เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
And stop singing!
  • 07

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงหกนาที

     

    กอริลลาก้องกับผู้ปกครองกำลังนั่งรอหน้าห้องตรวจคนไข้เยอะเหมือนเดิม แออัดเหมือนเดิม มีกอริลลาตัวหนึ่งเปิดโรงละคร กอริลลาอีกตัวกำลังพูดกับแม่ซื้อที่มองไม่เห็นส่วนข้างหลังคือกอริลลาที่กำลังสะอึกสะอื้นร้องไห้ สูดน้ำมูกฟุดฟิดโดยมีญาติกอดปลอบตลอดเวลา

     

    วันนี้รอคิวไม่นานผมได้เข้าตรวจคนที่สอง หมอเอ่ยทักทายทันทีเมื่อเห็นกอริลลาก้องเดินคอตกเข้าไปหาเขาถามผมว่าเป็นไงบ้าง หลับสบายดีไหม ผมตอบเขาไปว่าสบายมากครับสบายจนได้แอดมิทโรงพยาบาลเลย --

     

    ล้อเล่น ผมไม่ได้บอกหมอเรื่องนั้น

     

    ก่อนที่เราจะเริ่มคุยกันผมส่งซองจดหมายสีขาวให้หมอ พี่อู๋ฝากมาให้ครับผมขยายความเมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วงุนงง เมื่อหมอเปิดอ่านข้อความในกระดาษซึ่งดูจากข้างหลังก็พอเดาได้ว่าเป็นใบรับรองแพทย์ผมนึกอยากออกไปอาละวาดไอ้คนขี้ฟ้องที่นั่งเล่นโทรศัพท์หน้าห้องจริงๆ

     

    อาทิตย์ก่อนก้องฆ่าตัวตายเหรอ?

    ครับ

     

    ผมตอบ แล้วหมอก็ถามถึงที่มาที่ไปผมเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไฟไหม้บ้าน ชีวิตพลิกผันเป็นเด็กวัดเพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ก็ทยอยย้ายออกทีละคนๆ ขนาดไอ้แดงหมาเวรยังมีบ้านใหม่แต่ผมไม่มีใคร หดหู่มากครับ อยากตายมากครับ สิ้นหวังมากครับ หมอตั้งใจฟังเรื่องเฮงซวยของนายก้องเกียรติตั้งแต่ต้นจนจบพอบอกว่าตอนนี้ย้ายไปอยู่กับพี่อู๋แล้ว เขาก็ถามว่าบ้านใหม่เป็นไงบ้าง

     

    เวลคั่มทูลาดพร้าวซิตี้

     

    ผมตอบด้วยประโยคเดียวกับที่พี่อู๋พูดเมื่อวันก่อน

     

    ถ้าไม่เจอรถติดแปลว่ามาไม่ถึงลาดพร้าว

     

    คอนโดของพี่อู๋อยู่ห่างจากแยกรัชดาไม่เท่าไหร่ซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด โครงการแรกทางขวามือ ชั้นสี่ ขนาดห้องไม่ได้คับแคบอย่างที่คิดเป็นคอนโดขนาดกลางที่มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นมีพื้นที่ค่อนข้างมากและครัวบิลท์อินเล็กๆอยู่ติดประตูทางซ้ายมือ

     

    ก้องชอบบ้านใหม่ไหม?

     

    ผมเงียบครู่หนึ่งตอบได้ไม่เต็มปากว่าชอบหรือไม่ชอบผมขออาศัยบ้านคนอื่นอยู่คงไม่เหมาะที่จะวิจารณ์หรือติติงอะไรแต่เพราะความคันปากอยากด่ามันทนไม่ไหว ผมจึงบอกความคิดตัวเองให้หมอรู้

     

    ชอบครับ แต่ก็รกมากครับ

     

    พี่อู๋คือผู้ชายอายุสามสิบเอ็ดที่โคตรซกมกและขี้เกียจในคอนโดของเขามีแต่โจ๊กซอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง พวกของพร้อมกินต่างๆแบบไม่ต้องปรุงแต่ที่เยอะสุดก็คือหนังสือ เขามีประมาณสี่ร้อยหกสิบเอ็ดเล่ม --

     

    สี่ร้อยกว่าเลยเหรอ?

    ครับ ผมนับเองกับมือ

     

    ผมเล่าพลางนึกถึงวันแรกที่ย่างเท้าเข้าไปห้องพี่อู๋กว้างก็จริงแต่พอมีหนังสือวางซ้อนเป็นกองๆก็เลยดูแคบมากหมอถามว่าได้อ่านหนังสือของพี่อู๋บ้างไหม ผมส่ายหน้าเพราะเขาไม่ค่อยมีหนังสือการ์ตูนหรือนิยายมีแต่พจนานุกรมเล่มใหญ่ หนังสือคันจิ ศัพท์แปลในวงการต่างๆ และหนังสือแนวสารคดีเต็มไปหมด

     

    ปกรณัมปรัมปรา เซเปียนส์ ญี่ปุ่นสมัยใหม่อาดัม สมิธ โลกการพัฒนาใต้เงาเผด็จการ พจนานุกรมอังกฤษไทย พจนานุกรมญี่ปุ่นไทย เยอะมากครับเขาอ่านอะไรก็ไม่รู้ อีกเรื่องที่จำได้คือโลลิตา เป็นนิยายหนาๆเล่มสีชมพู

     

    พี่อู๋คือหนอนหนังสือตัวจริง แต่คงเป็นหนอนประเภทชอบเอาหนังสือมากองรวมกันเพื่อชื่นชมมากกว่าผมเล่าให้หมอฟังว่าในห้องนอนเล็กที่พี่อู๋ยกให้มีหนังสือเป็นสิบเล่มกองอยู่บนเตียงบ่งบอกว่าเขาเองก็ใช้ห้องนี้ด้วยดูเหมือนว่าเขาอยากนอนห้องไหนก็นอน ไม่มีห้องของอุรัสยาหรือก้องเกียรติมีแค่ที่นอนสำหรับเขาเท่านั้น

     

    แต่ก็มีความสุขดีใช่ไหม?

    ครับผมตอบไม่ลังเลกับคำถามนี้ ผมดีใจที่เขาให้อยู่ด้วย

     

    หมออมยิ้มก่อนจะเปลี่ยนมาคุยเรื่องจริงจังเขาบอกผมว่าปกติแล้วคนไข้ที่คิดฆ่าตัวตายตลอดเวลาต้องแอทมิดโรงพยาบาลเพราะกลัวว่าจะทำสำเร็จในครั้งถัดไปผมรีบส่ายหน้า บอกหมอว่าไม่เอาครับ ไม่แอทมิดครับ อยากอยู่บ้านใหม่ครับ จะไม่ทำแบบนั้นแล้วครับเข็ดแล้วจริงๆครับ สารพัดคำอ้อนวอนที่พรั่งพรูบอกหมอ เขาก็เลยยอมเชื่อใจ งั้นคราวนี้หมอจะปล่อยกอริลลาก้องไปอยู่กับผู้ปกครองเหมือนเดิมก่อนแล้วกัน

     

    แล้วจดหมายถึงแม่ล่ะ?ก้องได้เขียนหรือยัง?

     

    ผมส่ายหน้าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเมายานอนหลับเลยไม่ได้เริ่มเขียนซักตัวหมอถามว่ามีความในใจที่อยากบอกแม่แล้วใช่ไหม ผมพยักหน้า

     

    ผมไม่ได้เขียนเพราะพี่อู๋ชอบเดินป้วนเปี้ยนตลอดครับ

    งั้นเขียนเลยไหม?หมอจะให้เวลาส่วนตัวกับก้องซักสิบนาที

     

    ผมลังเลปากบอกว่าเกรงใจคนไข้ที่รอหน้าห้องแต่จริงๆแล้วกลัวมากกว่าผมกลัวว่าการเขียนจดหมายจะยิ่งทำให้คิดถึงแม่ และคงรู้สึกแย่มากถ้าเอาแต่พร่ำเพ้อหาแม่ในตอนนี้โชคดีที่หมอบอกว่าไม่เป็นไร สะดวกเมื่อไหร่ค่อยบอกลากัน นอกจากนั้นหมอถามถึงเรื่องสอบซ่อมด้วยผมบอกเขาว่ายังไม่มีอารมณ์เลย แค่มาหาหมอก็เหนื่อยแล้ว พอคิดว่าต้องอ่านหนังสือสอบอีกรอบก็อยากไหลตายไปให้พ้นๆ

     

    ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะไม่ต้องรีบร้อน

     

    หมอพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น

     

    เดี๋ยววันนี้หมอขอเปลี่ยนยาใหม่นะช่วยเรียกพี่อู๋มาพบหมอด้วย หมอมีเรื่องจะคุย

    ครับ

     

    ผมตอบเดาออกเลยว่าคราวนี้นายก้องเกียรติยี่สิบเม็ดต้องโดนทำโทษแน่ๆ

     

     




     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงหกนาที

     

    มื้อพิเศษหลังพบหมอวันนี้คือบอนชอน ผมเคยได้ยินชื่อหลายหนแต่ยังไม่เคยลองพี่อู๋พาผมเปิดโลกของไก่ทอดด้วยปีกไก่รสซอย การ์ลิคคู่กับไชเท้าดองที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆไก่ทอดบอนชอนรสชาติไม่เหมือนไก่ทอดลุงชื่นซักนิด แป้งของบอนชอนหนากว่า ซอสที่คลุกไก่ก็อร่อยกว่าและราคาแพงกว่าของลุงเกือบสิบเท่า

     

    เอ้านี่ กินอีก กินเยอะๆ

     

    พี่อู๋ตักปีกไก่ให้ ผมก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยสิ่งที่ผมประทับใจในบอนชอนที่สุดไม่ใช่ไก่ทอดแต่เป็นไชเท้าดองสีขาวที่เสิร์ฟมาน้อยนิดต่างหากไก่ทอดรสชาติออกหวานนิดๆ เค็มหน่อยๆ พอกินคู่กับไชเท้าดองรสเปรี้ยวช่วยตัดเลี่ยนได้ดีมากอย่าให้พูดเลยว่าผมชอบแค่ไหน บอกได้คำเดียวว่าชอบมาก ชอบสุดๆ ผมอยากมีชีวิตอยู่เพื่อกินไก่ทอดกับไชเท้าดองตลอดไป

     

    พี่อู๋สั่งซุปกิมจิมาด้วย แต่มันไม่อร่อยเท่าไหร่สำหรับผมแล้วไชเท้าดองคือที่สุด มันอร่อยจนต้องร้องบันไซ บันไซ บันไซ อร่อยจนสายรุ้งออกจากปากเลย

     

    ถ้ากินแต่ไชเท้าดองวันหลังพี่ดองให้กินที่บ้านก็ได้

     

    พี่อู๋คงเห็นผมกินไชเท้ามากกว่าไก่ก็เลยพูดประชดผมประชดกลับว่าขอบคุณครับ ทำเลย ผมจะกินข้าวกับไชเท้าดองทุกวันผมจะเหยาะแม็กกี้ลงบนข้าวร้อนๆที่มีไชเท้าดองโรยหน้ากับไก่ทอดหาดใหญ่ซักชิ้นผมจะกินไชเท้าดอง กอริลลาก้องรักไชเท้าดอง

     

    ผมเคี้ยวแก้มตุ่ยเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าจนลืมสังเกตพี่อู๋ ชั่วขณะหนึ่งแววตาของเขาอ่อนโยนกว่าปกติเขาดูมีความสุขที่เห็นผมกิน ดีใจเมื่อผมบอกว่าอันนั้นอร่อยอันนี้อร่อยผมจ้องตาพี่อู๋กลับ เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วก้มกินส่วนของตัวเองต่อ

     

    พี่ไม่เคยเจอใครสถาปนาตัวเองเป็นแฟนพันธุ์แท้ไชเท้าดองเหมือนก้องเลย

    จริงเหรอครับ?

    จริงสิ

    พี่อู๋เคยพาน้องมากินร้านนี้ไหมครับ?

    เคย

     

    พี่อู๋เขี่ยข้าวในจาน ท่าทางเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัดผมอยากตบปากตัวเองที่ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่กร่อยลงเพราะคำถามง่อยๆไม่ดูเวล่ำเวลา

     

    น้องชายพี่เกลียดไชเท้าดอง เขาชอบกิมจิมากกว่า

     

    เราต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่พี่อู๋รวบช้อนเมื่อกินหมดแค่ครึ่งถ้วยแล้วเรียกเช็กบิลส่วนผมไม่แตะไชเท้าดองอีกเลย

     

     


     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสิบเจ็ดนาที

     

    ฝนเทกระหน่ำเหมือนพายุเข้าผมนอนไม่หลับ

     

    คืนที่สี่แล้วที่ผมย้ายมาอยู่บ้านใหม่พี่อู๋ยกห้องนอนเล็กให้ผม ส่วนเขานอนห้องใหญ่ที่อยู่ติดกันปกติผมกินยานอนหลับตอนสามทุ่มแต่ไม่เคยหลับเร็ว ตอนอยู่ที่บ้าน ยาพวกนี้เคยได้ผลผมเคยหลับหกชั่วโมงติดกันเมื่อนอนบนพื้นไม้ แต่หลังออกจากโรงพยาบาลผมนอนไม่หลับเลยแถมต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการสะกดจิตตัวเองให้หลับทุกคืน

     

    ห้องนอนของผมมีเฟอร์นิเจอร์แค่สี่ชิ้นคือเตียงโต๊ะเล็กๆข้างเตียงสองตัว และตู้เสื้อผ้า บนหัวเตียงมีแอร์เครื่องเล็กส่งเสียงดังครืดทุกห้านาทีผมไม่ชอบนอนห้องแอร์แต่ไม่มีทางเลือกเพราะบ้านใหม่มีพัดลมแค่ตัวเดียวในโถงนั่งเล่นผมนอนฟังเสียงครืดของแอร์ เสียงเปาะแปะของฝนสาดกระทบหน้าต่างเสียงฟ้าร้องจนพื้นสั่นและเสียงหัวใจเต้นรัวของตัวเองอยู่เป็นชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าคงไม่หลับเร็วๆนี้จึงออกไปเดินเล่นนอกห้องนอนกะว่าจะหาอะไรทำแก้เซ็งจนกว่าจะง่วงไปเอง

     

    คอนโดของพี่อู๋ -- หรือบ้านใหม่ของผมนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่ายเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้หรูหราแต่ก็เข้ากับพื้นลามิเนตเป็นอย่างดีโถงนั่งเล่นมีทีวีจอใหญ่ติดฝาผนังหนึ่งเครื่อง มีเครื่องเล่นดีวีดีเครื่องเล่นบลูเรย์ เครื่องเล่นเกม มีชั้นวางสำหรับซีดีและเพลง แต่กลับไม่มีชั้นหนังสือมีโซฟานุ่มๆหนึ่งตัว โต๊ะเล็กสองตัว พัดลมหนึ่งตัว แอร์หนึ่งตัว กองหนังสืออีกสามร้อยกว่าเล่มที่วางซ้อนกันข้างโต๊ะหน้าทีวีและเปียโนไฟฟ้าของยามาฮ่าหนึ่งหลัง

     

    เปียโนตัวนี้สีดำมันวาว เป็นทรงสี่เหลี่ยมสูงวางชิดติดผนังไม่เหมือนคีย์บอร์ดไฟฟ้าเสียบปลั๊กโล้นๆที่ขายในบีทูเอสมีฝาปิดคีย์และคันเหยียบสามอัน ดูหรูหราและสง่างามเหมือนในหนังฝรั่ง

     

    ตอนเปิดประตูเข้ามาในบ้านครั้งแรกสิ่งที่สะดุดตาผมคือเปียโนตัวนี้ มันโดดเด่นและแตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ในห้องราวกับอยู่ผิดที่ผิดทางราวกับมันไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแต่ถูกย้ายจากที่ไหนซักแห่งมาวางทิ้งไว้ตรงนี้ วางในบ้านของพี่อู๋ วางข้างโซฟาสีน้ำตาลเข้มวางตรงหน้านายก้องเกียรติ ห่างออกไปแค่ไม่กี่เซน

     

    ผมย่างเท้าเข้าไปหาเปียโนใช้มือสัมผัสเบาๆตามแผ่นไม้มันวาวสีดำ ฝุ่นหนาเขรอะติดปลายนิ้วบ่งบอกว่ามันถูกละเลยมานานผมลองทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ เปิดฝาครอบคีย์ออกเพื่อสำรวจดูอย่างถือวิสาสะ แป้นคีย์สีขาวสลับดำเรียงแถวดูลายตาผมไม่เคยเรียนดนตรีหรือเห็นเปียโนมาก่อน พอได้นั่งดูใกล้ๆแล้วรู้สึกชอบมันมากชอบจนอยากลองกดดูซักครั้ง

     

    เปรี้ยง!

     

    จังหวะที่กำลังวางนิ้วชี้ลงบนคีย์ เสียงฟ้าผ่าทำให้ผมสะดุ้งตกใจจนต้องรีบปิดฝาครอบตามเดิมแล้วถอยห่างจากเครื่องดนตรีราคาแพงไม่เอาแล้ว ไม่แอบเล่นแล้ว แต่พรุ่งนี้จะเช็ดทำความสะอาดให้นะ ถึงพี่อู๋จะไม่เคยสั่งให้ทำงานบ้านแต่มันอดไม่ได้เมื่อเห็นห้องรกๆที่ไม่ได้เก็บกวาดมาเป็นเดือนๆเพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับที่ซุกหัวนอนและอาหารทุกมื้อ ผมจึงช่วยทำความสะอาดเริ่มสำรวจและทำความรู้จักเจ้าของห้องผ่านทางหนังสือ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมถึงรูปถ่ายด้วย

     

    พูดถึงรูปถ่าย --

    ผมก็นึกถึงความเฉยเมยของตัวเองที่ไม่สนใจพี่อู๋

     

    ทั้งๆที่คำถามอย่างเขาเป็นใครมาจากไหนทำงานอะไร มีพี่น้องกี่คน ปกติใช้ชีวิตยังไง  พวกนั้นเป็นคำถามง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงปากหนักไม่กล้าถามนอกจากเรื่องที่เป็นธุระของตัวเอง

     

    หาหมออีกครั้งเมื่อไหร่ครับ

    ผมต้องตื่นกี่โมงครับ

    พี่อู๋จะกินอะไรครับ จะได้ทำเผื่อ

     

    ทุกอย่างมีแต่เรื่องของนายก้องเกียรติดังนั้นสิ่งที่คนขี้อายอย่างผมพอจะทำได้คือการดูรูปถ่ายของเจ้าบ้านแล้วเดาเอาว่าพื้นเพของพี่อู๋เป็นยังไงเขามีเชื้อสายจีน เป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องสามคนพี่อู๋มีพี่สาวที่น่าจะแก่กว่าไม่กี่ปีและมีน้องชายที่อายุห่างกันสิบสี่ปีเท่านายก้องเกียรติ

     

    พวกเขาสามคนหน้าคล้ายกันพี่สาวของพี่อู๋ตาตี่แบบสาวหมวย น้องชายของเขาก็ด้วย พี่อู๋เป็นคนเดียวที่ตาสองชั้นเขาคงได้มาจากแม่เพราะชายมีอายุที่ยืนโอบไหล่ลูกคนเล็กในรูปถ่ายนั้นมีตาชั้นเดียว ส่วนคุณป้าที่น่าจะเป็นแม่มีตาสองชั้นสั้นๆคือพี่อู๋ได้หน้าของแม่มามากกว่าพ่อ เมื่อดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ฐานะทางบ้านน่าจะค่อนข้างดีด้วยนี่คือคร่าวๆที่ผมพอเดาได้ แต่รายละเอียดปลีกย่อยยังไม่รู้

     

    เปรี้ยง!

     

    ฟ้าแลบเป็นประกาย ตามด้วยเสียงดังกึกก้องอีกหนคราวนี้ผมหยุดมองนาฬิกา เที่ยงคืนห้านาที แต่ยังไม่ง่วงเลย ผมถอนหายใจด้วยความเซ็งจะเปิดทีวีดูก็กลัวฟ้าผ่า จะกลับไปลองกดเปียโนก็กลัวพี่อู๋ว่า ดังนั้นผมจึงย้ายตัวเองไปนั่งท่ามกลางกองหนังสือทั้งสามร้อยกว่าเล่มตั้งใจว่าจะแบ่งหมวดหมู่ให้เรียบร้อยแล้วค่อยวางซ้อนเป็นชั้นแต่พอต้องยกทุกเล่มมาวางเรียงกันเพื่อจัดประเภทผมก็รู้สึกท้อแท้เพราะพี่อู๋อ่านหนังสือหลายแนวเหลือเกิน

     

    อันนี้ญี่ปุ่น อันนี้ -- ประวัติศาสตร์

     

    แล้วต้องแบ่งด้วยไหมว่าประวัติศาสตร์ตะวันออกหรือตะวันตกเอเชียหรือยุโรป อเมริกา จีน หรือแยกหมวดคร่าวๆแค่ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์การเมือง ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ พี่อู๋ดูเป็นคนใฝ่รู้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาอ่านทุกอย่างจนผมไม่รู้ว่าควรใช้เกณฑ์อะไรแบ่งประเภทด้วยซ้ำ

     

    หลังจมปลักในกองหนังสืออยู่เกือบสองชั่วโมงในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ฝนยังคงตกเหมือนเดิมไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนนี้ใกล้ตีสองแล้วความง่วงเริ่มมานิดๆเพราะเหนื่อยกับการยกวางหนังสือเป็นร้อยครั้ง ดังนั้นผมจึงปิดไฟตรงโถงกลางเดินกลับห้องตัวเองเพื่อเตรียมตัวเข้านอน

     

    ครืน -- ครืน --

     

    ฟ้าร้องเป็นระยะ เสียงเปาะแปะของฝนกระทบหน้าต่างเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆสงสัยเข้าหน้ามรสุมแล้ว อีกซักพักคงได้ยินคำว่าน้ำรอการระบายจากผู้ว่าแน่ๆ พอฝนตกหนักเข้าก็เริ่มคิดถึงวันเก่าๆถ้าบ้านไม่ถูกไฟไหม้ ผมจะทำอะไรอยู่ ผมคงกำลังนอนบนฟูก ห่มผ้าเน่าถึงคอเพราะหนาว นอนฟังเสียงฝนจนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวิดน้ำที่เอ่อท่วมเข้าบ้านทุกครั้งที่ฝนตกหนัก

     

    พอออกมานอกบ้านผมจะเห็นลุงชื่นแกล้งไอ้แดงด้วยการเอามันใส่กะละมังใบใหญ่แล้วลอยตามน้ำ เห็นข้าวฟ่างเอาห่วงยางออกมาเล่นแม้ว่าน้ำจะท่วมแค่เข่าเห็นลุงชัยเดินบ่นเป็นหมีกินผึ้งเพราะเอามอเตอร์ไซค์ลุยน้ำไม่ได้ ส่วนป้าเพ็ญฉลาดกว่าใครทุกครั้งที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกหนักในอีกไม่กี่วันเราจะเห็นกระสอบทรายวางกั้นหน้าบ้านแกเรียบร้อย

     

    คิดถึงจัง -- ทุกคนเป็นไงบ้างนะ

     

    ผมสงสัย เริ่มอาลัยอาวรณ์บ้านหลังเก่าอีกครั้งหลังเพิ่งทำใจได้ไม่นานเมื่อไหร่ที่นึกถึงวันเก่าๆผมจะรู้สึกแย่และร้องไห้ทุกครั้ง คราวนี้ก็เช่นกันนายก้องเกียรติบนที่นอนสปริงหนานุ่ม มีผ้านวมอุ่นๆคลุมถึงคอเริ่มร้องไห้เงียบๆคนเดียว

     

    ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงทุกคน และอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอยากเป็นก้องเกียรติ ไอ้ก้อง พี่ก้อง น้องก้องของทุกคนในซอยแต่ก็เหมือนฝันลมๆแล้งๆผมกลับไปไม่ได้แล้ว ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว แม้แต่อนุสรณ์ของแม่ก็ละลายติดราวบันไดไม่เหลืออะไรให้ดูต่างหน้าเลย

     

    ครืน --

     

    ฟ้าร้องอีกครั้ง ผมหดหู่เพราะโหยหาอดีตถึงจะเปิดแอร์ยี่สิบแปดองศาแต่กลับรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูกเหงื่อเริ่มออกมากขึ้นเรื่อยๆจนเสื้อชื้นท่ามกลางความมืดมีแค่นายก้องเกียรติคนเดียว นอนอยู่คนเดียวในห้องที่ไม่คุ้นเคยเสียงแอร์ที่ดังเป็นระยะสลับกับเสียงฟ้าร้องปั่นประสาทผมมาก ยิ่งพยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ยิ่งทรมานเท่านั้น

     

    หลับสิ หลับ หลับ หลับ

     

    ผมท่อง

     

    หลับได้แล้ว จะเช้าแล้วต้องหลับแล้ว

     

    ผมพลิกตัวไปมาจนเหนื่อย ร่างกายส่งเสียงประท้วงว่าต้องพักแต่ทำไม่ได้แค่หยุดคิดฟุ้งซ่านก็ทำไม่ได้ อาการนอนไม่หลับมันทรมานแบบนี้นี่เอง ยิ่งกว่าอยากตายแต่ไม่ได้ตายต้องอดทนรอเป็นชั่วโมงๆ ผมเริ่มร้องไห้เมื่อนาฬิกาบอกเวลาว่าตีสาม อีกสองชั่วโมงจะเช้าแล้วแต่ร่างกายยังไม่ได้พักผมเหนื่อยและเบื่อกับการสะกดจิตตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่หลับซักที

     

    ท่ามกลางความมืด เสียงฟ้าร้องเสียงฝนกระทบหน้าต่าง เสียงแอร์ดังครืดๆและความเครียดผมเห็นแสงสว่างสาดเข้ามาในห้องเล็กน้อย เงาตะคุ่มสูงใหญ่ยืนอยู่ที่ประตูผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นพี่อู๋ เขาคงแอบเปิดเข้ามาดูเพราะคิดว่าผมหลับ แต่ผมยังไม่หลับและกำลังร้องไห้เพราะรู้สึกทรมานกับมันเหลือเกิน

     

    ยังไม่หลับเหรอ?

     

    พี่อู๋คงได้ยินเสียงแปลกๆ เขาจึงเปิดประตูกว้างปล่อยให้แสงจากหลอดไฟข้างนอกสาดเข้ามาในห้องมืดๆของกอริลลาก้องทันทีที่เห็นผู้ปกครองผมก็โผล่หน้าออกจากผ้านวม สูดน้ำมูกฟุดฟิดเพื่อโกหกเขาว่าเป็นภูมิแพ้แต่พี่อู๋รู้ทัน

     

    ทำไมถึงไม่หลับล่ะ? กินยาหรือยัง?

    กินแล้วครับ

    กลัวฟ้าร้องเหรอ?พี่อู๋ถาม เขาเดินมานั่งข้างเตียง กลิ่นแอลกอฮอลล์ฉุนกึกจนผมตกใจ หรือคิดถึงบ้านอีกแล้ว?”

     

    ครับ

     

    ผมตอบและบอกเขาว่าอยากกลับบ้านมากแค่ไหน พี่อู๋ไม่พูดอะไร เขารับฟังเงียบๆ ลูบหัวผมลูบไหล่ผม ไม่แสดงท่าทีอย่างอื่นนอกจากหลับตาแล้วจับตัวผมเท่านั้น

     

    พี่ออกไปข้างนอกเหรอครับ?

    อืม เพิ่งกลับจากข้าวสารอ่ะเขาหาวปากกว้าง ดูง่วงจนผมอิจฉา

    พี่กินเหล้ามาเหรอ?

    ช่าย

    พี่ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่เห็นรู้เลยผมถาม พี่อู๋เอานิ้วชี้แตะปากแล้วส่งเสียงจุ๊ๆ ผมว่าเขาคงเมาจริงๆ

    ย่องเบาออกไป เดินบนปลายเท้า กลัวก้องตื่น

    ผมไม่เคยหลับต่างหาก

    เดี๋ยวคืนนี้ก็หลับพี่อู๋ว่า ไปนอนห้องพี่สิ

    ไม่เป็นไรครับ ผมนอนคนเดียวได้

    มาเถอะ ฝนตกแบบนี้น่ากลัวจะตายมานอนเป็นเพื่อนพี่หน่อยก็แล้วกัน

     

    พี่อู๋ดึงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่ง กอริลลาก้องที่กำลังเศร้าถึงกับเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทันเพราะต้องเดินตามคนเมาลากไปนอนด้วยกันในห้องใหญ่พี่อู๋เปิดไฟในห้อง เผยให้เห็นสภาพเละเทะของกองหนังสือไม่ต่างจากข้างนอกเขาบอกผมว่าตามสบายเลย กระโดดขึ้นเตียงเลยแต่ผมไม่อยากทำอย่างนั้นเพราะบนที่นอนยังมีหนังสือกองอีกหลายเล่ม

     

    โทษที พี่ชอบนอนอ่านหนังสือน่ะ

     

    ครับ ผมรู้เห็นจากกองหนังสือทั้งหมดแล้วพอเดาได้

     

    พี่อู๋เป็นประเภทชอบอ่านแต่ไม่ถนอมพอเห็นว่าบนเตียงมีหนังสือวางอยู่ก็เอามือกวาดลงพื้นแบบไม่คิดอะไร เขาสะบัดผ้าห่มสองสามครั้งแล้วเรียกผมให้ไปนอนมาเร็วก้อง นอนก่อนเลย ขอพี่แปรงฟันก่อน เมื่อกี๊กินข้าวมันไก่มา ขมปากมาก เริ่มอยากอ้วกว่ะทำไงดี

     

    พี่ไหวไหมเนี่ย?

    ไหว

     

    เขาตอบก่อนจะเรอเอิ๊กเสียงดัง

     

    เออลืมบอก พี่ไม่ชอบห่มผ้ากับใครอ่ะก้องต้องเอาผ้าห่มมานอนด้วยแล้วล่ะ

     

    ไม่มีปัญหาครับ พี่จัดการตัวเองเถอะ

     

    ผมคิดในใจระหว่างไปเอาผ้านวมที่ห้องนอนเล็กตอนกลับเข้ามาผมไม่เห็นพี่อู๋แล้ว เหลือแค่กางเกงยีนส์กองทิ้งไว้บนพื้นกับเสื้อโปโลสีดำส่วนตัวเขายืนสะลึมสะลือแปรงฟันหน้ากระจกในห้องน้ำ ผมหยิบเสื้อผ้าของพี่อู๋ใส่ตะกร้าบอกเขาว่าพรุ่งนี้จะซักให้นะครับ พี่จะซักตัวไหนอีกบ้าง พี่อู๋รีบตอบทันที

     

    บ็อกเซอร์ๆๆ ฝากด้วย

     

    แล้วเขาก็ถอดตัวที่กำลังใส่ให้นายก้องเกียรติ

     

    ขอบใจมากก้อง นอนก่อนเลยพี่ว่าจะอาบน้ำหน่อย เดี๋ยวก้องรังเกียจ

     

    ครับ เอาที่พี่สะดวกเลย

     

    พี่อู๋จัดการธุระโดยไม่ปิดประตูด้วยซ้ำเขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยในห้านาทีกลิ่นสบู่โพรเท็คหอมอบอวลทั่วเตียงเมื่อพี่อู๋ก้าวขึ้นมาผมได้ยินเสียงอะไรซักอย่างลากไปบนพื้น เดาเอาว่าเขาคงใช้เท้าเขี่ยหนังสือให้พ้นทาง

     

    นอนได้แล้วก้อง นอนๆๆๆ

     

    เขาพูดรัวก่อนจะปิดไฟในห้องมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงฟ้าแลบผ่านทางหน้าต่างผมรู้สึกถึงพี่อู๋ที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ เขาขยับเข้ามาหาทีละนิดแล้วบอกว่า --

     

    ขอหมอนข้างนะพี่นอนไม่หลับถ้าไม่มีหมอนข้าง

    ครับ

     

    นึกว่าจะทำอะไร ที่แท้ก็หวงหมอน

     

    นอนนะก้อง หลับได้แล้ว พี่ง่วงมาก

    ครับ

     

    พี่นอนเถอะ ผมไม่ได้ขอให้ถ่างตาอยู่เป็นเพื่อนเสียหน่อย

     

    เมื่อไหร่ก้องจะโต พี่อยากพาก้องไปเที่ยวด้วยจะพาไปจองโต๊ะบริค

    ผมโตแล้ว

    โตกว่านี้อีกเขางัวเงีย

    ผมอายุสิบเจ็ดแล้วไม่เด็กแล้วนะครับ

    อายุสิบเจ็ดได้มาเป็นสาวรำวงมาใส่กระโปรงวับๆแวมๆ

     

    อะไรวะเนี่ย

     

    จีนี่จ๊ะ จีจี่จ๊ะ ออกมาอาอ๊าอาอา

     

    ผมขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเขาถึงร้องเพลงออกมาหน้าตาเฉย พี่อู๋ยังคงพูดเรื่อยเปื่อยตามประสาคนเมาเขาร้องเพลงไม่หยุดจนผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอหลับเมื่อไหร่ แต่ลืมตาอีกทีก็เช้าแล้วส่วนพี่อู๋ยังนอนขดอยู่ข้างๆ เขาห่อตัวเองเป็นดักแด้แล้วอิงแอบกอริลลาก้องเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นผมไม่กล้าขยับตัวอยู่นาน แอบมองหน้าพี่อู๋ตอนหลับเป็นชั่วโมงแล้วหายใจ

     

    พี่อู๋นอนดิ้นเป็นบ้าเตียงตั้งกว้างแต่กลับกลิ้งมาเบียดผมเกือบตกเตียง หลังจากนอนมองเพดานจนเบื่อผมก็ลุกไปทำงานบ้านฆ่าเวลาระหว่างรอเขาตื่น หวังว่าตอนนั้นพี่อู๋คงหายเมา และเลิกร้องเพลงจีนี่จ๋าซักที








    You can send love by leaving comment or hashtag on twitter (⺣◡⺣)♡*


    #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in