เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มายสตอรี่...เวลาสิบหก
อรุณจิตประภัสร์
  • เขียนอะไรดี...เอาเรื่องนี้ดีกว่า "เพศสภาพและความสัมพันธ์" วันนี้ดันเจอเหตุการณ์นึง จริง ๆ เป็นเรื่องทั่วไปที่คุยเล่นกัน แต่คิดไปคิดมามันมีมุมที่จริงจังบางอย่างอยู่ด้วย...
    ...มีคนถามว่า ถ้าเราเจอคนหล่อๆ หรือในแบบที่เราชอบเลย แล้วเค้าก็ชอบเรา แต่! เค้ามีเมียแล้วนะ  เราจะทำยังไง? จะเอามั้ย? เล่นด้วยหรือเปล่า?...ตอนนั้นเราตอบไปอย่างไม่ต้องคิดให้ยากเย็นเลยว่า
    "ไม่เอา" ถ้าเค้ามีครอบครัวแล้วคือทุกอย่างจบ อันนี้ไม่ได้ตอบให้ดูดีแต่อย่างใดนะ แต่เค้าก็ยังแซวเราว่า "จริงรึ? ไม่ใช่เมียเผลอแล้วค่อยว่ากันนะ555"  สำหรับเราแล้ว อารมณ์ตอนนั้นเราไม่ตลก...แต่เราก็ไม่ได้อารมณ์เสียอะไรนะ แค่รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องตลกจริง ๆ 
    ทำไมมันไม่ตลก?...
    ทำไมเราไม่คิดแบบนั้น?...
    มันมีสตอรี่ มีเรื่องราวบางอย่าง...

    .....อย่างแรก ต้องย้อนกลับไปสมัยเราอยู่ม.6 ประมาณปี 2543-2544 ประมาณนั้น แม่เรามีอาชีพค้าขาย ขายผักขายหญ้า ผลไม้ หมู ปลา ไข่ ไก่ กะปิ น้ำพริกน้ำปลา ยาสำเร็จรูปทั้งหลายแหล่ หรือที่เรียกทั่ว ๆ ไปว่า ร้านขายของชำ เป็นร้านไม่เล็กไม่ใหญ่ที่คุมปากท้องคนในหมู่บ้านไว้ แม่ขายถูกที่สุด ลดแลกแจกแถมแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตอาย แต่น่าแปลกที่ได้กำไรเยอะที่สุดด้วย และสิ่งที่แม่ขายอีกอย่างด้วยคือ หวย ใช่ หวยใต้ดินเนี่ยแหละ แล้วก็ไม่รู้ว่าเอาเลขมาจากไหน ถูกเกือบทุกงวด ทุกวันหวยออก โทรศัพท์ทุกสายเป็นของแม่ทั้งหมด ไม่ต้องไปคิดจะรับสายแทนเลย เล่นหวยกันมาเนินนาน จนมีอยู่ครั้งนึง ไม่รู้ว่าเกิดการได้กำไรอะไรกันขึ้นมากมาย เจ้ามือหวยที่สนิทกับแม่ ก็ชวนไปเที่ยววัด แต่คือนู้นนน ไกลมาก อยู่นครพนมโน่นแน่ะ ข้ามภาคเลยนะนั่น ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แค่อยากไปเที่ยวก็เลยไปกับแม่ด้วย จำได้ว่านั่งรถกระบะไป เป็นกระบะที่มีหลังคาผ้าเต๊นท์โครงเหล็กอ่ะ นึกภาพออกมะ เออ นั่นแหละประมาณนั้นเลย (สมมุติว่านึกภาพออกเนอะ) นั่งไปนานมากกกก แวะพักตามทางไปเรื่อย ๆ มีแวะพักกินข้าวเย็นกันตรงข้างทางที่เป็นที่ดินว่าง ๆ ด้วยนะ เอาเสื่อออกมาปูแล้วนั่งล้อมวงกินกัน เป็นพวกข้าวเหนียว หมูทอด ไก่ทอด น้ำพริกปลาร้า(แซ่บลืม) อะไรพวกนี้ เดินทางกันกว่าจะถึงวัดก็มืดค่ำแล้ว มืดแบบมืดตึ๊ดตื๋อทำไมมันมืดตึ๊ดตื๋อ ...ถุยยย --" เป็นอันว่า ถึงวัดโดยสวัสดิภาพ เหนื่อยและเหนอะหนะมาก เรานอนกันตรงลานใกล้ ๆ กับห้องครัว เป็นที่โล่ง ๆ เหมือนเป็นที่ให้แม่ครัวมานั่งเด็ดพริก ปอกหอม แล้วนั่งเม้ากันได้ ตอนแรกก็ทำว่าว่าจะนอนกันตรงนี้ปูที่นอนกางมุ้งกันเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ ใครก็ไม่รู้ดันบอกว่า วัดมีศาลากลางน้ำไปนอนกันน่าจะเย็น แล้วก็เทเฮละโลกันไป ในใจเราคิดว่า เห้ย มันจะเย็นได้ไง น้ำมันคายความร้อนช้ากว่าดิน มันน่าจะร้อนมากกว่านะตอนกลางคืนแบบนี้ แล้วพอเราไปถึงทุกคนก็ เอ๊ะ ทำไมอากาศมันอ้าว ร้อนกว่าเดิมอีก จริง ๆ ที่เดิมก็เย็นดีอยู่แล้ว หาเรื่องแท้ ๆ แล้วก็เฮละโลกันกลับมานอนที่เดิม เสียเวลานอนกันไปโดยใช่เหตุ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แม่กับแฟนเจ้ามือหวยก็ตื่นมาทำกับข้าวสำหรับถวายพระกัน หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเราก็พากันไปใส่บาตรกันที่ศาลาวัด ลืมบอกไปเลย วัดนี้เป็นวัดป่าที่อยู่ติดกับภูเขา ตัวศาลาที่ถวายภัตตาหารพระกับพวกกุฏิ มักจะสร้างอยูบนโขดหินใหญ่ๆ 
    ใกล้ ๆ กับไหล่เขา นอกจากสีจีวรแล้วสิ่งที่ทำให้เราเห็นถึงความเป็นวัดป่าก็คือ พระท่านฉันมื้อเดียว แล้วก็ฉันรวมอยู่แค่ในบาตรท่าน ของฉันทุกอย่างรวมกันอยู่ในนั้น หยิบเท่าที่ท่านจะฉันแล้วไม่หยิบเพิ่มอีก สิ่งที่เราเห็นตอนนั้นคือ ท่านนั่งเรียงลำดับอาวุโสเหมือนปกติทั่วไป แต่ตอนท่านจะเริ่มฉัน จะมีรถไม้คันเล็ก ๆ ในนั้นจะมีกับข้าว ขนม ที่ญาติโยมใส่บาตรมา ท่านก็จะเลือกหยิบเฉพาะที่ท่านจะฉันใส่ในบาตรท่านเอง เมื่อพอแล้วท่านก็จะไสรถให้พระรูปอื่นต่อไปได้หยิบบ้าง ดูน่าชื่นชม ดูแล้วมีศรัทธาบอกไม่ถูก หลังจากท่านฉันเสร็จเราก็ไปกินข้าวแล้วก็รอไปพบกับท่าน ณ ที่พักของท่าน 
    ...อืมม มันไม่ใช่กุฏิ จะเรียกอาศรมได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ มันเป็นที่ ที่เอาไว้ให้ญาติโยมได้มากราบ มาพบปะสนทนากับท่าน เอ้อ ลืมบอกไปอีกอย่างนึงด้วย ว่าตอนก่อนหน้าที่เค้าชวนมานั้น เค้าบอกว่า  "ท่านเป็นพระอรหันต์ ที่ยังมีชีวิตอยู่" ครั้งแรกที่ได้ยินคืออะไร..."ไม่เชื่อ" เพราะเราไม่คิดเชื่อหรอกว่า สมัยนี้จะยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปนะ เถียงในใจเฉย ๆ ฉันแค่อยากมาเที่ยว กลับมาที่เราได้เจอท่านละ ตอนนี้มีด้วยกันทั้งหมด7 คน คือ เรา แม่เรา หลานเรา เจ้ามือหวย แฟนเจ้ามือ เพื่อนเจ้ามือกับลูกเจ้ามือซึ่งก็เป็นเพื่อนกับเราด้วย แน่นอนว่ามาถึงก็ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติคือกราบนมัสการท่าน พอกราบครบ3ครั้ง เราเงยหน้าขึ้นมาสบตาท่าน ท่านก็พูดขึ้นว่า...
    "คนที่ชาตินี้เกิดมาผิดปกติทางเพศ หรือชอบเพศเดียวกันนั้น เป็นเพราะบาปกรรมจากชาติที่แล้ว ที่ไปผิดศีลข้อ3 ผิดลูกผิดเมียผู้อื่นเค้า ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรมไม่สมหวังในความรัก"
    ..
    .
    ผ่างง
    .
    ...
    กูนี่ หน้าซีดเลย พูดอะไรไม่ออก ทุกคนในนั้นเงียบหมด เงียบจริง ๆ ท่านรู้ได้ยังไงว่าเราเป็น คือเรามั่นใจเลยว่าเราไม่ได้แสดงอาการอะไรหรือพูดอะไรที่แสดงให้เห็นเลยว่าเราเป็น. สาบานเลยว่าไม่ได้แสดงกิริยาอะไรที่มันเกินงามหรือดัดจริตกรีดกรายอะไรทั้งสิ้น สตั๊นไปแบบ ช็อคเลย แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่นะ ท่านยังขุดลงไปอีก ถึงบาปกรรมที่เราทำอยู่(ขอไม่เอ่ยนะว่าอะไร) ท่านบอกว่า มันบาปนะไอ้สิ่งที่ทำอยู่น่ะ ให้เลิกทำซะ แต่ท่านไม่ได้เจาะจงหรอกนะว่าบอกใคร แต่เรารู้เลยแหละว่านั่นคือสิ่งที่เราทำ โชคดี(รึเปล่า)ที่ว่าแม่เพื่อนเรารับไปด่าลูกเค้า หาว่าลูกเค้าทำ โฮ่... ท่านต้องสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ แต่นับจากนั้นมา เราก็เลิกประพฤติในสิ่งที่ท่านเตือนไม่ให้ทำอย่างเด็ดขาด แล้วก็นับถือศรัทธาท่านมาก จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังระลึกถึงท่านและคำสอนของท่านเสมอ และหวังว่าสักวันนึงจะได้มีโอกาสไปกราบท่านอีกครั้ง
    ท้ายที่สุดอยากให้ทุกคนตระหนักว่าบาปกรรมที่เรากระทำนั้นไม่มีใครปิดได้มิด ไม่มีใครรู้ อย่างน้อยที่สุดเราเองนั่นแหละ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไปบ้าง

    ...ขออย่าให้ความชั่วใดมีโอกาสชนะความดีเลย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in