06
ผมไม่ได้เสียการรับรู้ทั้งหมดซะทีเดียวทุกอย่างพร่ามัวและตัดไปมาเหมือนกึ่งกลับกึ่งตื่น ผมรับรู้ว่าตัวเองถูกอุ้มวางทิ้งที่ไหนซักแห่งได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจดังปิ๊บๆ ได้ยินเพลงเบบี้ชาร์คสลับกับเสียงกรีดร้องของเด็กผมมั่นใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในนรก การหลับโดยมีเด็กร้องกรี๊ดข้างๆต้องเป็นหนึ่งในการชดใช้กรรมแน่ๆ
แสงสีขาวสว่างจ้ารบกวนการตายของผมมากผมบอกให้ยมบาลปิดไฟ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ฟังคำขอเท่าไหร่ ที่น่าแปลกอีกอย่างคืออุณหภูมิรอบตัวเย็นจนผมตัวสั่นไม่นานนักใครซักคนก็ห่มผ้าให้ เดี๋ยวนี้ยมโลกเขาเซอร์วิสคนตายกันแบบนี้แล้วเหรอ
“หนาว”
ผมทำปากขมุบขมิบ ยมทูตดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอราวกับรู้ใจคราวนี้ผมได้ยินเสียงรถเข็นและเห็นเงาลางๆ พวกเขาแวะมาดูผม พูดกับยมทูตเสื้อสีชมพูแล้วก็ชวนผมคุย ผมไม่รู้ว่ายมทูตในนรกต้องการอะไรผมแค่อยากขอให้พวกเขาทิ้งผมไว้ตรงนี้และช่วยปิดเพลงเบบี้ชาร์คให้หน่อยส่วนคุณจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่ายุ่งกับผมนักเลย ตื่นเมื่อไหร่จะไปต่อแถวชดใช้กรรมเอง
“ก้อง --”
เสียงพี่อู๋อีกแล้ว
“-- บัตรประชาชนก้อง --”
ขนาดตายแล้วยังจะขอดูบัตรประชาชนอีก
ผมส่ายหน้า ไม่รับรู้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะรู้สึกง่วงเกินว่าจะตอบคำถามผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่อีกไม่กี่อึดใจหลังจากยมทูตเสื้อชมพูยกมือขึ้นลูบหัวผมการรับรู้ทุกอย่างก็ดับวูบลง
☁
มันเหมือนภาพเบลอๆพร่ามัว ผมรับรู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงซักพักพี่อู๋ก็เดินเข้ามาหา เขาพาผมไปฉี่ในห้องน้ำ ประคองผมแน่นด้วยแขนข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็ลากเสาอะไรซักอย่างไปพร้อมกัน ตอนนั้นผมทรงตัวไม่ได้เลยเหมือนแรงโน้มถ่วงของโลกหายไปจนทุกอย่างกลับทิศกลับทางไปหมดผมไม่สามารถโฟกัสกับอะไรได้แม้กระทั่งกางเกงของตัวเอง และแน่นอนว่าคนที่ช่วยปลดกางเกงและทำภาระกิจให้ลุล่วงคือพี่อู๋ผมไม่เข้าใจว่าเขามายุ่งกับมินิก้องทำไมหรือผมหมกมุ่นคิดถึงเขามากเกินไปจนเก็บมาฝันลามกแบบนี้
“ก้อง --”
พี่อู๋เรียกชื่อผม
“ก้อง --”
ตอนยังมีชีวิต งานอดิเรกของพี่อู๋คือการเรียกนายก้องเกียรติแบบไม่มีเหตุผลแม้กระทั่งตอนตาย เสียงของเขายังตามหลอกหลอนจนผมสับสนแต่ความอุ่นจากตัวของพี่อู๋ทำให้ไม่แน่ใจว่าที่นี่คือนรกจริงๆหรือผมแค่หลับอยู่บนบ้านแล้วพี่อู๋ก็แวะมาหา แวะมากวนประสาทด้วยการเรียก ก้อง ก้อง ก้อง อยู่ข้างหู
“พี่อู๋?” ผมถามรู้สึกลำคอแห้งผากชอบกล
“ใช่ พี่เอง”
“อือ”
ผมขานเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะดูดน้ำจากหลอดที่พี่อู๋ส่งให้แล้วล้มตัวลงนอนเพื่อหลับยาวอีกครั้ง
☁
ลุงก็ชัยมาที่นี่ผมได้ยินเสียงของลุงดังอยู่ไม่ไกลแต่ขี้เกียจลืมตา ผมได้ยินลุงกับพี่อู๋คุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายกับอนาคตของนายก้องเกียรติบทสนทนาของพวกเขาขาดๆหายๆเพราะยังเบลออยู่ที่แน่ๆผมได้ยินลุงชัยบอกว่าแกมีเงินไม่พอ ใจความหลักคือแค่นั้นส่วนรายละเอียดปลีกย่อยผมไม่รู้แล้ว
หลังจากหลับๆตื่นๆเกือบสามวันเช้าวันที่สี่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ที่นี่ไม่ใช่นรกแต่เป็นห้องเดี่ยวของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ราคาแพงเกินกว่าคนไร้บ้านจะจ่ายไหว
คนแรกที่เห็นหลังลืมตาคือพยาบาลคนที่สองคือหมอ คนที่สามคือคุณป้าทำความสะอาด ผมรู้สึกเวียนหัวและสับสนมากจนไม่รู้จะถามอะไรจึงทำได้แค่นอนเบลอบนเตียงมองฝ้าเพดานสีขาวพร้อมกับฟังเสียงข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์หลังจากนั้นแม่บ้านก็เข้ามา เธอวางถาดข้าวให้ผมแล้วเดินจากไป
กับข้าวในโรงพยาบาลมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ผมไม่มีอารมณ์จะเปิดฝาถ้วยด้วยซ้ำ ผมเอาแต่เหม่อมองข้างหน้าชักสงสัยว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนถูกปล่อยทิ้งกลางทะเลมันเลื่อนลอยไม่เห็นจุดหมายและไม่มีเรื่องให้คิดเลยนอกจากนอนเฉยๆจนเวลาผ่านไปถึงตอนบ่ายพี่อู๋เปิดประตูห้องเข้ามาในจังหวะที่ผมกำลังแกะสายน้ำเกลือพอดีเขาอุทานเสียงดังด้วยความตกใจแล้วรวบมือผมให้ห่างจากเข็มบนหลังมือ
“ก้องจะทำอะไร?”
“มันคัน” ผมตอบไม่เข้าใจว่าการเกาเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน
พี่อู๋รีบยกมือซ้ายของผมไปดูใกล้ๆมีเลือดซึมออกมาตามสายเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างยังปกติดี เข็มยังปลอดภัยไม่โดนนายก้องเกียรติกระชากออกอย่างที่คิด
“พยาบาลบอกว่าก้องตื่นแต่เช้าเลย”
อืม เหรอ
“เป็นไงบ้าง?
คลื่นไส้นิดหน่อย แต่ทนไหว
“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง?
ก็คนมันไม่หิว จะบังคับอะไรนักหนา
“ก้อง”
อะไรอีก
“ทำไมไม่ตอบคำถามพี่?”
ผมขมวดคิ้วมุ่นงุนงงว่าทำไมพี่อู๋หาว่าไม่ยอมตอบคำถาม ผมกระพริบตาช้าๆ ยังคงมึนอึนไม่รับรู้สิ่งที่เขาพูดเลยแต่ดูเหมือนพี่อู๋จะเข้าใจ เขาบอกผมว่าไม่เป็นไรนอนพักอีกหน่อยเราค่อยคุยกันเรื่องบ้านก็ได้
บ้านทำไม
ผมสงสัยแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไฟไหม้บ้าน แต่ถามว่าไหม้วันไหนนี่ไม่รู้หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้ ผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้แค่ว่าตัวเองชื่อก้องเกียรติแม่ตายแล้ว บ้านไฟไหม้แล้ว และผู้ชายที่ยืนข้างเตียงชื่ออู๋ ชื่อจริงคืออะไรไม่รู้แต่เขาเคยบอกว่าชื่ออุรัสยา
“พักเยอะๆนะ”
ผมเอนตัวนอนราบทันทีไม่อยากรับรู้หรือปะติดปะต่อเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น พี่อู๋กดรีโมตเบาเสียงทีวี เขาไม่ได้ยืนข้างเตียงแล้วแต่ไปนั่งเล่นโทรศัพท์บนโซฟาแทน เขาปล่อยให้ทุกอย่างนิ่งสงบอยู่ชั่วครู่ผมหลับอีกครั้ง
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้านาที
ผมตื่นเพราะพยาบาลเข้ามาวัดความดันผมถามเธอว่าขอกินข้าวหน่อยได้ไหม ผมนอนยาวตั้งแต่ช่วงบ่าย หิวมาก ยังไม่ได้กินอะไรเลยดังนั้นพยาบาลจึงช่วยจัดหาอาหารและประคองให้นั่งบนเตียง พอเห็นผมนั่งเหม่อเธอก็ถามว่าต้องการให้ป้อนไหม ผมส่ายหน้า บอกว่าไม่เป็นไรแต่ก่อนออกไปช่วยเปิดทีวีให้ด้วย
“ปุ่มเรียกพยาบาลอยู่ข้างเตียงถ้าต้องการความช่วยเหลือกดเรียกได้ตลอดเวลานะคะ”
เธอวางรีโมตลงข้างมือแล้วเดินออกจากห้องไปเสียงละครภาคค่ำดังขึ้น ผมตักข้าวเข้าปากคำแรก เคี้ยวสองสามครั้งแล้วกลืนลงคอมันเจ็บ คอของผมเจ็บเหมือนโดนบีบจนช้ำ ผมฝืนใจกินอีกคำก่อนจะวางช้อนกดปุ่มเรียกพยาบาลขอให้เธอช่วยเป็นธุระพาไปเข้าห้องน้ำหน่อย
นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มห้าสิบนาที
ละครหลังข่าวจบแล้วผมนั่งเหม่อบนเตียงโดยมีเสียงรายงานข่าวของคุณกิตติอยู่เป็นเพื่อนยามดึกผมเพิ่งรู้ว่าพี่อู๋ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเขากลับไปเมื่อไหร่แต่ลืมตาอีกทีทั้งห้องก็มีแค่ผมคนเดียว ลึกๆผมค่อนข้างเสียใจที่ตื่นมาไม่เจอใครแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าความโดดเดี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมตั้งแต่แรกผมไม่เคยมีใครอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ชินกับความรู้สึกนี้เสียที
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสิบสองนาที
หมอขึ้นตรวจรอบเช้าเขาบอกว่าถ้าคืนนี้ไม่มีอะไร พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้
ผมไม่ดีใจซักนิดเมื่อได้ยินคำว่ากลับบ้านผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในห้วงของความว่างเปล่าเป็นชั่วโมงๆจนกระทั่งพี่อู๋มาเขาเปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกับถุงสีขาวที่มีคำว่า
“ตื่นนานหรือยังก้องพี่ซื้อเป็ดย่างกับหมี่หยกมาฝาก”
ผมมองพี่อู๋จัดแจงวางกล่องพลาสติกลงบนโต๊ะเรียบร้อยเมื่อเห็นท่าทางเพลียๆไม่มีแรง พี่อู๋ก็ช่วยป้อนให้
ผมไม่ปฎิเสธเมื่อบะหมี่สีเขียวกับเป็ดย่างถูกคีบจ่อตรงปากผมอ้าปากรับเอาความอร่อยเข้าไปเต็มคำจนเส้นหมี่ล้นออกมาพี่อู๋หยิบทิชชู่เช็ดให้ทันที แล้วเขาก็ป้อนผมอยู่แบบนั้นจนบะหมี่หมดไปครึ่งกล่องผมเบือนหน้าหนีเมื่อพี่อู๋พูดว่าคำสุดท้าย คำสุดท้าย โกหกเถอะคำสุดท้ายไม่มีอยู่จริง ผมกินคำสุดท้ายของเขามาสี่ครั้งแล้ว
“หมอบอกว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้”
“พี่รู้แล้ว”
เหรอครับ แล้วไงต่อ?
มารับผม -- แล้วยังไงต่อ
ผมต้องกลับไปอยู่วัดต้องตื่นไปบิณฑบาตกับหลวงตาและใช้ชีวิตตามรอยพี่บอลใช่ไหมหลังจากนั้นผมจะอยู่กับใคร พี่อู๋จะมาหาผมที่วัดเหมือนที่เคยไปหาถึงบ้านไหมแล้วนัดของหมอล่ะ นัดวันพุธที่เขาพาไปตลอดต้องยกเลิกหรือเปล่าผมอยากให้ใครซักคนพูดว่าสถานะของผมคืออะไรอย่างน้อยขอแค่บอกให้รู้ว่าชีวิตผมควรอยู่ตรงไหน ผมจะได้คิดต่อ
พี่อู๋ไม่ยอมบอกหรือเล่าอะไรให้ฟัง แม้แต่เหตุผลที่การขาดการติดต่อไปสี่ห้าวันก็ไม่บอกเหมือนเขามาที่นี่เพื่อเอาเอ็มเคมาฝากและนอนคลุมโปงบนโซฟา ผมถามเขาว่าเหนื่อยเหรอพี่อู๋ถอนหายใจ
“ง่วงเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”
เขาโกหก ผมรู้สีหน้าของพี่อู๋มีแต่ความเหนื่อยหน่ายการดูแลเด็กประสาทแดกทั้งๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัวคงทำให้เขาลังเลผมว่าตอนนี้คือรอยต่อระหว่างจะทิ้งหรือเลี้ยงไว้ แต่คิดแล้วก็ขำตัวเองนายก้องเกียรติเหมือนหมาวัดที่รอคนอุ้มกลับบ้านไม่มีผิด
เราอึดอัดกันอยู่นานจนช่วงบ่ายสามลุงชัยก็เปิดประตูเข้ามาสีหน้าของลุงไม่ค่อยดีเหมือนกัน ผมถามลุงว่าสบายดีไหมแวะมาหากันแบบนี้ไม่เสียเวลาวิ่งวินเหรอ ลุงชัยอ้ำๆอึ้งๆ ลังเลที่จะบอกจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือแกลุงถึงได้พูดออกมา
ผมรับฟัง แต่ยังจับใจความไม่ได้ลุงชัยมาที่นี่เพื่อเอาสมบัติสุดท้ายของผมมาให้ กระเป๋าผ้าเลอะๆหนึ่งใบโทรศัพท์มือถือกับปากกาหนึ่งแท่ง ส่วนยาของสมเด็จเจ้าพระยาพี่อู๋เอามาตั้งแต่วันแรกแล้วเขาฝากไว้กับพยาบาลเพื่อให้ผมกินเป็นเวลา
“ถ้าลุงรวย ลุงคงเลี้ยงเอ็งได้แต่ตอนนี้ลุงก็ไม่เหลือเก็บเลยเหมือนกัน”
ครับ ผมเข้าใจ
“อย่าน้อยใจล่ะ”
ไม่ ไม่หรอก ผมจะน้อยใจลุงได้ยังไง ลุงดีกับผมจะตาย
ลุงชัยดึงผมเข้าไปกอดกลิ่นเหงื่อจากตัวของลุงบ่งบอกถึงการทำงานหนักแลกเงิน มันคือความขัดสนของชนชั้นล่างที่แค่ตัวเองยังเอาไม่รอดถ้าต้องเลี้ยงคนป่วยจิตอีกคน ลุงคงไม่มีวันได้เริ่มใหม่แน่ๆ
“คุณอู๋คงเลี้ยงเอ็งดีกว่าลุง”
แหม เรียกคุณอู๋ด้วย
“เริ่มต้นกันใหม่นะก้องไม่ใช่แค่เอ็งที่ไม่เหลืออะไร ชีวิตยังอีกยาวไกล อย่าท้อเพราะอุปสรรคแค่นี้ --”
บลา บลา บลา
ลุงชัยรู้แล้วว่าผมป่วยก็เลยพูดเสียยืดยาวผมจึงปล่อยเบลอด้วยการเปิดวาร์ปไปอยู่ที่อื่นซักพัก ผมอยากบอกลุงว่าไม่ต้องอธิบายหรอกผมเข้าใจดี เข้าใจทุกอย่างที่ลุงกำลังจะสื่อผ่านน้ำเสียงและท่าทางรู้สึกผิดผมอยากบอกลุงว่าไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ แต่ก็อดน้อยใจชีวิตบัดซบของตัวเองไม่ได้
“พรุ่งนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแวะไปกราบขอบคุณหลวงพ่อด้วยนะ”
ผมพยักหน้าแต่ลุงชัยยังไม่เดินออกจากห้อง แกล้วงหยิบเอากระเป๋าสตางค์แล้วส่งธนบัตรสีม่วงให้ผม
“ลุงมีแค่นี้แต่อยากให้เอ็งไว้กินไว้ใช้”
ผมก้มมองมือแห้งสากของลุงชัยที่บีบมือผมแน่นธนบัตรยับยู่ยี่เมื่อลุงพยายามดันมันเข้ามาในฝ่ามือเพื่อบังคับทางอ้อมให้รับเงินไป
“โทรมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ”
ลุงทิ้งท้ายผมยกมือไหว้แล้วพูดขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาครับผมพูดแค่นั้นจริงๆ แต่ลุงชัยกลับบ่อน้ำตาแตกจนต้องเดินมากอดอีกรอบ
“โชคดีก้อง โชคดี”
ลุงตบหลังผมสองสามทีแกมองผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมพี่อู๋ผมวางสมบัติสุดท้ายของตัวเองบนโต๊ะข้างเตียง ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วการไม่มีผมเป็นตัวถ่วงน่าจะดีกับลุงชัยมากที่สุด ซึ่งผมเองก็ค่อนข้างพอใจผมไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะผมอีก
พี่อู๋กลับเข้ามาในห้องหลังไปส่งลุงประมาณยี่สิบนาทีผมเดาเอาว่าพวกเขาคงตกลงหาทางออกให้ตัวปัญหาอย่างนายก้องเกียรติเรียบร้อย เขาเดินมาข้างเตียงลูบหัวผมเบาๆแล้วพูดประโยคที่บีบคั้นความรู้สึกของผม
“จำได้ไหมที่พี่เคยบอกว่าพี่จะเป็นผู้ปกครองของก้อง”
ผมพยักหน้า จำได้ครับผมไม่เคยลืมประโยคนั้นเลย
“หลังจากนี้พี่จะดูแลก้องเอง”พี่อู๋หยุดลูบหัว “ย้ายไปอยู่กับพี่นะก้อง”
หลังจากตกอยู่ในห้วงของความสับสนมานานในที่สุดพี่อู๋ก็บอกเสียทีว่านายก้องเกียรติต้องระเห็จไปอยู่กับใคร
“ลองอยู่กับพี่ก่อนถ้าอยู่แล้วรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจ เราค่อยหาทางออกวันหลังก็ได้”
“ขอบคุณครับ”
ผมยกมือไหว้ขอบคุณเพราะลึกๆแล้วไม่อยากอยู่วัดที่นั่นไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย จะหนีไปร้องไห้คนเดียวก็ไม่ได้นอนเฉยๆเป็นคนขี้เกียจทั้งวันก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือที่เงียบๆที่มีแค่นายก้องเกียรติคนเดียวผมอยากอยู่อย่างนี้ซักพัก ไม่อยากใช้ความคิด ไม่อยากวางแผนอนาคตไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากหายใจเข้าออกและพยายามลืมภาพไฟไหม้บ้านในคืนนั้น
“ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่ถึงใจดีกับผมขนาดนี้ขอบคุณมากครับ”
ผมยังคงยกมือไหว้ขอบคุณค้างไว้เหมือนเดิมพี่อู๋รวบมือของผมลง เขายิ้มแต่ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม
“พรุ่งนี้อยากกินอะไรก่อนกลับบ้านหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ ไม่รบกวนดีกว่า”
“แวะกินซอลบิงที่เซ็นปิ่นอีกดีไหม?”
“อย่าเลยครับ มันแพง”
“คราวนี้สั่งสตรอว์เบอร์รี่”
ว้าว สตรอว์เบอร์รี่
“หรือก้องอยากกินเมล่อน?”
“ไม่อยากกินเมล่อนแล้วครับ”
“งั้นสตรอว์เบอร์รี่เนอะ”
ผมพยักหน้า ยิ้มกว้างดีใจเมื่อคิดว่าไม่ต้องกลับไปอยู่วัดอีกพี่อู๋เขกหัวผมเบาๆ เขาแซวว่าเห็นตาเป็นประกายวิบวับกับน้ำลายที่หยดติ๋งๆเพราะอยากกินน้ำแข็งไสผมเพิ่งรู้นะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมดูเป็นคนตะกละในสายตาของพี่อู๋ขนาดนั้นเลย
“พรุ่งนี้พี่จะมารับ อาบน้ำแต่งตัวรอเลยนะ”
“พี่อู๋จะมาจริงๆใช่ไหมครับ?”
“จริงสิ พี่จะโกหกก้องทำไมล่ะ”เขาถามย้อน
“วันก่อนพี่หายไป พี่ไม่โทรหาผมเลยพี่หายไปไหนมา ปกติพี่โทรหาผมทุกวัน”
คราวนี้พี่อู๋เงียบแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนใจที่จะตอบคำถาม ผมมั่นใจว่าพี่อู๋มีเรื่องที่ต้องจัดการและเรื่องนั้นคงสำคัญกว่าเด็กจิตป่วยที่อยู่กับเขาตอนนี้แน่ๆ
“ไว้คราวหลังพี่จะเล่าให้ฟัง”พี่อู๋ให้สัญญา แต่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ “เดี๋ยวย้ายไปอยู่ด้วยกันก้องจะรู้เอง”
ก้องจะรู้เอง
โอเค จบ ผมจะไม่ถามเซ้าซี้พี่อู๋อีก
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงสี่สิบเอ็ดนาที
พี่อู๋มาหาผมจริงๆตามที่สัญญาไว้ หัวใจของกอริลลาก้องเริงร่าเมื่อเห็นผู้ปกครองเดินเข้ามาในห้องหลังถอดเข็มน้ำเกลือและอาบน้ำโกนหนวดเรียบร้อย พี่อู๋ก็ลงไปจ่ายเงินที่ห้องธุรการเขาปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวเกือบชั่วโมงก่อนจะกลับมาพร้อมยาและบอกว่าถึงเวลาแล้ว
“หิวหรือยัง?”
“เฉยๆครับ”
“แต่พี่หิว ไปเซ็นปิ่นกันเถอะ”
พี่อู๋ชวนในหัวของเขามีแต่เรื่องกินยิ่งกว่าผมเสียอีก ดังนั้นการเดินทางของนายก้องเกียรติจึงเริ่มจากข้าวหน้าเทมปุระกุ้งและผมกินเหลือ ต่อด้วยบิงซูสตรอว์เบอร์รี่ ซึ่งแน่นอนว่าผมกินเหลืออีกพี่อู๋บ่นงุบงิบตามประสา เขาบอกว่าคนอายุสามสิบกินของแบบนี้มากไม่ได้เพราะจะเป็นเบาหวานแต่มือของเขากลับตักน้ำแข็งไสเข้าปากไม่หยุด
“ก็อย่ากินเยอะสิครับ”
ผมปล่อยให้เขาพูดขิงข่าไปเรื่อยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเริ่มเหม่อตั้งแต่ตอนไหน กว่าจะรู้อีกทีก็ได้ยินเสียงพี่อู๋โหวกเหวกอยู่ข้างๆพร้อมกับทำท่าประหลาดๆแล้ว
“ดาวแม่เรียกก้องเกียรติ ฮัลโหลๆหากได้ยินข้อความโปรดตอบกลับด้วย”
“จ่าก้องเกียรติ! จ่าก้องเกียรติ!”
เขาเริ่มขึ้นเสียงใส่ท่าทางโอเวอร์เหมือนผมเป็นนักบินที่ขาดการติดต่อไปจริงๆ
“ไม่นะ!ผู้การครับ! จ่าก้องเกียรติหายไปแล้ว!”
เออ เอาซักหน่อยก็ได้
“ครับ จ่าก้องเกียรติอยู่นี่ครับ”
“ดีมาก”พี่อู๋ยกนิ้วโป้ง “ที่นี้ก็กลับบ้านได้แล้ว”
แล้วละครลิงยามบ่ายที่นำแสดงโดยกอริลลาก้องกับนักบินอู๋ก็จบลงแค่นี้
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามสิบสามนาที
ผมกับพี่อู๋เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจของอดีตนักการเมืองระหว่างรอหลวงพ่อเทศนาครั้งสุดท้ายผมต้องกลับมาอยู่ในบรรยากาศเดิมๆอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้เสียงเพลงโศกบรรเลงผ่านทางลำโพงญาติๆสูดน้ำมูกกันฟุดฟิดเมื่อตัวแทนกล่าวคำไว้อาลัย พวกเขานั่งพนมมือในชุดขาวดำฟังบทสวดที่ไม่เข้าใจ และมองโลงศพถูกยกขึ้นเชิงตะกอน
ผมเห็นคุณยายคนหนึ่งร้องไห้จนเป็นลมเมื่อสัปเหร่อช่วยกันแบกโลงใส่เตาเผาผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเพราะเคยผ่านงานของแม่มาแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าการยืนหน้าเตานั้นบีบคั้นขนาดไหนความคิดที่ว่าเราไม่มีวันได้เจอกันอีกจะคอยตอกย้ำตลอดเวลาจนบางครั้งก็ทำใจไม่ได้ ผมมองภาพตรงหน้าและเริ่มคิดถึงงานของแม่คิดถึงตอนเปิดฝาโลงเพื่อมองหน้าแม่ คิดถึงใบหน้านิ่งสงบที่ดูมีความสุขของแม่คิดถึงเถ้ากระดูกของแม่ คิดถึงเชือกของแม่ คิดถึงแม่ คิดถึงแม่
ผมอยากกลับบ้านไปเจอแม่
หลังอดทนกับความหดหู่อยู่นานในที่สุดผมก็ได้กราบลาหลวงพ่อตามที่รับปากลุงชัยเอาไว้พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมเดินเตร่ในวัดนานราวกับรู้ว่าบรรยากาศงานศพกำลังทำให้ผมรู้สึกแย่เขาพูดสั้นๆแค่ว่ากลับกันเถอะแล้วตรงไปที่รถทันที
“พี่จะให้ผมอยู่ด้วยจริงๆเหรอครับ?”
ผมถามย้ำเผื่อเขาเปลี่ยนใจผมจะได้เดินกลับไปขอพึ่งใบบุญหลวงพ่ออีกครั้ง
“จริงสิ ก้องไม่เชื่อเหรอ?”
พี่อู๋ตอบพลางขับรถมือเดียวด้วยท่าทางคล่องแคล่วผมไม่ถามเซ้าซี้นอกจากเหม่อมองนอกหน้าต่าง ยิ่งรถวิ่งไกลจากบ้านเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น ผมใจสั่นทุกครั้งที่คิดว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้วแม่ไม่อยู่แล้ว บ้านก็ไม่มีแล้ว หลังจากนี้ผมต้องทำยังไงผมจะอยู่ต่อไปได้ยังไงในเมื่อทุกอย่างหายไปหมดแล้ว
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสามสิบสี่นาที
ผมสิ้นหวังจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
ตอนนี้พี่อู๋กำลังขับผ่านสะพานที่เราเจอกันครั้งแรกริมฝีปากผมสั่นเมื่อเห็นราวจับสีเขียวที่เคยปีนขึ้นไปแม่น้ำเจ้าพระยากระเพื่อมอยู่ข้างล่างท้องฟ้าตอนห้าโมงเย็นเป็นสีส้มสดตัดกับความเข้มของแม่น้ำ แดดสะท้อนเข้าตาจนพร่า ผมมีความคิดอยากหนีลงจากรถ
เพราะผมคิดถึงแม่
ผมอยากไปอยู่กับแม่
ต่อให้พี่อู๋รับไปอยู่ด้วยแล้วยังไงไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะเหมือนเดิมเสียหน่อย ไม่มีใครรู้ว่าพี่อู๋จะให้อยู่ด้วยถึงเมื่อไหร่ถ้าวันนึงเขาเบื่อ เขาไม่มีเงิน เขาอาจจะทิ้งผมก็ได้ ผมไม่ได้อยากเป็นภาระใครแต่มันไม่มีทางเลือกแม่ตายแล้ว บ้านก็ไหม้หมดแล้ว เพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ก็แยกย้ายกันไปหมดแล้วผมมีแค่พี่อู๋คนเดียว ถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนไป ผมจะทำยังไง
งั้นผมควรตายไปเลยดีไหม
ดีกว่าอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้ ดีกว่าเป็นภาระคนอื่นแบบนี้
ความคิดอยากกระโดดสะพานเริ่มวนเวียนในหัวผมปาดน้ำตาเงียบๆพลางเหลือบมองพี่อู๋ เขายังคงขับรถด้วยมือข้างเดียวตามองตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทางจริงจัง พี่อู๋คงคิดไม่ถึงว่าผมกำลังจิตตกถึงขั้นวางแผนฆ่าตัวตายแต่ผมจะไม่ลังเลเหมือนครั้งแรก ผมจะรีบตรงไปที่ราวสะพาน ปีนขึ้นไป กระโดดลงแม่น้ำอย่างรวดเร็วจนพี่อู๋คว้าเอาไว้ไม่ทันและจะไม่มีใครหยุดผมได้ไม่มีใครหยุดความรู้สึกไร้ค่าของผมได้นอกจากแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อวางแผนในใจเสร็จ ผมก็แอบปลดล็อคซีทเบลท์แสร้งทำเป็นอึดอัดกับสายนิรภัยที่พาดอยู่กลางอก พี่อู๋เปลี่ยนคลื่นวิทยุไปที่รายการเพลงเขาเคาะนิ้วบนพวงมาลัยอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ผมกำลังเตรียมพร้อม เมื่อรถจอดสนิทตรงสัญญาณไฟผมจึงรีบเปิดประตูทันที
แต่มัน
ล็อก
“ทำอะไรอ่ะก้อง?”
ผมดึงประตูเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยโฮออกมาพี่อู๋ต้องมองถนนสลับกับมองกอริลลาก้องที่จิตหลุดระหว่างทางกลับบ้านจนเสียสมาธิ ผมระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้เขารู้ด้วยความอัดอั้นบอกให้พี่อู๋รู้ว่าผมเครียดมากแค่ไหนที่ไม่ได้กลับไปอยู่บ้านของตัวเอง
“ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับบ้าน”
ผมร้องไห้ รู้สึกอึดอัดจนหัวแทบระเบิดพี่อู๋อาจจะอยากจับตัวกอริลลาก้องมาเขย่าแรงๆเพื่อเรียกสติแต่เพราะต้องขับรถก็เลยทำได้แค่รับฟังและตอบคำถามอย่างใจเย็น ผมพรั่งพรูความกังวลออกมาจนพี่อู๋ตอบไม่ทันเมื่อถามว่าจะให้อยู่ถึงเมื่อไหร่ คำตอบของเขาคือจนกว่านายก้องเกียรติจะพร้อม
ผมยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกเพราะแต่ละคำตอบของเขาไม่ชัดเจนจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ รอจนพร้อมแล้วค่อยย้ายออกก็ได้คำว่าพร้อมของพี่อู๋คืออะไรผมก็ไม่เข้าใจ ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับผมเลย
“ต้องให้พี่บอกเป็นวันเดือนปีเลยเหรอก้องถึงจะสบายใจ?คำว่านานแค่ไหนก็ได้น่าจะชัดเจนแล้วนะ” พี่อู๋บอกเขาหันมามองผมที่กำลังสะอึกสะอื้นเสียงดังลั่นรถ “ก้อง --”
“ผมกลัว ผมอยากกลับบ้านอยากกลับไปอยู่ที่ของตัวเอง”
“แต่ก้องไม่มีบ้านแล้ว”
“ผมเลยอยากไปอยู่กับแม่ไง!”
ผมลืมตัว ขึ้นเสียงใส่ผู้มีพระคุณโดยไม่ทันคิดพี่อู๋มองมาอย่างหนักใจ เมื่อรถเคลื่อนลงจากสะพานเขาก็เปิดไฟเลี้ยวจอดริมฟุตปาธเพื่อคุยกัน
“พี่รู้ว่าก้องเสียใจรู้ว่าก้องคิดถึงแม่ เชื่อพี่เถอะว่าวันหนึ่งก้องจะได้เจอแม่แน่ๆ แต่ต้องไม่ใช่วันนี้”พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาบีบนวดมือที่กำลังสั่นเกร็งของผมแล้วสบตา“ถ้าก้องคิดว่าการย้ายไปอยู่กับพี่คือการรบกวนงั้นลองคิดแบบนี้ดีไหม? คิดเสียว่าย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ก็ได้”
“พี่มีเพื่อนเยอะแยะ พี่ไม่จำเป็นต้องมีผมหรอก”
“จำเป็นสิ เพราะก้องทำให้พี่คิดถึงน้องชายธันวานี้เขาจะอายุสิบแปดเหมือนก้องเลย”
“งั้นพี่ก็เรียกน้องมาอยู่แทนผมสิ”
“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไม?”
“เขาเสียแล้ว”
ผมอึ้งเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนไม่เคยรู้ว่าพี่อู๋มีน้องชาย ไม่รู้ว่าน้องเขาเสียแล้วเพราะตลอดเวลาที่เจอกันผมอยู่แต่ในโลกของตัวเองผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่อู๋ถึงดีกับผมขนาดนี้ พี่อู๋คงเห็นผมเป็นตัวแทนทุกอย่างที่เขาทำคงเป็นเพราะคิดถึงน้องเขาเห็นนายก้องเกียรติเป็นภาพสะท้อนของน้องชาย
“วันแรกที่เจอก้องพี่ตัดสินใจแล้วว่าอยากดูแลก้องจนกว่าจะหายดี” พี่อู๋เหยียดแขนทำเป็นยืดเส้นยืดสายเขาวางมือลงบนหัวของผมแล้วลูบเบาๆ “โลกนี้มีเรื่องสนุกๆให้ทำตั้งเยอะอย่ารีบไปไหนเลย อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนเนอะ”
ผมร้องไห้ตอนที่พี่อู๋บอกว่าอยู่ด้วยกันก่อนเป็นชั่วขณะหนึ่งที่เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญและลืมความคิดกระโดดสะพาน พี่อู๋ปล่อยให้ผมร้องอยู่นานจนพอใจเมื่อเห็นผมเช็ดน้ำตาครั้งสุดท้ายเขาก็ถามว่าโอเคหรือยัง ผมพยักหน้ารับยิ่งกว่าโอเคครับ แล้วบอกเขาว่าเสียใจด้วยเรื่องน้องชายต่อไปผมจะคุยกับเขามากกว่านี้ ผมจะใส่ใจพี่อู๋ให้มากกว่านี้
“ก้องก็เป็นก้องนั่นแหละไม่ต้องช่างพูดช่างคุยเพื่อใครหรอก”
พี่อู๋ยิ้ม ดูโล่งอกเมื่อเห็นผมคาดเข็มขัดนิรภัยตามเดิมและเลิกฟูมฟาย
“กลับบ้านกันนะก้อง”
“ครับ”
ผมตอบ พี่อู๋ยิ้มกว้างแล้วเปิดไฟเลี้ยวเตรียมออกรถอีกครั้งมุ่งหน้าสู่แยกรัชดาลาดพร้าวเพื่อพาผมไปบ้านหลังใหม่ตามที่สัญญาไว้
♡
You can send love by leaving comment or hashtag on twitter
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in