่ในห้อง แล้วพบว่ามันมาจากเสื้อคลุมที่อยู่ตรงที่ว่างอีกฝั่งของเตียง
กลิ่นพี่ยอนจุน...?
เขานึกย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“…กอดหน่อยได้ไหมครับ”
“…”
“นอนคนเดียวไม่ได้เลย”
“…”
เวร
ความรู้สึกอบอุ่นตอนนอนนั่นไม่ได้คิดไปเอง แต่เขากอดยอนจุนจนหลับไปจริง ๆ เหรอ
ซูบินอยากเอาหน้ามุดดินหายไป ความอับอายทำให้ผิวหน้าร้อนเห่อขึ้นมาจนรู้สึกได้ เขาเปิดประตูออกจากห้องนอนไปหาน้ำดื่มหวังจะดับความกระหายในใจ ก่อนจะพบว่าด้านนอกมีใครคนหนึ่งอยู่
“…บอมกยู”
เจ้าของชื่อละสายตาจากน้ำดื่มในครัวมามองเขา
“ยังไม่นอนเหรอ”
“…อืม”
ปกติการออกมาเจอเพื่อนร่วมหอในพื้นที่ส่วนกลางตอนกลางดึกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อเขาเป็นโอเมก้าที่กำลังฮีต และอีกฝ่ายเป็นอัลฟ่า ซูบินก็อดรู้สึกระวังตัวเป็นพิเศษไม่ได้
บอมกยูมองเขาที่ยืนห่างไปหลายช่วงตัวแล้วขำ มือคว้าแก้วน้ำว่างเปล่าใบหนึ่งมารินน้ำใส่ แล้ววางบนโต๊ะกินข้าวตรงหน้าเขา
“อะ”
“…ขอบคุณ”
“ระวังกันขนาดนั้นเลยนะ”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ” ซูบินคว้าแก้วมายกน้ำขึ้นจิบ “เกิดนายหน้ามืดขึ้นมา คนซวยคือฉันนะ”
“รู้น่า ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ชายหนุ่มว่า เท้าแขนกับโต๊ะแล้วมองเขาด้วยดวงตากลมโตที่ซูบินคิดอยู่เสมอว่า พระเจ้าช่างปั้นมันคือแบบนี้เองสิ “แต่ทั้งที่เราสนิทกันมากแท้ ๆ แต่ต้องมารู้สึกแปลก ๆ เพราะเรื่องนี้ มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ เลยนะ”
ดูเหมือนจะไม่ได้หงุดหงิดแค่ปากพูด แต่คิดแบบนั้นจริง ๆ ซูบินสัมผัสกระแสความอารมณ์เสียจากอีกฝ่ายได้ผ่านกลิ่นแอปเปิลที่เข้มขึ้นมาเล็กน้อย
เขากระแอมเบา ๆ “เอาเถอะ พ้นอาทิตย์นี้ไปก็ไม่มีอะไรแล้ว ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ”
บอมกยูส่ายหน้า “ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นแหละ” ก่อนจะเดินมาหาเขา “กอดไหม”
“ฮะ?”
“ก็กอดเฉย ๆ ไง ไม่ได้เหรอ”
“…ก็ได้หรอก”
ซูบินวางแก้วน้ำแล้วอ้าแขนรอให้อีกฝ่ายเดินมากอด พวกเขากอดกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรเป็นพิเศษ
บอมกยูวางคางตรงไหล่เขา เขาลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ แต่กอดกันได้ครู่เดียวอีกฝ่ายก็ผละออก
“…พี่ยอนจุนนอนด้วยเหรอเมื่อกี้”
“อ๋อ ใช่” ซูบินกะพริบตาปริบ ๆ “แต่ออกไปตอนไหนไม่รู้เหมือนกัน ได้ไปซ้อมด้วยกันมาไหมนะ”
“ซ้อมสิ นี่นายหลับยาวเลยสินะ”
“…แหะ”
ซูบินได้แต่ขำแห้งใส่
บอมกยูไม่ได้ว่าอะไรแต่ผละออกจากเขา ชายหนุ่มย่นจมูกเล็กน้อย ก่อนพึมพำ “ทิ้งกลิ่นไว้ขนาดนี้เลยนะ”
เขาเลิกคิ้ว “หมายถึง?”
“พี่ยอนจุน”
“…”
“กลิ่นมินต์เต็มตัวพี่เลย”
“…อ้อ”
“ได้กลิ่นแล้วนึกถึงมินต์ช็อค”
“…ไปนอนได้แล้วไป”
ซูบินแกล้งผลักอีกฝ่ายออก บอมกยูหัวเราะเบา ๆ ในคอก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง ซูบินถอนหายใจ ดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้วเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในห้องบ้าง
แต่จังหวะนั้นเอง เขากลับชะงัก แล้วมองประตูห้องของยอนจุนอยู่ขณะหนึ่ง
ทิ้งกลิ่นเหรอ
ไม่แน่ใจว่ายอนจุนตั้งใจทำแบบนั้นหรืออะไร แต่ซูบินคิดว่า คงไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก
เขาเลิกคิด แล้วกลับเข้าห้องตัวเอง
อ้อมกอดของซูบินทำเอายอนจุนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะต่อว่าอะไรอีกฝ่าย ชายหนุ่มปล่อยให้เจ้ารุ่นน้องอายุน้อยกว่าตักตวงความอบอุ่นจากตัวเองให้เต็มที่ ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้สึกสงบใจจนไม่อยากลุกจากไป แต่ถ้ามีคนเปิดประตูเข้ามาคงรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อย ดังนั้นไม่ว่ายังไงเขาก็คงต้องออกไปจากตรงนี้อยู่ดี
“…”
แต่พอจะหันไปปลุกคนข้าง ๆ ให้นอนดี ๆ ก็กลับใจอ่อนทำไม่ลง
อาการโหยหาสัมผัสของโอเมก้าช่วงฮีตเกิดจากความอยากใกล้ชิดอัลฟ่า การกินยาก็แค่ระงับความใคร่ทางเพศแต่ความรู้สึกอยากกอดอยากสัมผัสอัลฟ่าก็ไม่ได้จางหายไปเสียทีเดียว ดังนั้นถ้ามีกลิ่นอัลฟ่าใกล้ ๆ ก็อาจจะทำให้เรื่องง่ายขึ้น
พอคิดแบบนั้น ยอนจุนก็คว้าร่างของซูบินมากอดให้แน่นขึ้นอีกนิด กลิ่นมินต์เข้มข้นขึ้นมาในอากาศจนน่าจะอวลไปทั้งห้องและคงติดอยู่อีกพักใหญ่ จากนั้นเขาก็พยายามถอดเสื้อนอกของตนออก ปั้นมันเป็นหมอนข้างไว้ในอ้อมแขนของซูบิน เขามองอีกฝ่ายฝังจมูกลงในเสื้อของตนแล้วก็เผลอยิ้มออกมา รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอกดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากนวลนั่นเสียแล้ว
“…”
น่าจะเป็นเพราะสัญชาตญาณแหละมั้ง...
ชายหนุ่มเสยผมตัวเองอย่างว้าวุ่นใจ ก่อนจะรีบลงจากเตียงแล้วตรงไปที่ประตู
เมื่อหันกลับมาเห็นชายหนุ่มที่เติบโตมาด้วยกันกำลังหลับอย่างเป็นสุขโดยมีเสื้อของเขาคลุมร่างอยู่ ในใจของชเวยอนจุนก็เกิดรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา
เขาเปิดประตูออกไปทันที สะบัดศีรษะไปมาเร็ว ๆ เพื่อสลัดความรู้สึกแปลก ๆ ออกไป
สัญชาตญาณเฉย ๆ นั่นแหละ
แค่สัญชาตญาณเท่านั้นแหละ...
FIN
211216
เขียนมาหลายวัน เพิ่งจบค่ะ แงแงแง อาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายของปีนี้ก็ได้ ดังนั้นก็ขออวยพรทุกคนไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ
ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ไม่โหดร้ายกับทุกคนจนเกินไปนะคะ ? แล้วก็หวังว่าจะได้เขียนฟิคน้องทีเร้กไปยาว ๆ /ถ้ามีกำลัง (...)
ขอบคุณสำหรับปีนี้มากค่ะ คอมเมนต์กันได้ในนี้เลยน้า ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in