08
นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสิบห้านาที
โจรสองคนนอนอืดในคอนโดแถวลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด
ไม่รู้ว่าความขี้เกียจและความซกมกสามารถส่งต่อกันได้หรือเปล่าแต่ที่แน่ๆตอนนี้นายก้องเกียรติกลายเป็นอุรัสยาสองไปแล้ว ทั้งพี่อู๋และผมปล่อยให้หนวดขึ้นครึ้มไม่คิดจะโกนออกวันๆไม่ทำอะไรนอกจากเวฟข้าวกล่อง นอนหน้าทีวี อาบน้ำ นอนหน้าทีวีอีกครั้งแล้วเข้านอน
“พี่ไม่ต้องทำงานเหรอครับ?”
ผมถามเพราะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติและไม่ถูกต้องพอนึกถึงเสียงเปิดปิดประตูตอนเจ็ดโมงเช้าก็คิดออก อ๋อ
“พี่ทำงานที่บ้านน่ะไม่ต้องเข้าออฟฟิศ”
“แต่ผมไม่เห็นพี่จะทำอะไรนอกจากนอนดูทีวีกับอ่านหนังสือ”
ผมพูดไม่ได้อยากจุ้นจ้านชีวิตส่วนตัวของเขานักหรอกแต่บางทีก็สงสัยว่าทำไมพี่อู๋ถึงเลื่อนลอยผิดแปลกจากชาวบ้าน ไม่ทำงาน ไม่ออกไปพบปะผู้คนบ้างเหรอวันๆเจอแต่กอริลลาก้องหนวดเฟิ้มในห้องสี่เหลี่ยม เขาไม่เบื่อหรือไง
“ด่าพี่ในใจอีกล่ะสิ”
“ครับ”
“โกหกบ้างก็ได้นะก้อง”
“ไม่มีอะไรเหลือในตู้เย็นแล้วครับ”
“เกี๊ยวกุ้งอ่ะ?”
“พี่เพิ่งกินไปเมื่อเช้าไง”
ผมตอบก่อนจะเปิดตู้เย็นให้คุณอุรัสยาดูข้างในมีแต่ความว่างเปล่ากับขวดน้ำสองขวด นอกนั้นไม่มีอะไรเลย บ๋อแบ๋ แม้แต่น้ำปลาไว้คลุกข้าวยังไม่มี
“สงสัยเย็นนี้ต้องออกจากบ้านแล้ว”
พี่อู๋พึมพำ เขาเพิ่งรู้เหรอว่าเราไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันเกือบสัปดาห์แล้ว
“งั้นอาบน้ำเลยก้องพี่จะพาไปซื้อของ”
เขาบอกแต่ตัวเองยังนอนกินขนมดูพ่อมดน้อยโอมเพี้ยงหน้าตาเฉยนายก้องเกียรติที่เป็นแค่ผู้ขออาศัยก็ขี้เกียจพูด จึงเดินไปอาบน้ำตามคำสั่งของผู้ปกครองโดยดี
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงเจ็ดนาที
เราเพิ่งถึงยูเนี่ยนมอลล์สิ่งแรกที่พี่อู๋ทำคือพาผมไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำกับไข่ยางมะตูม หลังจากนั้นก็ไปซูเปอร์มาเก็ตเพื่อตุนเสบียงสำหรับการ“จำศีล”
เท่าที่ผมจำได้ ครัวของพี่อู๋มีทุกอย่างพร้อมทั้งจาน ชาม กระทะ หม้อไห ไมโครเวฟ หม้อนึ่ง หม้ออบลมร้อน เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องอบแซนด์วิชเครื่องตีส่วนผสม แม้แต่เตาอบขนาดเล็กก็มี พี่อู๋เก็บเครื่องครัวพวกนั้นในเคาน์เตอร์ชั้นล่างและปล่อยทิ้งไว้จนฝุ่นจับไม่เคยเอาออกมาใช้หรือทำความสะอาดเลย
“พี่อู๋ครับ”
“ครับก้อง?”
“ทำไมพี่ถึงกินแต่อาหารขยะพวกนี้ล่ะในก็ครัวมีอุปกรณ์ตั้งเยอะ” ผมถามเมื่อเห็นพี่อู๋กวาดเอาอาหารแช่แข็งใส่รถเข็นเป็นโหลราวกับจะเปิดขายแข่งกับเซเว่น
“พี่ทำกับข้าวไม่เป็น”
“อ้าว แล้วพี่ซื้อของพวกนั้นมาทำไม?”
“พี่ไม่ได้ซื้อเองหรอกของแฟนเก่าน่ะ” พี่อู๋ตอบ “เมื่อก่อนเขามาทำกับข้าวที่ห้องบ่อยพอเลิกกันก็ไม่ได้ใช้เพราะพี่ทำไม่เป็น”
ผมหน้าสั่นตอนที่เขาบอกว่าของพวกนั้นซื้อให้แฟนเก่าไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าพี่อู๋มีแฟนเพราะเขาทำตัวโฉดมากจนผมนึกว่าสาวๆรังเกียจความโสโคร-- ซกมกของเขาพอได้ยินว่าเขาเคยมีก็เลยสงสัยว่าใครนะเป็นผู้หญิงผู้โชคร้ายที่ต้องคอยเก็บกวาดรังหนูของคุณอุรัสยา
“อึ้งเลยเห็นอย่างนี้พี่ก็เคยมีความรักนะ” พี่อู๋แซวเพราะเห็นผมยืนทื่ออยู่นาน
“ครับ อึ้งมาก ไม่คิดว่าจะมีคนหลงผิดมารักพี่ด้วย”
“ไอ้ก้อง!”
โห -- ไม่มีแล้วก้อง น้องก้องก้องเกียรติ กอริลลาก้อง ตอนนี้ผมกลายเป็นไอ้ก้องสำหรับเขาเรียบร้อย
“ล้อเล่นครับ แล้ว --
“ไม่อ่ะ”
“งั้นถ้าพี่ไม่ว่าอะไรผมขอใช้เครื่องครัวในตู้นะครับ”
“ก้องทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ?”
“เป็นครับ แม่สอนมา”
“ก้องเป็นห่วงพี่เหรอ?”
“เปล่าครับ” ผมเบื่อข้าวกล่องแต่ไม่ได้บอก
“ก็ดีนะ ต่อไปนี้หน้าที่ทำกับข้าวเป็นของก้องแล้วกันเนอะ”
“พี่พูดเหมือนทุกวันนี้เราแบ่งกันทำงานบ้านงั้นแหละ”
ผมนึกถึงงานที่ต้องทำ ทั้งกวาดถูจัดของ ปัดฝุ่น พับผ้าห่ม ล้างห้องน้ำ ซักผ้า ล้างจาน เอาขยะไปทิ้ง แต่เรื่องแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับบุญคุณที่พี่อู๋มีต่อผมถ้าเขาสั่งมากกว่านี้ผมก็ทำได้ ให้เช็ดกระจก ซ่อมเครื่องซักผ้า วิ่งไปซื้อของก็ได้สั่งให้ไปกู้ระเบิดยังได้เลย
“งั้นซื้อกับข้าวกัน”
พี่อู๋วางอาหารแช่แข็งในตู้ตามเดิมแล้วเข็นรถเดินหาของสดแม่เคยสอนผมว่าจะทำกับข้าวต้องคิดเมนูไว้ในใจก่อน ต้องนึกว่าจะทำอะไรและอย่าซื้อตุนเยอะเกินไปไม่งั้นของจะไม่สดเนื้อจะเหม็นสาบ ผักจะเหี่ยวไม่น่ากิน ถึงตอนนั้นก็คงไม่เหลือความอร่อยแล้ว ผมถามพี่อู๋ว่าพรุ่งนี้อยากกินอะไรเขาตอบไม่ได้ พี่อู๋เป็นประเภทมีอะไรให้กินก็กินสุ่มหยิบข้าวกล่องในตู้เย็นได้อันไหนก็เวฟอันนั้น ไม่เคยเรื่องมาก
“ก้องคิดเองเลยว่าจะกินอะไร พี่กินทุกอย่างนั้นแหละ”
ได้ เตรียมตัวเตรียมใจกินอาหารสูตรไอ้แดงโดยเชฟก้องได้เลย
ผมซื้อหมูเนื้อแดงหนึ่งกิโลปีกไก่ติดสะโพกสองชิ้นใหญ่ ซื้อข้าวหอมมะลิ ผักกาด มันฝรั่ง หัวหอม กระเทียม และหัวไชเท้าด้วยพี่อู๋บอกว่าแอบเปิดพันทิปอ่านวิธีทำไว้แล้ว คืนนี้เขาจะดองไชเท้าให้กินเอง
หลังจากนั้นเราก็ซื้อของที่สามารถเก็บได้นานหน่อยวุ้นเส้น ปลากระป๋อง ไข่ไก่หนึ่งแพ็ค และเนื้อสัตว์แปรรูปอย่างไส้กรอกกับแฮม ผมคิดอะไรไม่ออกก็เลยหยิบของซ้ำๆที่แม่ชอบซื้อพอเดินผ่านตู้แช่นม พี่อู๋หยิบนมแกลลอนใหญ่ใส่รถเข็น เขาหยิบโยเกิร์ตยี่ห้อพาสควาลชีส และเนยจืดก้อนใหญ่ พอเดินผ่านโซนเครื่องปรุง เขาก็กวาดทุกอย่างที่คิดเอาเองว่าน่าจะจำเป็นมาด้วยทั้งน้ำปลาซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย น้ำมันมะกอก ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ เกลือ พริกไทย
ออริกาโน
ผมอ่านชื่อเครื่องปรุงที่นอนเอ้งเม้งในรถเข็นแล้วรีบค้านบอกเขาว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ออริกาโน แต่คุณอุรัสยายืนยันว่าเอาไว้โรยหน้าหอมๆ แถมกินกับอะไรก็อร่อยยิ่งกว่าใส่ผงชูรส นี่พี่อู๋คิดว่าแกงจืดหมูสับควรใส่ออริกาโนเหรอ
“ไม่ต้องซื้อเยอะหรอกครับซื้อเท่าที่ใช้ก็พอ”
“เราจะได้ไม่ต้องออกมาซื้อบ่อยๆไง”พี่อู๋บอก เขาหยิบแม็กกี้มาอีกขวด อันนี้ผมเห็นด้วย ถ้าอดอยากปากแห้งไม่มีอะไรกินจริงๆแม็กกี้กับข้าวสวยร้อนๆช่วยเราได้
พอซื้อทุกอย่างตามที่คุณอุรัสยาต้องการเขาก็เข็นรถไปโซนขนม กว้านซื้อมันฝรั่งทอดรสต่างๆมาเกือบสิบห่อหยิบโค้กขวดลิตรมาอีกสามขวด ปีโป้สี่ถุง คิทแคทแพ็คใหญ่ นี่กรมอุตุประกาศเตือนภัยเรื่องน้ำท่วมหรือไงทำไมเราถึงซื้อของเยอะขนาดนี้
เย็นนั้นพี่อู๋จ่ายเงินค่าของกินทั้งหมดสามพันเจ็ดร้อยกว่าบาทผมหน้าซีดแต่เขากลับยิ้มระรื่น ส่งบัตรให้พนักงานรูดปรื๊ดๆไม่มีท่าทีเสียดายเราสองคนช่วยกันหิ้วถุงใบใหญ่หกใบไปที่รถและขนอย่างทุลักทุเลกลับห้องแล้วนายก้องเกียรติก็เริ่มหยิบเครื่องครัวมาเช็ดทำความสะอาด จัดวางเครื่องปรุงที่เพิ่งซื้อเข้าตู้ล้างเนื้อสัตว์ ล้างผัก แช่ผักด้วยน้ำส้มสายชู หั่นเก็บบางส่วนใส่ท็อปเปอร์แวร์เข้าตู้เย็นพวกมะนาว กระเทียม หัวหอมก็แยกไปอยู่อีกตู้ ของสดที่เน่าเร็วก็แช่ช่องฟรีซ ผมวุ่นวายกับการจัดของอยู่คนเดียวแต่คุณอุรัสยากลับยืนถือมีดหน้าทีวี ตามองแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่กระพริบแล้วชาตินี้ผมจะได้กินไชเท้าดองไหม
กว่าห้องจะเรียบร้อยกว่าพี่อู๋จะหั่นไชเท้าแล้วหมักในน้ำส้มสายชูกับน้ำตาล กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็สี่ทุ่มพอดีผมหมดแรงจนนอนแผ่บนพื้น ส่วนพี่อู๋งอแงบ่นหิวข้าว ขอร้องให้ทำอะไรซักอย่างก่อนที่เขาจะหิวตาย
“พี่ไม่ตายหรอกพี่กินก๋วยเตี๋ยวตั้งสองชาม”
ผมบ่นแต่ก็ลุกขึ้นทำข้าวให้พี่อู๋กินเมนูแรกที่กอริลลาก้องได้โชว์ฝีมือคือข้าวผัดปลากระป๋อง ผมใส่น้ำมันนิดหน่อย ใส่กระเทียมไข่หนึ่งฟอง ตามด้วยซีอิ๊วเห็ดหอมแล้วยีให้แตก เมื่อไข่เริ่มสุกก็ใส่ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยผัดข้าวกับไข่ให้เข้ากันแล้วใส่ปลากระป๋อง เลือกเอาแค่เนื้อปลาเพราะถ้าใส่ซอสด้วยข้าวจะแฉะผัดต่ออีกหน่อยจนข้าวแห้ง จากนั้นก็ตักใส่จานได้
พี่อู๋ไม่มีส่วนช่วยในการทำมื้อดึกเขาแค่ยืนกอดอกมองผมทำนั่นทำนี่เงียบๆที่โต๊ะกินข้าวเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเราก็นั่งกินด้วยกัน พี่อู๋ตักข้าวผัดร้อนๆเข้าปากเคี้ยวหยับๆสามสี่ทีแล้วทำหน้าเคลิบเคลิ้มได้ปลอมเปลือกมาก
“เป็นอะไรครับ?”
ผมถาม ตอนผัดข้าวก็ไม่ได้ใส่กัญชาเขาจะทำตาเยิ้มทำไม
“อร่อยจังเลยก้อง”
ผมอมยิ้ม ไม่มีใครชมว่าผมทำกับข้าวอร่อยนอกจากแม่เพราะเมื่อก่อนแม่เลิกงานเกือบหกโมงหน้าที่ทำกับข้าวเลยตกเป็นของผมโดยปริยาย พอแม่ตายก็ไม่ได้เข้าครัวจริงๆจังๆมานานพี่อู๋คือคนแรกที่ผมทำกับข้าวให้กิน พอได้ยินคำชมเลยดีใจเป็นพิเศษ
เรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย มื้อดึกตอนสี่ทุ่มอาจทำให้จุกจนนอนไม่ได้แต่ไม่มีใครสนพี่อู๋กินหมดไวมาก สองสามนาทีก็เกลี้ยงจานแล้ว ส่วนผมใช้เวลานานหน่อยพี่อู๋ก็เลยนั่งคุยเป็นเพื่อนระหว่างรอผมกินเสร็จ
บทสนทนาของเราเป็นเรื่องทั่วๆไปเช่นพรุ่งนี้ผมจะซักผ้านะ มีเสื้อตัวไหนสีตกไหม จะได้ซักมือ แล้วอยากให้จัดหนังสืออยากให้เช็ดฝุ่นที่เปียโนหรือเปล่า พอพูดถึงเปียโน พี่อู๋ก็หันมองมันชั่วครู่เขาบอกว่าฝากด้วยนะ ใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างเดียวพอ อย่าใช้ผ้าเปียก เดี๋ยวไม้ชื้น
“ผมเห็นพี่มีเปียโน พี่เล่นเป็นด้วยเหรอครับเล่นให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?”
ผมถามคำถามที่ค้างคาใจมานาน พี่อู๋ส่ายหน้าบอกว่าเปียโนหลังนี้ไม่ใช่ของเขา
“ของเอมน่ะ” พี่อู๋ตอบพอเห็นผมทำหน้างงว่าเอมคือใคร เขาก็ขยายความ “น้องชายพี่ชื่อเอมพอเอมไม่อยู่พี่ก็เลยเอามาเก็บไว้ที่นี่”
“แล้วพี่เล่นเป็นไหมครับ?”
“ไม่เป็น พี่ไม่เอาถ่านซักเรื่องในบรรดาพี่น้องสามคนพี่คือตัวบ๊วยของบ้าน”
พี่ไม่ใช่บ๊วยหรอก จริงๆนะ คนบ๊วยที่ไหนจะทำงานจนมีรถมีคอนโดมีเงินจ่ายค่ายาค่าหมอให้เด็กเหลือขออย่างนายก้องเกียรติล่ะ ผมคิดแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไป พี่อู๋ดันกระพุ้งแก้มราวกับกำลังใช้ความคิด เขาคงลังเลว่าควรเล่าให้ฟังหรือเปล่าพอเห็นกอริลลาก้องนั่งเฉยไม่แสดงความกระหายใคร่รู้ เขาก็เล่าให้ฟังเองโดยไม่ต้องขอ
พี่อู๋บอกว่าเขาไม่ใช่คนกรุงเทพภูมิลำเนาเดิมอยู่ภาคใต้ จังหวัดอะไรซักอย่างที่ชื่อยาวมากพี่อู๋โตมาในครอบครัวคนจีน แม่เป็นลูกสาวร้านขายวัสดุก่อสร้าง พ่อเป็นจิตแพทย์พี่สาวคนโตชื่อออมเป็นอาจารย์หมอที่หาดใหญ่ พี่อู๋เป็นลูกคนกลางจบอักษรศาสตร์จากมหาลัยในนครปฐมเพื่อมาเป็นทุกอย่างให้นายญี่ปุ่น(เขาพูดเองนะ)เกือบสิบปีส่วนเอมเป็นน้องคนสุดท้อง เกิดเดือนเดียวปีเดียวกับผมนิสัยขี้อ้อนตามประสาน้องเล็ก เรียนเก่งเหมือนพ่อกับพี่สาวแถมมีพรสวรรค์ด้านดนตรีก็เลยยิ่งเป็นที่รักของทุกคน
ตอนเล่าเรื่องครอบครัวพี่อู๋ดูมีความสุขมากๆเมื่อได้พูดถึงพ่อ แม่ พี่ออม และเอม เขาไม่เศร้าหรือซึมเหมือนวันที่กินบอนชอนเมื่อผมถามว่าขอโทษนะครับ เอมตายเพราะอะไร พี่อู๋ตอบด้วยท่าทีสบายๆ ไม่แสดงอาการหดหู่ให้เห็น แต่คำตอบนั้นทำผมช็อกพอควร
“เหมือนก้องนั่นแหละ”
ผมแทบหยุดหายใจเมื่อรู้ว่าเอมฆ่าตัวตายนึกไม่ออกเลยว่าควรปลอบเขายังไง จะพูดว่าอย่าเสียใจก็ไม่ได้เพราะน้องชายตายทั้งคนยิ่งพี่อู๋เล่าว่าเขาเป็นคนไปส่งเอมที่โรงเรียนวันแรก เป็นคนสนับสนุนให้เรียนเปียโนพอปิดเทอมก็พามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาสนิทกันมาก มากจนการตายของเอมทิ้งแผลสดเอาไว้ในใจของพี่อู๋ถึงวันนี้
“เพราะแบบนั้น --
พี่อู๋ยิ้ม ต่อให้พยายามทำตัวเข้มแข็งแค่ไหนผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความเสียใจของเขาอยู่ดี
“แต่พี่ดูเศร้าน้อยลงนะครับต่างจากวันที่ไปกินบอนชอน ตอนนั้นพี่ซึมตั้งนาน”
“ถ้าเล่าให้มันเหมือนเรื่องธรรมดามันก็จะเป็นแค่เรื่องธรรมดา”
เขาบอกเคล็ดลับให้กอริลลาก้องที่เพิ่งผ่านการสูญเสียมาเหมือนกัน
“คนที่เรารักก็คงไม่อยากเห็นเราเศร้านานหรอกเนอะยังไงคนเป็นก็ต้องอยู่ต่อไป ใช้ชีวิตให้มีความสุขมากๆดีกว่า มีความสุขเผื่อคนตายด้วย”
ผมเก็บคำแนะนำของพี่อู๋มาคิด แต่เข้าไม่ถึงเนื้อความที่เขาพยายามสื่อจริงอยู่ที่คนเป็นต้องใช้ชีวิตต่อไป แต่การสูญเสียก็คือการสูญเสียอยู่วันยังค่ำ ผมไม่มีวันมองการจากไปของแม่เป็นเรื่องธรรมดาแถมการฆ่าตัวตายทิ้งรอยแผลให้คนข้างหลังมากกว่าการตายด้วยสาเหตุอื่นเหมือนที่ผมโทษตัวเองตลอดว่าเป็นเพราะรู้จักแม่ไม่มากพอช่วยแม่แบ่งเบาความเครียดไม่มากพอ แม่ถึงแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าการไปสู่อิสรภาพที่แท้จริงต้องทำยังไง
“พี่เล่าเรื่องของเอมให้ฟังแล้ว”พี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมนั่งเหม่อ “ก้องลองเล่าเรื่องแม่ให้พี่ฟังบ้างสิ”
ผมเงียบพักหนึ่ง เสียงในใจสั่งไม่ให้เปิดปากพูดอะไรออกไปถ้าบอกเขาว่าการตายของแม่คือความผิดของผม ถ้าพูดว่ายังเสียใจในสิ่งที่แม่ทำ พี่อู๋คงหาคำพูดร้อยแปดมาปลอบใจเพื่อให้ปลงกับสัจธรรมของชีวิตแน่นอนว่าผมไม่ต้องการแบบนั้น ไม่ต้องการคำปลอบใจ ไม่อยากให้เรื่องของเอมเป็นตัวอย่างของการกลับมาเข้มเข็งเพราะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของนายก้องเกียรติทั้งนั้นแม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม
“ไว้วันหลัง --
พี่อู๋บอกว่าได้สิแล้วช่วยเก็บจานไปล้างนาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสิบสองนาที เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำผมกินยานอนหลับแล้วเข้านอน ส่วนพี่อู๋ใช้เวลาข้างนอกอีกหน่อย ผมได้ยินเสียงเขากดเปียโนเล่นไม่เป็นเพลงนานหลายนาทีก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา
☁
การพบหมอครั้งที่หกผมบอกหมอว่านอนไม่ค่อยหลับ
ที่จริงผมมีปัญหาเรื่องนอนมาซักพักแล้วต่อให้กินยาและเข้านอนเป็นเวลาก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ หมอพยายามชวนคุยเพื่อล้วงหาสาเหตุที่กอริลลาก้องกลัวการนอนหลับเขาถามถึงความเครียด ความกลัว ความกังวลแต่ผมให้คำตอบไม่ได้ ผมบอกเขาว่าตอนนี้มีความสุขดีพี่อู๋เลี้ยงผมดีมาก ดีจริงๆ ไม่มีเรื่องต้องเศร้าเลย
หมอเริ่มมีท่าทีหนักใจดูเหมือนการปรับยาครั้งที่สามจะไม่ได้ผลดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนยานอนหลับตัวใหม่ให้ตามคำขอ หมอบอกว่าตัวนี้ออกฤทธิ์นานขึ้นหลับสนิทมากขึ้น น่าจะได้ผลดีกว่าตัวเก่า ว่าแต่ช่วงนี้ก้องเป็นไงบ้างอยู่กับพี่อู๋มีเรื่องขัดใจบ้างไหม หงุดหงิดไม่สบายใจเรื่องอะไรหรือเปล่า
ไม่มีครับ
ผมโกหก เพราะจริงๆแล้วมีอยู่หนึ่งเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิด
ผมเบื่อที่พี่อู๋ออกไปกินเหล้า
ถ้าพูดในฐานะคนขออาศัยอยู่ฟรีๆผมไม่มีสิทธิ์ห้ามด้วยซ้ำ แต่การพะวงว่าเมื่อไหร่พี่อู๋จะกลับทำให้ผมประสาทเสียพอสมควรจริงอยู่ที่ไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้เพราะเขาอายุสามสิบเอ็ดแล้วผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว แต่การออกไปสนุกข้างนอกของเขาส่งผลกระทบกับผมมากกว่าที่คิด
ผมเป็นกังวลทุกครั้งที่ตื่นกลางดึกแล้วไม่เจอพี่อู๋
“ก้อง ทำไมยังไม่นอน ไปนอนสิเร็วๆนอนดึกไม่ดี ต่อไปอย่านั่งรอพี่อีกนะ”
พี่อู๋พูดประโยคนี้ทุกคืนที่กลับบ้านมาเจอผมนั่งอยู่บนโซฟาเขาบอกให้ไปนอน แต่สภาพเละเทะเหมือนหมาทำให้ผมทนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องตามเก็บเสื้อผ้าที่พี่อู๋ถอดทิ้งไว้บนพื้นคืนไหนที่เขาอ้วกก็ต้องเช็ดอีก กว่าจะได้นอนก็ตีสี่ บางวันตีห้าผมหลับได้แค่สองสามชั่วโมง แต่พี่อู๋สามารถนอนยาวได้ถึงเที่ยงเพราะไม่ต้องออกไปทำงานวันๆมีแค่กิน นอน ดูหนัง อ่านหนังสือ กินเหล้า กลับมานอนต่อโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเข้าใจหรือยังว่าทำไมผมถึงเกลียดการออกไปดื่มของเขามาก มากจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หมอต้องปรับยาครั้งนี้
เมื่อการซักถามเสร็จเรียบร้อยผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณหมอแล้วเตรียมตัวกลับบ้านพอออกมาข้างนอก พี่อู๋ก็ถามว่าทำไมถึงดูซึมๆ ผมบอกเขาว่าไม่ต้องใส่ใจหรอกเรื่องเล็กๆน้อยๆ เดี๋ยวก็หายเอง ผมไม่เป็นไร
“ถ้ามันทำให้ก้องซึมแบบนี้พี่ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะ”
พี่อู๋ยังคงพูดต่อ
“บอกพี่มาเถอะ ก้องจะได้ระบายด้วยไง”
ผมไม่อยากบอกไม่อยากเล่าอะไรให้เขาฟังอีกแล้ว พี่อู๋ถอดใจกับการง้อกอริลลาก้องที่กลับไปเป็นคนไร้อารมณ์เหมือนก่อนหน้าเขาพูดแค่ว่าสบายใจเมื่อไหร่ก็เล่านะ แต่พอถึงเวลาที่ผมต้องการเขาจริงๆพี่อู๋ไม่เคยอยู่ใกล้เลย
“คืนนี้พี่จะไปกินเหล้ากับเพื่อนอีกไหมครับ?”
“ไปสิ” พี่อู๋ตอบหน้าตายไม่เอะใจในน้ำเสียงขุ่นเคือง “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ทำไมไม่ไปให้เร็วกว่านั้นล่ะครับจะได้กลับเร็วๆ”
“รอก้องหลับก่อนแล้วค่อยไป”
“พี่ไม่รู้เหรอว่าผมนอนไม่หลับผมไม่เคยหลับสนิทเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับพี่”
“พูดกันดีๆสิก้องทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย?”
ผมเม้นปากแน่นเริ่มอยากร้องไห้เพราะอธิบายให้พี่อู๋ฟังไม่ได้ ผมไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเองไม่กล้าขอพี่อู๋ว่าอย่าไปเลย ช่วยอยู่บ้านและอย่าเมากลับมาเพื่อผมได้ไหม ผมนอนไม่หลับเพราะเป็นกังวลว่าพี่จะมาเมื่อไหร่จะขับรถชนใครไหม จะอ้วกใส่โซฟาอีกหรือเปล่า ความสุขตอนกลางคืนของพี่ทำลายชีวิตผมและตอนนี้มันเริ่มหมดลงแล้ว หนึ่งเดือนผ่านไป ผมไม่อยากอยู่กับพี่อู๋แล้ว
“ทำไมพี่กินเหล้าหนักจัง ไม่กินซักวันจะลงแดงตายเหรอ?”
“ก้อง พี่ก็มีสังคมมีเพื่อนนะ”พี่อู๋ขมวดคิ้ว ผมตอบกวนๆว่า อ้อ เหรอผมเห็นพี่ไม่เคยออกจากห้องตอนกลางวัน คิดว่าเพื่อนไม่คบเสียอีก
“ทำไม? ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ”
“ก้องเกียรติ”
คราวนี้ผมกัดริมฝีปากเริ่มอึดอัดเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ผมบอกพี่อู๋ว่าพอเถอะครับ ผมเหนื่อยผมอยากกลับไปพักที่บ้าน พอเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของกอริลลาก้อง พี่อู๋ก็เลี้ยวรถกลับแผนไปกินของอร่อยถูกพับทิ้งกะทันหัน เราไม่พูดกันอีกเลย
☁
ผมเจอแม่อีกครั้งหน้าประตูบ้าน
แม่เพิ่งกลับจากทำงานท่าทางเหนื่อยๆแต่ก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นผม
“ก้องกินข้าวยังวันนี้แม่ซื้อเป็ดเอ็มเคมาฝาก แล้วนั่นไปทำอะไรมาทำไมเนื้อตัวมอมแมมเหมือนไอ้แดงแบบนี้ ไปเล่นฝุ่นที่ไหน หืม?”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองมอมแมมจนกระทั่งแม่บอกพอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดูก็เห็นแต่คราบฝุ่นสีเทาเกาะทั่วทั้งตัวผมสะบัดมือสองสามที เตรียมไปอาบน้ำตามที่แม่สั่งบ้านยังคงเป็นบ้านหลังเดิมที่เราอยู่ด้วยกัน พื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เดินขึ้นบันไดผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน หยิบชุดตัวใหม่และผ้าขนหนูเตรียมอาบน้ำ พอเดินลงบันไดก็เจอแม่ยืนรออยู่
“เหงาไหมก้อง?”
ไม่เหงาครับ
ผมตอบแต่ยังไม่คิดอะไรจนกระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เจอแม่ยืนรออีก
“ดีใจไหมที่แม่กลับบ้าน?”
ดีใจครับ
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถามแต่อะไรแปลกๆหลังจากนั้นเรากินเป็ดย่างกับหมี่หยกด้วยกันในครัว แม่เปิดทีวีฟังข่าวส่วนผมก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว เราไม่ค่อยพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารแต่วันนี้แม่ถามมากผิดปกติ
“วันก่อนไปกินน้ำแข็งไสเหรอ?”
“แม่รู้ได้ไง?”
ผมถามพลางนึกถึงร้านซอลบิงที่เซ็นปิ่นวันนั้นผมไปกับใครนะ ใครซักคนที่ไม่ใช่แม่ อ๋อ -- พี่อู๋นั่นเอง
“เขาดูแลก้องดีใช่ไหม?”
“แม่หมายถึงใคร?”
แม่ยิ้มแล้วลูบหัวผมน้ำตาเริ่มคลอเบ้าจนต้องถามแม่ว่าร้องไห้ทำไมแม่ส่ายหน้าก่อนจะบอกว่าแค่รู้สึกดีใจที่มีคนรับผมไปเลี้ยง โชคดีจริงๆที่เขาเจอก้องแม่สบายใจแล้ว
“แม่พูดอะไร ก้องก็อยู่บ้านกับแม่มีแค่แม่นั่นแหละที่เลี้ยงก้อง”
แม่หัวเราะแล้วกินมื้อเย็นจนหมดหลังจากนั้นผมก็เก็บจานไปล้างเดินผ่านแม่ที่กำลังนั่งดูซีรี่ส์เกาหลีช่วงเย็นไปชั้นสอง ผมทำการบ้านจัดตารางเรียน อ่านหนังสือตามปกติ ลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตแบบเด็กมัธยมธรรมดาลืมว่าแม่ตายแล้ว ลืมว่าไฟไหม้บ้านหมดแล้วดังนั้นในความฝันผมจึงไม่เอะใจอะไรจนกระทั่งเดินลงบันไดมาช่วงค่ำแล้วทุกอย่างก็หายวับราวกับไม่เคยมีอยู่
ผมมองรอบตัวด้วยความงุนงงเมื่อกี๊เพิ่งเดินลงบันไดแท้ๆแต่บ้านทั้งหลังหายไปเหลือแค่ซากดำๆกับเศษขยะกองใหญ่ผมเดินออกไปนอกบ้าน ในซอยของเราไม่มีสิ่งปลูกสร้างเหลือเลยซักหลัง ขณะที่กำลังยืนเอ๋ออยู่ตรงรั้วแม่ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ สวมเสื้อสีขาว มัดผมหางม้า แต่งหน้าสวยเหมือนจะออกไปเที่ยวไหน
“ก้องอยู่ได้ใช่ไหม?”
แม่ถาม ผมยิ่งสับสนมากกว่าเดิมแต่ก็ตอบตามสัญชาติญาณว่าอยู่ได้ครับ
“งั้นแม่ไปแล้วนะ”
“แม่จะไปไหน?”
“เดินเล่นแถวนี้แหละ”
“แล้วบ้านเราล่ะ?บ้านเราหายไปไหนเหรอแม่?”
“ก้อง” แม่ยิ้ม“กลับบ้านได้แล้ว”
แค่ประโยคนั้นประโยคเดียวจากปากแม่
แค่คำว่ากลับบ้านได้แล้ว ผมก็สะดุ้งตื่นทันที
ในห้องไม่มีใครเลยนอกจากนายก้องเกียรติที่ใบหน้าชุ่มเหงื่อความมืดรายล้อมรอบตัวจนมองเห็นแค่ลางๆ ผมลงจากเตียง เดินออกไปข้างนอกอย่างที่ทำประจำทุกคืนพอเปิดไฟตรงห้องโถงถึงรู้ว่าพี่อู๋ไม่อยู่เพราะรองเท้าคอนเวิร์สหายไป กระเป๋าสตางค์ที่ชอบวางทิ้งเพ่นพ่านก็ไม่มีเขาคงออกไปเที่ยวข้าวสารตอนผมหลับ เป็นแบบนี้ประจำ เขามักจะหายไปโดยไม่บอกทุกคืนแล้วก็กลับมาตอนตีสามซึ่งหมายความว่าอีกยี่สิบนาทีต่อจากนี้ พี่อู๋จะมา
เสียงฝนจากด้านนอกเรียกให้หันมองหน้าต่างนาฬิกาบอกเวลาว่าตีสองสี่สิบสองนาที นายก้องเกียรติโดนความเครียดเข้าเล่นงานอีกครั้งแม่ไม่น่าทำแบบนี้เลย ไม่น่าผูกคอตายในบ้านเลย ผมฝังใจเพราะแม่ผมกลัวการอยู่คนเดียวก็เพราะแม่ แล้วเมื่อกี๊ยังตามมาถึงในฝันอีก ทำไมไม่ปล่อยผมไปทำไมแม่ไม่หายไปจากใจของผมเสียที
การอยู่เงียบๆในห้องมืดยิ่งทำให้ฟุ้งซ่านถ้าตื่นกลางดึกแล้วไม่เจอพี่อู๋ ผมจะเริ่มกระวนกระวายทุกครั้ง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเขาถึงกินเหล้าทุกวันทำไมไม่อยู่บ้านกับผม ทำไมไม่อยู่ข้างๆตอนที่ผมต้องการเพื่อน แน่นอนว่าพี่อู๋เลี้ยงผมอย่างดีเขาดูแลนายก้องเกียรติให้กินอิ่มนอนสบาย แต่แค่นั้นไม่พอหรอกผมไม่ได้ต้องการแค่ที่อาหารหรือที่นอน ผมอยากอยู่อย่างปลอดภัยอยากสบายใจเมื่อลืมตาแล้วเจอเขา แต่พี่อู๋ก็ทำให้ผิดหวังทุกคืน
นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามยี่สิบเจ็ดนาที
พี่อู๋ยังไม่กลับบ้าน
ผมนั่งร้องไห้คนเดียวบนโซฟา มีเพียงเสียงฝนและความมืดเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนผมรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ พี่อู๋ที่เคยเข้าใจก็เปลี่ยนเป็นคนละคนตั้งแต่เล่าเรื่องเอมให้ฟังเมื่อก่อนเขาออกไปดื่มก็จริงแต่ไม่หนักขนาดนี้พักหลังพี่อู๋กลับช้ากว่าเดิมหนึ่งชั่วโมง เมาจนคุยไม่รู้เรื่องหนักกว่าเดิมที่สำคัญ --การควบคุมอารมณ์ของเขาก็ไม่เท่าเดิม
นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าเก้านาที
ผมยังคงรอพี่อู๋กลับบ้านในขณะที่กำลังฟุบหน้ากับพนักพิงโซฟา เสียงลากเท้าจากข้างนอกก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงไขประตู ก่อนที่แสงจากทางเดินจะสาดเข้ามาในห้อง พี่อู๋ยืนอยู่ตรงนั้น กลับมาได้เสียที
“ยังไม่นอนอีกเหรอ?”
เขาไม่ได้เมาหัวทิ่มเหมือนวันอื่นๆแต่ก็เละเทะเอาเรื่องเหมือนกันพี่อู๋สะบัดรองเท้ากระเด็นไปไกล เขาเดินมาที่โซฟาแต่ไม่เล่นตลกกลบเกลื่อนด้วยการร้องเพลงเหมือนคืนก่อนๆเขาแค่มองผมร้องไห้ด้วยสายตาเวทนา ผมถามพี่อู๋ว่าไปไหนมา รู้ไหมว่าผมรอพี่ตั้งนานทำไมมาเอาป่านนี้ ทำไมเพิ่งกลับบ้านตอนนี้
“ไปข้าวสารมา”
พี่อู๋ถาม แต่ผมไม่ตอบ
“มันก็หลายเดือนแล้วนะก้องเลิกเสียใจซักทีเถอะ ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขบ้าง”
“เหมือนที่พี่ออกไปกินเหล้าทุกคืนน่ะเหรอ?”
“ใช่”
“ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบพี่ ผมตายตามแม่ไปยังจะดีกว่า”
ผมถือโอกาสนี้ระบายความรู้สึกตัวเองผมบอกเขาว่าเบื่อวงจรอุบาทว์ของพี่อู๋ขนาดไหน ชีวิตเลื่อนลอยที่กินๆนอนๆและเอาแต่เที่ยวเตร่มันไร้สาระอายุก็สามสิบกว่าแล้ว ทำไมยังคิดไม่ได้ ทำไมต้องทำให้เป็นห่วง ทำไมต้องทำให้ระแวงทุกคืนพี่เคยรู้บ้างไหมว่าผมไม่มีความสุขก็เพราะพี่ ผมนอนไม่หลับก็เพราะพี่เพราะพี่ทั้งนั้น ทำไมพี่ถึงเป็นคนไม่ได้เรื่องแบบนี้
“อายปากตัวเองบ้างนะ เป็นแค่กาฝากอย่าเสือกให้มาก”
ผมเงยหน้ามองพี่อู๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเขาหน้าบึ้ง ดวงตามองต่ำด้วยความไม่พอใจ
“กูก็เป็นของกูอย่างนี้ตั้งแต่แรก จะไปไหนกลับเมื่อไหร่ก็เรื่องของกูคิดบ้างว่าที่กินอยู่สุขสบายก็เพราะใคร ใครให้ที่ซุกหัวนอน ใครที่จ่ายเงินรักษามึงใครที่ซื้อข้าวให้มึงกิน ถ้ารู้ว่าให้อยู่ด้วยแล้วปากดีขนาดนี้ กูทิ้งมึงไว้ที่วัดยังดีกว่า”
ผมโกรธจนตัวสั่นในอกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนเข็มแหลมๆทิ่มทะลุเป็นร้อยเล่ม จริงอยู่ที่ผมเคยเตรียมใจว่าวันนึงจะโดนผลักไสไล่ส่งแต่พอได้ยินจากปากพี่อู๋เองแล้วกลับทำใจยอมรับไม่ได้ ผมรับไม่ได้ที่เขาทวงบุญคุณด้วยคำพูดร้ายกาจแบบนั้นเขาทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่าการตื่นมาไม่เจอใครเสียอีก
“แล้วพี่ช่วยผมทำไมตั้งแต่แรกทำไมไม่ปล่อยให้ผมตาย พี่จอดรถมาช่วยกาฝากอย่างผมทำไม!”
“เพราะกูไม่รู้ไงว่ามึงจะทำตัวแบบนี้ถ้ากูรู้ว่ามึงลามปามด่าได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ กูคงปล่อยให้มึงนอนตายในวัดแล้ว!”
“ก็ทำไมพี่ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าไม่อยากให้ผมมาอยู่ด้วย!”
“ตอนนั้นมึงน่าสมเพชจะตายก้อง!ถ้ากูไม่รับก็คงไม่มีใครเอามึงแล้ว ดูไม่ออกเหรอว่าไม่มีใครอยากได้มึงลุงนั่นก็ไม่อยากได้มึง พวกเด็กวัดก็ไม่อยากได้มึง ไม่มีใครอยากรับมึงไปเลี้ยงทั้งนั้นเพราะมึงมันภาระ!”
เพราะมึงมันภาระ
มึงมันภาระ
ภาระ
ผมรู้ว่าตัวเองเป็นภาระแต่พี่อู๋ไม่น่าพูดตรงๆแบบนี้เลย
ผมผิดเองที่ร้องขอมากไป จริงๆแค่มีข้าวกินมีที่ซุกหัวนอนก็เพียงพอแล้ว แต่ผมกลับโลภมากอยากให้พี่อู๋อยู่ด้วย อยากให้เขาปลอบเหมือนเมื่อก่อนพอรู้ว่าลึกๆเขารำคาญและไม่ได้เต็มใจช่วยตั้งแต่แรกก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลย--
ก้องเกียรติไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครเลย
พ่อทิ้งไปตั้งแต่ยังไม่เกิดแม่ชิงฆ่าตัวตายแบบไม่บอกกล่าว เพื่อนบ้านก็รังเกียจไม่รับไปอยู่ด้วยนี่ยังมีพี่อู๋ที่เพิ่งสารภาพว่าไม่ได้อยากช่วยตั้งแต่แรกอีก ทุกอย่างที่เขาทำเป็นเพราะสถานการณ์กดดันเขาแค่เวทนาเด็กอนาถาไร้อนาคตแบบผมเท่านั้น
ผมกัดฟันร้องไห้ หัวใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีเมื่อคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของใครทั้งๆที่พี่อู๋คือคนเดียวที่เป็นหลักพึ่งพิงให้ผม เป็นคนเดียวที่ผมเคารพและอยากมีชีวิตอยู่กับเขาแต่พอได้ยินแบบนี้ก็ขอลา ผมคงไม่หน้าด้านพอจะเกาะเขากิน หลังจากนี้ผมจะไม่เป็นภาระให้พี่อู๋อีกจะไม่เสือกชีวิตของเขา จะไม่ทำให้เขารำคาญแล้ว
“จะไปไหน! กลับมาคุยให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้!”
พี่อู๋ตวาดเสียงดังเมื่อผมเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอนผมไม่ได้หนี แค่เข้ามาเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดเก่าของตัวเองพี่อู๋รีบขวางทางเมื่อเห็นว่าผมจะออกจากห้อง สีหน้าของเขาดูไม่พอใจราวกับอยากต่อยนายก้องเกียรติเต็มที
“จะไปไหน?”
“ไปตาย”
ผมเดินกระแทกไหล่ของเขาพี่อู๋สาวเท้าตามมาติดๆ พอเห็นผมสวมรองเท้าแตะเยินๆของตัวเองเขาก็กระชากแขนผมอย่างแรงพี่อู๋เขย่าตัวผมแล้วเอาแต่ถามว่าทำไมไม่ตอบ ตอบสิ ตอบมาว่าจะไปไหนจะไปตายที่ไหนอีก เงียบทำไม พูดสิ บอกให้พูดก็พูดสิวะ
“พี่จะเสือกทำไมผมจะไปตายห่าที่ไหนก็เรื่องของผม!”
“ไอ้ก้อง!”
พี่อู๋ตวาด เขายกมือจะตีผมความโมโหที่คุมไม่อยู่ทำให้ผมกลัวจนเข่าอ่อน ล้มพับบนพื้นเพราะตกใจเรามองหน้ากันอยู่นานในห้องที่มีแค่แสงฟ้าแลบสาดเข้ามาทางหน้าต่างผมร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะกลัวถูกตี ส่วนพี่อู๋มองมาด้วยความผิดหวังตาของเขาแดงก่ำและคลอด้วยน้ำตา
“ผมไม่อยากให้พี่ออกไปกินเหล้าผมแค่อยากให้พี่อยู่ด้วย”
ผมสะอื้นน้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าตอนไฟไหม้บ้าน
“พี่ไม่รู้หรอกว่าผมกลัวแค่ไหนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอพี่ผมตื่นมารอพี่กลับทุกวันจนไม่ได้หลับได้นอน ผมไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไร พี่เปลี่ยนไปตั้งแต่เล่าเรื่องเอมให้ฟังถ้ารู้ว่าการทำความรู้จักชีวิตพี่ทำให้พี่เปลี่ยนไปขนาดนี้ ผมไม่ถามยังดีกว่า”
พี่อู๋ปากสั่นเขาลดมือที่เตรียมจะฟาดผมลงข้างตัว สีหน้าสับสนของเขาบ่งบอกว่าความโกรธเมื่อครู่จางหายไปแล้วพี่อู๋อาจจะเพิ่งสร่าง หรือไม่ก็เพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรทำแบบนี้กับผม
“พี่ -- พี่ขอโทษ”
เขาพูดในที่สุด แต่คำขอโทษของเขาลบแผลในใจของผมไม่ได้
“พี่เพิ่งทำเรื่องแย่ๆไปเมื่อชั่วโมงก่อนก็เลยเครียดจนมาลงที่ก้องจริงๆแล้วพี่ไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่ได้มองว่าก้องเป็นภาระ”
“พี่พูดเองว่าน่าจะทิ้งให้ผมตายที่วัดพี่บอกว่าไม่มีใครต้องการผม”
“พี่ขอโทษ พี่ขอโทษพี่ไม่ได้ตั้งใจ --” พี่อู๋เสียงสั่น เขาย่อตัวลงมองผมที่กำลังร้องไห้“อย่าโกรธพี่เลยนะก้อง กลับไปนอนต่อดีกว่านะ นะก้อง --มาสิเดี๋ยวพี่พาไปนอน”
“พี่ด่าผมว่าเสือกพี่เกลียดที่ผมพูดจาลามปามชีวิตของพี่ งั้นพี่จะรั้งผมไว้ทำไม?จะปล่อยให้กาฝากเกาะแดกต่อทำไมถ้ามันเป็นภาระนัก”
ผมพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากมือของเขาแต่พี่อู๋แข็งแรงกว่าจึงออกแรงดึงกันไปมาตรงหน้าประตู พอผมเอื้อมมือจับลูกบิดพี่อู๋ก็เหวี่ยงผมไปที่โซฟาจนเจ็บทั้งตัว
“พี่เป็นบ้าอะไร!
“ก้อง พี่ขอร้องอย่าออกไปตอนนี้เลย”
“จะตอนไหนก็เหมือนกัน หลบไป!”
“ก้อง --”
“ผมจะเป็นจะตายแล้วพี่เสือกอะไร!พี่จะเอายังไง! พี่จะเอายังไงกับผม!”
ผมตะโกนใส่หน้าเมื่อถูกพี่อู๋ดึงแขนไว้ผมดิ้น พยายามสะบัดตัวให้หลุดจากเขา แต่จู่ๆพี่อู๋คุกเข่าลงกอดเอวอ้อนวอนผมด้วยท่าทีต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เขากำลังทำให้ผมไขว้เขวจนไม่กล้าขยับตัว
“อย่าไปนะก้อง”
พี่อู๋ทรุดตัวนั่งบนพื้นแล้วยกมือปิดหน้าเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาร้องไห้ เอาแต่คร่ำครวญว่าอย่าพูดว่าจะไปตายได้ไหมอย่าพูดแบบนั้นอีกได้ไหม พี่ผิดเองที่เอาความหงุดหงิดมาลงที่ก้อง พี่รู้ว่าก้องรอทุกคืนแต่พี่เลิกไม่ได้พี่หยุดตัวเองไม่ได้เพราะวันไหนที่ไม่ได้กินเหล้า พี่นอนไม่หลับเพราะคิดถึงเอม
ผมเริ่มสับสน
“พี่เป็นคนบอกก้องเองว่าต้องเข้มแข็งต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขมากๆ ต้องลืมทุกอย่างแล้วเดินหน้าต่อไป พี่อยากเป็นตัวอย่างให้ก้องแต่พี่กลับทำไม่ได้พี่หยุดโทษตัวเองไม่ได้ว่าเป็นความผิดของพี่ เพราะพี่เห็นแก่ตัว พี่ไม่รับสายเอมพี่เลือกงานก่อนเอม เอมก็เลยตาย”
ผมคงไม่กล้าพูดว่าว่าพี่อู๋ไม่มีส่วนทำให้เอมฆ่าตัวตายผมไม่อยากปลอบเขาด้วยคำว่าอย่าโทษตัวเองเลย พี่ไม่ได้ทำ เอมเลือกเองพี่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ดังนั้นผมจึงทำแค่กอดพี่อู๋ บอกเขาว่าไม่เป็นไรไม่เป็นไร ร้องเลย ร้องออกมา ถ้าพี่เสียใจก็แค่ร้องไห้ออกมา มันไม่ยากเลยครับร้องดังๆ เค้นน้ำตาออกมาเยอะๆ ร้องจนขี้มูกโป่งไปเลย แล้วพี่จะดีขึ้นพี่จะรู้สึกดีขึ้นแค่ร้องไห้ออกมา
“จำที่พี่บอกก้องวันที่เราไปยูเนี่ยนมอลล์ได้ไหม?”
จำได้ครับ ผมตอบพลางนึกย้อนถึงคำพูดสวยหรูที่เข้าไม่ถึงเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
“มีคนบอกให้พี่คิดแบบนั้นพี่ท่องทุกวันต้องมีความสุขสิ มีความสุขเผื่อเอม ลืมทุกอย่างแล้วใช้ชีวิตต่อไปแต่ก้องก็รู้ใช่ไหมว่าใครจะทำได้ ใครมันจะลืมง่ายขนาดนั้น”
ผมเห็นด้วยยอมรับว่าดีใจที่ประโยคสะกดจิตพวกนั้นไม่ใช่ความคิดของพี่อู๋ แต่อยากรู้เหมือนกันว่าใครกรอกหูเขาแบบนั้นอย่าให้ผมเจอนะ จะต่อยปากแตกเลย คนเฮงซวย
พี่อู๋ใช้เวลาเกือบสามสิบนาทีในการปลดปล่อยอารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้มานานพอหยุดสะอื้น เขาก็ผละตัวออก พี่อู๋กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แววตาใจดีของเขามองมาเหมือนวันแรกที่เจอกันเขาลูบหัวผมเบาๆก่อนจะขอโทษที่ทำให้ตกใจ
“พี่ขอโทษนะพี่น่าจะบอกก้องดีๆตั้งแต่แรก” พี่อู๋ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาออกจากแก้มให้ผม“ก้องคงกลัวมากแน่เลย พี่ตะคอกดังขนาดนั้น”
“ผมก็ผิดเหมือนกันที่พูดจาไม่ดีกับพี่ก่อนผมแค่อยากให้พี่อยู่ด้วย”
“แต่พี่ก็กลับบ้านทุกคืนนะ พี่รู้ว่าก้องรอ”
ผมไม่อยากพูดอะไรต่อก็เลยมองกองหนังสือรกๆที่อยู่ตรงหน้าพี่อู๋ถอนหายใจยาว เริ่มแสดงท่าทีอ่อนล้าให้เห็นผมคิดเอาเองว่าเขาคงเหนื่อยเพราะเมื่อกี๊เพิ่งอาละวาดแถมยังร้องไห้ตั้งครึ่งชั่วโมงดังนั้นผมจึงบอกพี่อู๋ให้ไปอาบน้ำ ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ ผมจะเก็บให้เอง
“คิดแล้วอายว่ะ ต่อไปก้องจะเข้มแข็งได้ไงถ้าพี่เป็นแบบนี้”
พี่อู๋พูดขณะถอดกางเกงยีนเขาเดินโซเซเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเตรียมหยิบแปรงสีฟันผมที่กำลังโยนเสื้อผ้าใส่ตะกร้านิ่งชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาเขาหน้าประตูห้องน้ำ
“ผมว่าการยอมรับความรู้สึกตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยครับ”
ผมเกริ่น
“มันไม่เป็นไรถ้าพี่จะร้องไห้เพราะคิดถึงเอมพี่เป็นคนสูญเสีย พี่มีสิทธิ์เสียใจได้นานเท่าที่ต้องการ ไม่ต้องรีบเข้มแข็งเพื่อเป็นแบบอย่างให้ผมพี่ควรใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆมากกว่าหลอกตัวเอง ผมไม่รู้ว่าการแนะนำแบบนี้จะเสือกเกินไปไหมแต่ถ้าพี่อยากร้องไห้ก็ร้องออกมานะครับ ผมไม่ล้อหรอกว่าว้ายๆ อู๋ร้องไห้อู๋ร้องไห้ ผมโตแล้ว ผมเข้าใจ ผมจะเว้นระยะให้พี่ด้วย ถ้าพี่อยากอยู่คนเดียวอ่ะนะ”
พี่อู๋ที่กำลังแปรงฟันถึงกับหยุดชะงักเขาเดินมากอดผมทั้งๆที่ฟองยังฟ่อดเต็มปากจนเปื้อนชุดที่ใส่ ผมอยากร้องอี๋เมื่อคราบฟองเลอะตรงไหล่แต่บรรยากาศไม่ให้ผมจะแสดงท่าทีรังเกียจได้ไงเพราะเรากำลังซึ้งกันอยู่
“ยิ่งก้องดีกับพี่เท่าไหร่พี่ก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่ทำแบบนั้น เรื่องที่พูดเมื่อกี๊อย่าใส่ใจเลยนะ พี่แค่อยากทำให้ก้องเสียใจจริงๆแล้วลุงชัยอยากให้ก้องไปอยู่ด้วย แต่พี่บอกว่าพี่มีกำลังเยอะกว่าพี่น่าจะดูแลก้องดีกว่า เขาก็เลยยอมยกก้องให้พี่”
“ฟังแล้วเหมือนพี่กับลุงกำลังพูดถึงหมามากกว่า”ผมย่นหน้า “ไปแปรงฟันเถอะครับฟองหล่นบนพื้นแล้ว”
พี่อู๋พยักหน้า เขากลับไปอาบน้ำส่วนผมรีบหยิบทิชชู่มาเช็ดเสื้อ พออาบเสร็จเขาก็กระโดดขึ้นเตียงมานอนข้างๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบเก้านาทีกอริลลาก้องนอนหลับบนเตียงกับผู้ปกครองที่เพิ่งพูดทำร้ายจิตใจตัวเองจนย่อยยับไม่มีชิ้นดีต่อให้เขาบอกว่าทั้งหมดแค่พูดเพราะอยากเอาชนะ แต่รอยแผลที่เขาฝากไว้จะไม่มีวันหายไปจากใจผมแน่นอน
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่ากี่โมงไม่รู้
เราสองคนตื่นเพราะเสียงรถกับข้าว
ผมเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นนั่งส่วนพี่อู๋รีบลุกตามเพราะคิดว่าผมจะออกไปไหนพอรู้ว่าเพิ่งนอนไปได้สามชั่วโมงเราก็แสดงท่าทีหงุดหงิดออกมาด้วยกันทั้งคู่พี่อู๋หยิบผ้านวมมาคลุมหัว ส่วนผมหาวปากกว้างแล้วเดินไปที่ระเบียงเพื่อดูว่าวันนี้มีอะไรขายบ้าง
“เงาะจ้า เงาะสดๆจากสวนสีแดงสวยลูกงามเนื้อขาวหวาน ราคาไม่แพงอย่างที่คิด โลกละสี่สิบห้าบาทสี่สิบห้าบาทเท่านั้น -- แล้วยังมีหมูสามชั้นสันในสันคอสันนอกเนื้อแดงก็มีนะจ๊ะ เนื้อไก่ก็มี โลละแปดสิบบาท ครึ่งโลก็ขายจ้าส่วนผักมี --”
พี่อู๋เดินตามมาด้านหลัง เขาขมวดคิ้วมองรถกับข้าวก่อนจะถามว่ากินอะไรดีเดี๋ยวนี้เราไม่ได้ซื้อของสดที่ซูเปอร์มาเก็ตกันแล้ว อาศัยรถกับข้าวที่มาจอดหน้าคอนโดทุกๆสามวันแทนถึงจะราคาแพงกว่าในห้างนิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าฝ่าแยกรัชดาไปซื้อเอง
“พี่อยากกินอะไรครับ?”
“ข้าวสารหมดแล้วใช่ไหม?งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อที่เซเว่นเอง ก้องจะเอาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เอาครับ”
ผมตอบก่อนจะรับเงินห้าร้อยบาทจากพี่อู๋เราเดินลงลิฟต์พร้อมกันแล้วแยกย้ายตรงหน้าคอนโด ผมทำหน้าที่ซื้อผักและเนื้อสัตว์เพื่อทำกับข้าวส่วนพี่อู๋เดินเกาตูดไปเซเว่นด้วยท่าทางเหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มที่ ผมมองตามหลังเขาลึกๆก็ยังเสียใจอยู่เมื่อคิดถึงคำพูดร้ายกาจของพี่อู๋ เมื่อคืนเขาเพิ่งไล่ผมออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมาแต่ตื่นมากลับยื่นเงินให้ห้าร้อยไปซื้อกับข้าว ผมไม่รู้ว่าเราจะอยู่แบบนี้กันไปถึงเมื่อไหร่ถ้าคราวหน้าเขาใช้อารมณ์อีก ผมจะไม่ทนอีกแล้ว
วันนี้รถกับข้าวมีฟักทอง ผมคิดว่าอยากทำเมนูผักให้พี่อู๋กินบ้างก็เลยซื้อกระเทียมซื้อไข่ ซื้อหมูเนื้อแดงอีกครึ่งกิโลและซื้อแอปเปิ้ลมาด้วย พอได้ของครบก็ขึ้นห้องเตรียมล้างผักกับหมูระหว่างรอพี่อู๋กลับจากเซเว่น
ผมปอกเปลือกหั่นฟักทองเนื้อแน่นสมคำอวยของแม่ค้าเป็นชิ้นเล็กๆวางเตรียมในจาน ผมตอกไข่สองฟองปรุงด้วยซีอิ๊วขาวและตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน ระหว่างนั้นก็เปิดเครื่องดูดควัน และตั้งกระทะใส่น้ำมันนิดหน่อยแล้วเจียวกระเทียมจนหอมฟุ้ง พอกระเทียมเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็ใส่ฟักทองลงไปผัดต่ออีกนิดหน่อยให้พอเกรียมๆแล้วใส่น้ำครึ่งถ้วย ปิดฝาพักรอจนฟักทองสุก
ผมใช้เวลานี้ปลีกตัวไปทำแกงจืดผมปอกเปลือกหัวหอม สับหัวท้ายหั่นเป็นสี่ส่วนโยนลงหม้อตามด้วยปีกไก่บนสิบชิ้นกับมันฝรั่ง ทิ้งไว้ซักพักเพราะของพวกนี้สุกยาก ผมกลับไปจัดการฟักทองต่อยกฝาหม้อขึ้นเพื่อใส่ไข่ลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาล ผัดจนไข่สุกถึงตักใส่จานพอผัดฟักทองเสร็จเรียบร้อยผมก็ทำแกงจืด ท่าทางยังไม่ถึงไหนเพราะเนื้อไก่ยังสีชมพูอยู่เลย ระหว่างที่กำลังง่วนอยู่กับการหาเกลือเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เปิดเข้ามาเลยครับ!”
ผมตะโกนเพราะยุ่งอยู่ แต่เสียงเคาะไม่หยุดง่ายๆหนำซ้ำยังดังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนพวกทวงหนี้นอกระบบผมถอนหายใจเซ็งๆเพราะคิดว่าพี่อู๋แกล้งแต่พอเปิดประตูกลับพบว่าแขกผู้มาเยือนไม่ใช่พี่อู๋
เขาเป็นผู้ชายที่สูงแค่ระดับคางของผมดูแล้วน่าจะแก่กว่าไม่กี่ปี หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวดีเหมือนหนุ่มเจ้าสำอางแขกผู้มาเยือนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะกลับมาที่หน้า เขายืนจ้องผมอยู่นาน นานจนต้องถามว่ามาหาใครครับ
“คุณนั่นแหละเป็นใคร?มาทำอะไรในห้องพี่อู๋?”
ผมไม่เข้าใจก็เลยถามย้อนว่าแล้วคุณล่ะเป็นใคร มาเคาะประตูห้องพี่อู๋ทำไมเขาตวัดตามองด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะแทรกตัวเข้ามาในห้องผมที่กำลังสับสนไม่กล้าตอบโต้นอกจากถอยห่างสองสามก้าว ผู้ชายคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้จู่ๆมาเคาะประตูแล้วเข้าห้องหน้าตาเฉย ถ้าเขาเป็นโจรฆ่าชิงทรัพย์ผมอาจจะไม่ได้ตายเพราะกระโดดสะพาน แต่โดนปาดคอตายเพราะเปิดประตูให้คนแปลกหน้า
“อ๋อ -- หรือน้องคือเด็กที่พี่อู๋เก็บมาเลี้ยง?”
แหม พูดเหมือนผมเป็นหมา เก็บมาเลี้ยงที่ไหนเขาเรียกว่าอุปการะ
ผมเถียงในใจ ไม่กล้าต่อปากต่อคำเพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ระหว่างที่ยืนประจันหน้ากัน เสียงกุกกักไขประตูก็ดังขึ้นพี่อู๋ถือถุงเซเว่นเต็มสองมือเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เห็นแขกผู้มาเยือนเขาก็ปล่อยถุงร่วงลงบนพื้นจนได้ยินเสียงเคร้งของขวดแก้ว
“หมูพี --”
พี่อู๋พึมพำผมมองสลับไปมาระหว่างเขาสองคนด้วยความสงสัย ชายที่ชื่อหมูพียิ้มหวานอวดฟันขาว เขาทักทายเจ้าของบ้านก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินที่ดูคุ้นตาออกมา
“พี่ลืมทิ้งไว้ที่ห้องเรา”
“พี -- ออกไปก่อนไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”
“แหม ทำไมใจร้ายจัง ไม่เห็นนุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนขอเอาเลย”
ผมอึ้ง อะไรคือขอเอาของคุณหมูพี
พี่อู๋ดูลำบากใจเมื่อคุณหมูพีพูดประโยคนั้นพวกเขาทำให้ผมอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากไล่พวกเขาให้ไปคุยกันไกลๆไปนั่งบนโซฟาก็ได้ แต่อย่ามองมาที่ผมด้วยสายตาแบบนั้น
“ไม่คิดจะแนะนำเราให้น้องเขารู้จักหน่อยเหรอ?”
คุณหมูพีถามท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนวัยรุ่นเพิ่งโตเป็นสาว พี่อู๋ถอนหายใจแต่ไม่ทำตามที่ขอเขาดันผมให้กลับไปทำกับข้าวและบอกแค่ว่าขอคุยกับเพื่อนก่อน
“เพื่อน? เราไม่อยู่สามเดือนกลายเป็นแค่เพื่อนของพี่แล้วเหรอ?”
ผมคิดไปต่างๆนานาว่าเขาอาจเป็นรูมเมทของพี่อู๋เป็นคนที่เคยแชร์ห้องร่วมกัน เป็นญาติ เป็นเพื่อนหรือใครซักคนที่มีอิทธิพลต่อพี่อู๋มากจนเขาไม่กล้าพูดตรงๆ ผมมองพี่อู๋เป็นเชิงบอกว่าอย่ายุ่งกับผมนะผมไม่ได้อยากรู้ว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน แต่ดูท่าทางคุณหมูพีจะคันปากอยากคุยกับผมมาก
พี่อู๋ใช้นิ้วนวดขมับเบาๆก่อนจะแนะนำคนแปลกหน้าให้รู้จักคุณหมูพีเอียงคอยิ้ม เขายิ้มเก่งมากจริงๆ แต่ตาของเขาไม่ได้ยิ้มเหมือนริมฝีปากเลย
“ก้อง นี่หมูพี”
ผมมองหน้าคุณหมูพีเมื่อพี่อู๋ผายมือไปทางเขาผมยกมือไหว้ สวัสดีครับพี่หมูพี ผมชื่อก้องเกียรติครับจบประโยคไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก
“ก้อง คือหมูพีเนี่ย --”
“หวัดดีก้อง พี่ชื่อหมูพีนะ”
เขายิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะเน้นเสียงตรงประโยคถัดไป
ผมอึ้งรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในรายการชิงร้อยชิงล้านที่โดนลุงหม่ำเอาถาดฟาดหัวอย่างจัง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแนะนำตัวของคุณหมูพีทำให้ผมช็อกจนพูดไม่ออกไม่รู้ว่าควรตกใจกับอะไรก่อนระหว่าง
หนึ่ง พี่อู๋ยังไม่ได้เลิกกับแฟน
หรือสอง
♡
You can send love by leaving comment or hashtag on twitter (⺣◡⺣)♡*
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in