คอนเสิร์ตของวง Luna Sea ที่ผมคิดจะไปดูนั้นจัดขึ้นที่โตเกียวในเดือนมกราคม 2556 เพื่อนหลายคนพยายามเตือนว่าอย่าไปเลย มันฤดูหนาวนะเฟร้ย ไปช่วงเมษายน ไม่ดีกว่าเหรอ ได้ชมไม้งามซากุระด้วย แต่ไอ้ซากุรงซากุระซากุไรนี่ผมไม่ค่อยสนหรอก กูไปเดินดูต้นชมพูพันธุ์ทิพย์แถวจุฬาฯ เอาก็ได้ ปัจจัยหลักคือเรื่อง Luna Sea ต่างหาก เพราะถ้าไม่ดูครั้งนี้ อาจไม่ได้ดูอีกแล้ว จบงานนี้พี่ๆ แกอาจจะแยกวงถาวรไปเลี้ยงลูกก็ได้ ส่วนเรื่องหนาวก็ไม่กลัว เคยผ่าน 5 องศาฯ ที่เกาหลีมาแล้ว
ดังนั้นทริปนี้จึงต้องตั้งต้นด้วยการหาบัตรคอนเสิร์ต Luna Sea ให้ได้ก่อน ซึ่งพี่ท่านเปิดให้จองตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 หรือ 5 เดือนก่อนงานจริง! อืม ทำไมมึงให้กูจองกันข้ามชาติขนาดนี้ กูนึกไม่ออกเลยนะเนี่ยว่า 5 เดือนข้างหน้าชีวิตกูจะเป็นอย่างไร (เช่น อาจถูกเรียกเกณฑ์ทหารหรือได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอก 8 ปี) แต่เอาเถอะ แน่วแน่มาขนาดนี้ ถอยกลับไม่ได้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ตอนแรกผมคิดว่าการจองบัตรคอนเสิร์ตที่เกาหลีโคตรพ่อโคตรแม่โหด แต่ไปๆ มาๆ ดูเหมือนคอนเสิร์ตญี่ปุ่นจะโหดกว่าเพราะข้อมูลต่างๆ ไม่มีภาษาอังกฤษแม้แต่อณูเดียว เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ดูแล้วจองเองคงจะไม่รอด ก็เลยต้องใช้บริการเว็บไซต์ช่วยจองบัตร เป็นเว็บของคนญี่ปุ่นที่ช่วยจองบัตรคอนเสิร์ตในญี่ปุ่นให้กับคนต่างชาติ เว็บที่ผมใช้มีแอดมินเป็นสาวญี่ปุ่นชื่อคาโอรุ โชคดีว่าคาโอรุสื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีตอนคุยรายละเอียดเรื่องบัตรที่จะซื้อเลยเป็นไปอย่างราบรื่น
คาโอรุอีเมลแจ้งผลเรื่องบัตรคอนเสิร์ตตามวันที่เธอเคยบอกไว้ (ตรงเวลาสมเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ) ผลคือ ผมได้บัตรคอนเสิร์ต Luna Sea ...เย่! แต่ที่จริงก็ไม่ต้องลุ้นอะไรมากนัก เพราะคอนเสิร์ตนี้จัดที่ Nippon Budokan ฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ที่จุได้ราวหนึ่งหมื่นห้าพันคน แถมคอนเสิร์ตยังมีตั้งหกรอบ อัตราการตบตีแย่งชิงเลยไม่สูงมาก ถึงกระนั้นผมก็ยังดีใจจนเต้นบัลเลต์ไปรอบห้องสามรอบครึ่ง
อย่างไรก็ดี ประมาณสองเดือนถัดมา วง Luna Sea ก็ประกาศว่าจะมีเอเชียทัวร์ และจะมาเล่นที่ไทยในเดือนกุมภาพันธ์... (กุมขมับ) แล้วกูจะถ่อไปดูที่ญี่ปุ่นทำม้ายยยยยยยยย อยากเอาหัวโขกกำแพงรัวๆ แต่เอาเถอะ การได้ดูวงญี่ปุ่นในญี่ปุ่น มันต้องให้ความรู้สึกที่พิเศษสุดยอดล่ะวะ (ปลอบใจตัวเองแบบแถๆ)
โอเค ได้บัตรคอนเสิร์ตเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเริ่มวางแพลนทริปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ในการไปญี่ปุ่นครั้งนี้
ผมวางเงื่อนไขไว้สองข้อ หนึ่ง—ผมจะเที่ยวในโตเกียวเป็นหลัก เพราะจากการหาข้อมูลคร่าวๆ โตเกียวอย่างเดียวก็มีอะไรมากมายมหาศาล สอง—การเที่ยวครั้งนี้ผมจะไปคนเดียว ผมได้ค้นพบแล้วว่าการเที่ยวคนเดียวคือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดในโลก อยากไปไหนก็ไปหลงทางก็ไม่มีใครด่า ปวดขี้ก็ไม่ต้องเกรงใจใคร (แต่ก็ต้องเป็นประเทศที่ปลอดภัยด้วยนะจ๊ะ)
ในช่วงที่ผมเตรียมตัวเดินทาง ประเทศญี่ปุ่นยังต้องขอวีซ่าอยู่ ซึ่งตามหลักการท่องเที่ยวที่ดีแล้ว เราก็ควรจะได้วีซ่าก่อนแล้วค่อยจัดการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม (เพราะถ้าจองไปก่อนแล้ววีซ่าไม่ผ่านจะฮาไม่ออก) แต่เชื่อว่าชาวไทย 80% ไม่ทำแบบนั้น เพราะโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินมักจะออกมายั่วกิเลสเราอยู่เรื่อยๆ แล้วช่วงนั้นการบินไทยก็ดันออกโปรฯ มาพอดี รู้ตัวอีกทีผมก็จองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว และเนื่องจากโรงแรมที่เล็งไว้มีห้องพักน้อย ก็เลยจองโรงแรมไปด้วยเลย สรุปว่าทำผิดหลักการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ
อันที่จริงการขอวีซ่าญี่ปุ่น คนทั่วไปมักจะพูดว่าไม่โหดมากนักแต่ยิ่งหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ยิ่งเครียด บางคนหลักฐานพร้อมเงินเพียบดันไม่ผ่าน แต่อีกคนมีเงินในบัญชีแค่สามพันดันผ่าน อะไรกันเว้ย!? ฟรีแลนซ์อย่างผมเลยยิ่งเครียด เพราะคนปกติที่เขาทำงานทั่วไปให้องค์กรที่สังกัดออกใบรับรองงานให้ แค่นี้ก็จบ แต่ตัวผมเองที่ทำอาชีพสำส่อน เป็นทั้งนักเขียน นักแปล อาจารย์-พิเศษ ฯลฯ ก็ต้องทำจดหมายแนะนำตัวแจกแจงกันไปว่าฉันเป็นใคร ทำงานทำการอะไร มีคนแนะนำว่าให้เขียนเหตุผลที่อยากไปญี่ปุ่นแบบเฉพาะเจาะจงหน่อย จะได้ดูน่าเชื่อถือ ก็ซัดไปเลยว่าจะไปดูคอนเสิร์ต Luna Sea เป็นวงที่ติดตามมา 15 ปี เป็นความใฝ่ฝันในชีวิต (เขียนได้ดราม่ามาก)
ปัญหาต่อมาคือหลักฐานทางการเงิน ผมเองเป็นฟรีแลนซ์ชนชั้นล่างทั่วไป คือไม่ได้มีเงินมากมายอะไรนัก รายได้ก็ไม่ค่อยสม่ำเสมอ บางเดือนก็ร้วยรวย บางเดือนก็โคตรจน ถึงแม้คนจะชอบพูดกันว่าจำนวนเงินในบัญชีไม่ได้มีผลต่อการขอวีซ่า แต่มีเยอะก็ย่อมดูดีกว่ามีน้อย พอรู้ตัวว่าจะไปญี่ปุ่นก็เลยเริ่มเก็บเงินมาสักพักให้เลขบัญชีดูสวยงาม แต่ด้วยความเป็นฟรีแลนซ์ที่บางทีค่าจ้างก็จะมาเป็นก้อนใหญ่ซัดโครม ดูแล้วน่าสงสัย แบบ เอ๊ะ นี่มึงไปขายไตเอาเงินเข้าบัญชีหรือเปล่า ดังนั้นก็ต้องแจงละเอียดไปว่าเงินก้อนนี้มาจากงานนี้งานนั้น ไม่ได้ไปขายไตมานะจ๊ะ
สารภาพว่าช่วงหนึ่งเดือนที่ทำเรื่องขอวีซ่าผมเครียดมาก บางคืนถึงขั้นนอนไม่หลับ พอนอนหลับก็ฝันเห็นเค้าลางของความฉิบหาย ตั๋วคอนเสิร์ต เครื่องบิน โรงแรมก็ดันจองไปแล้ว ถ้าไม่ได้วีซ่าขึ้นมานี่คงเศร้าไปอีกสามปี วันที่ไปยื่นวีซ่าก็เลยเอาหลักฐานเพิ่มเติมไปมากพอดู โชคดีว่าเจ้าหน้าที่รับไปหมดเลย (บางคนทำเอกสารเพิ่มเติมไปมากมาย สุดท้ายเจ้าหน้าที่คืนมาหมด) จากนั้นก็ต้องรอไปอีกห้าวัน ระหว่างนั้นก็เริ่มคิดว่าทำไมคุณภาพชีวิตของฟรีแลนซ์มันต่ำตมขนาดนี้ นี่ถ้ากูทำงานบริษัทแบบที่พ่อแม่สั่งสอน กูก็คงไม่ต้องมานั่งเครียดอย่างนี้แล้ว (มาคิดได้อะไรป่านนี้)
พอถึงวันนัดรับวีซ่า ผมตัดสินใจไม่โทร.ไปถาม กะไปรู้ผลเอาที่หน้าเคาน์เตอร์แม่งเลย พอเจ้าหน้าที่สาวสวยยื่นพาสปอร์ตคืนมา ผมก็รีบเปิดๆๆๆ ...เฮ้ย ไม่มี ...กูไม่ได้วีซ่าหรือเนี่ย เลยรีบยื่นกลับให้เจ้าหน้าที่ “หาไม่เจออะครับ” (หน้าซีดเผือด) เจ้าหน้าที่ก็ยิ้มสวยๆ เปิดไปที่หน้าแรกสุด “นี่ไงคะ” สรุปว่าพี่แกไปปั๊มวีซ่าไว้ที่หน้าแรกสุด กูเปิดเลยนี่เอง อีห่า แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกครับ อย่างไรก็ดี ได้วีซ่าญี่ปุ่นแล้วจ้า กรี๊ดดดดดดดดด ดีใจจนแทบจะเต้นคัฟเวอร์ในศูนย์วีซ่า
หลังจากได้วีซ่าแล้ว ชีวิตก็สดใสขึ้นมาก มีกำลังใจจัดการเตรียมตัวเรื่องอื่นๆ ต่อ ไม่ว่าจะแผนการเที่ยว ไกด์บุ๊ค และแลกเงินโชคดีว่าตอนที่ผมจะไป ค่าเงินเยนกำลังลงพอดี (หนึ่งร้อยเยนประมาณสามสิบบาท) หลายคนบอกว่าใกล้วันจะไปค่อยแลกก็ได้ เพราะค่าเงินมันน่าจะลงไปอีกเรื่อยๆ ตอนนั้นผมจึงติดตามค่าเงินเยนแบบรายวัน จนมีวันนึงเงินเยนมันแพงขึ้นมา วันนั้นผมก็เลยรีบไปแลกทันที เพราะกลัวว่ามันจะยิ่งพุ่งๆๆ ขึ้นไป แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเงินเยนก็ลงทันที และลงไปอีกเรื่อยๆ ...ขอบคุณครับ กูซึ้งใจมาก
และในที่สุดวันเดินทางของผมก็มาถึง แต่ชีวิตของคันฉัตรไม่เคยง่ายและสะดวกสบาย
วันเดินทางแท้ๆ ผมก็ยังต้องปั่นต้นฉบับหัวฟูอยู่ที่บ้าน เรียกได้ว่าปั่นเสร็จปุ๊บ ส่งอีเมล ปิดคอมพ์ แล้วก็ลากกระเป๋าปุเลงๆ ออกจากบ้านทันที ไฟลท์ของผมออกประมาณเที่ยงคืน เคยมีประสบการณ์แล้วว่าไฟลท์ดึกคนจะมหาศาล ก็เลยทำ Internet Check-in (คือการเช็กอินผ่านทางเว็บไซต์ของสายการบิน เพื่อยืนยันว่าเราจะไปจริงๆ นะเธอ) มาจากบ้าน ซึ่งปกติที่เคาน์เตอร์สายการบินจะมีช่องพิเศษให้สำหรับคนที่ทำ Internet Check-in มาก่อนแล้ว ประมาณว่าเดินเก๋ๆ เข้าไปได้เลย แต่ทว่าวันนั้นคนเยอะมาก จนช่อง Internet Check-in ถูกยุบรวมเป็นช่องธรรมดา สรุปว่าผมก็ต้องไปต่อแถวรวมอยู่ดี กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมง (ชีวิตกู...)
ทริปนี้ผมแอบตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะเป็นครั้งแรกที่ขึ้นเครื่องสายการบินไทย (จริงๆ เคยขึ้นครั้งนึง ตอน ป.6 ไปภูเก็ตกับครอบครัว แต่มันนานจนไม่หลงเหลือความทรงจำ เลยไม่นับแล้วกัน) ขึ้นไปแล้วรู้สึกแตกต่างพอสมควร เพราะที่ผ่านมาใช้บริการแต่สายการบิน Low Cost เครื่องบินก็จะแคบๆ และมักจะซวยเจอทัวร์จีน บรรยากาศบนเครื่องจึงเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย (บางทีมีเสียงขากถุยสมทบด้วย) แอร์ฯ ของ Low Cost จะดูจัดจ้านหน่อย หรือถ้าพูดตรงๆ บางทีก็ดูสก๊อย ส่วนแอร์โฮสเตสสายการบินไทยเรียบร้อยเหมือนถูกโปรแกรมไว้ (นี่กูชมหรือด่าเขากันแน่)
ไฟลท์วันนี้สงบนิ่งมากจนน่าขนลุก เพราะปกติผมจะต้องเจอเหตุเฮี้ยนๆ ห่าๆ บนเครื่องบินเสมอ (คนจีนบ้าง พ่อแม่พร้อมเด็กอ่อนบ้าง) แต่วันนี้ไม่มีอะไรเลย ยิ่งเป็นไฟลท์กลางคืน ผู้โดยสารก็หลับกันหมด ข้างๆ ผมเป็นคุณพี่ผู้หญิงชาวไทยที่มาคนเดียวเหมือนกัน คุณพี่หลับตลอดทริป ไม่พูดอะไรเลย และไม่ลุกไปเข้าห้องน้ำแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่บินเจ็ดชั่วโมง!
แต่แม้บนเครื่องจะสงบเงียบเรียบร้อย ผมก็นอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไร หลับๆ ตื่นๆ ตลอดการเดินทาง รวมแล้วคงหลับไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีแสงแดดอ่อนๆ ก็เริ่มเข้ามาทางหน้าต่างด้านข้าง ในที่สุดเครื่องลงจอดที่สนามบินนาริตะอย่างนิ่มนวล (อันนี้ก็ตกใจเหมือนกัน เพราะปกติเครื่อง Low Cost จะลงจอดสั่นสะเทือนได้ฮาร์ดคอร์มาก) ผมเดินเข้าไปในอาคารสนามบิน เริ่มสังเกตเห็นป้ายต่างๆ ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น
...ผมมาถึงญี่ปุ่นแล้วสินะ
จากนี้ไป ผมจะใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนนี้เป็นเวลา 7 วัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in