ฮาโลวววว หวัดดีจ้า หายไปนานเลย เกือบปีได้แล้วมั้งเนี่ย...
หลายต่อหลายเดือนมานี้มีหลายเรื่องราวเลยที่ไม่ได้มาเล่าสู่กันฟัง บ้างเรื่องราวก็สนุกสนาน บ้างเรื่องก็เครียด บ้างเรื่องก็เผือกสุด และบางเรื่องก็น่าตกใจ...
วันนี้ เรามีอยู่เรื่องนึง ที่อยากจะเอามาแชร์ให้ได้อ่านกัน เพลินบ้างไม่เพลินบ้างไม่ว่ากันเนอะ...
เป็นเรื่องราวที่เราได้พบ ได้พูดคุยโดยบังเอิญ เพราะงานที่ได้ทำ
เช้าวันนึง เรามาทำงานปกติเหมือนทุกๆวันนั้นนั่นแหละ
มันเป็นวันของ คลินิก "เบาหวาน"
ครับ เราทำงานในโรงพยาบาล ไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้เป็นพยาบาล ไม่ใช่เภสัชกร
เป็นแค่นักเทคนิคการแพทย์คนนึง หน้าที่คือเอาเลือดคนไข้มาให้ได้ 555+
จำได้ว่ามันเป็นวันที่ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะคนเป็นโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อแบบเบาหวานเยอะมาก
และมีทีท่าว่าจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสิ
คนไข้คนนี้เป็นคนไข้รถนั่งครับ มีภรรยาเข็นมาให้ ตอนนั้นสิ่งแรกที่เราสะดุดดดดดตาเห็นคือ
คนไข้ตัดขา เหลือจากเหนือเข่าขึ้นไป
หลายคนอาจจะมองว่า เฮ้ยย มันก็ไม่ได้มีความผิดแผกไปอะไรมากเลยป่าวแก นี่คนไข้ในโรงพยาบาลนะ
ครับ ไม่แปลกครับ มันจะไม่มีอะไรดูน่าสนใจเลย ถ้าเราไม่ได้พูดคุยกับเค้า...
หลังจากที่เราถามชื่อ ตรวจสอบอะไรต่างๆ ของคนไข้เสร็จแล้ว ตอนนั้นสิ่งที่เราชวนคนไข้คุยคือ
"คุณลุงเป็นแผลเบาหวานหรอครับ"
จริงๆพอถามไปแล้วเริ่มรู้สึกผิดนะ แต่ปากดันลั่นไปก่อนแล้ว เพราะตาไปสังเกตขาคนไข้ก่อน
"ใช่ค่ะ เค้าเป็นเบาหวาน เดินไปเตะอะไรไม่รู้ รู้อีกทีแผลก็ใหญ่ขึ้นแล้ว รักษาไม่ทัน"
เป็นเสียงของแฟนของคุณลุงที่รีบตอบแทน ขอเรียกว่าคุณน้าแล้วกันนะครับ
ส่วนคุณลุงก็ยิ้มแล้วก็ตอบรับอย่างที่แฟนแกบอก
"เท้ามันชาใช่มั้ยครับคุณลุง ต้องคอยตรวจเท้าทุกวันนะครับ ตอนเย็นก็ได้"
คุณลุงก็ยิ้มแย้มตอบดี แล้วคุณน้าก็เริ่มเล่า เล่า และเรา ส่วนเราก็ฟัง ฟัง และ ฟัง
สักพักนึง คุณลุงก็ยกมือขึ้นจับแขนแฟนแก ยิ้ม ไม่สบตา ก้มหน้า แล้วบอกว่า " พอเถอะ พอแล้ว"
เราจึงนึกขึ้นได้ว่า เค้าคงยังทำใจไม่ได้หรอก ไม่มีใครหรอกที่จะทำใจกับเรื่องแบบนี้ได้
จากคนที่เคยเดินเหินปกติ ออกไปทำงาน ไปไร่ไปนา นู่นนี่นั่น ห้าสิบกว่าปี แล้วจู่ๆต้องก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไป มันไม่ใช่แค่เพียงโรคทางกายเท่านั้น มันยังมีการส่งผลถึงจิตใจของเค้า ต่อไปยังอารมณ์ของเค้าอีก
ตอนนั้น เราจึงบอกว่า
"ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะตอกย้ำความรู้สึก พอแล้วครับคุณน้าไม่ต้องเล่าแล้ว"
เรายิ้มแล้วพยักหน้าให้ทั้งสองคนว่าเราเข้าใจ คุณลุงยังคงยิ้ม เป็นยิ้มที่ชืดๆของคนไข้ ที่พยายามยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเค้าเองเพราะโรคภัยที่เค้าไม่ได้ระวังตัว มันเป็นภัยเงียบในเงามืดที่ไม่เคยปรานีใคร
หลังจากเจาะเลือดเสร็จแล้ว เราก็ส่งคนไข้ไปที่คลินิกเบาหวานต่อ เพื่อไปรอผลเลือดหน้าห้องตรวจ
และเริ่มกระบวนการการรักษาและติดตามอาการของหมอและพยาบาลต่อไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in