ผมหลับตา ปล่อยให้ความมืด ความร้อนความเหนื่อย ความรู้สึกห่วยๆเข้ามามีส่วนร่วม ถ้าเปรียบเป็นเวทีมวย ผมคงกำลังโดนชกซะน่วม อาจจะหงายหมอบตั้งแต่โดนหมัดของความอ่อนเพลียด้วยซ้ำ แต่น่าเศร้าที่ผมยกธงขาวขอให้พวกมันหยุดไม่ได้เพราะนี่คือชีวิตจริง ความผิดหวัง ความเสียใจ ความสูญเสียไม่ได้หายไปจากสมองของเราได้ง่ายๆ และผมจมอยู่กับมันมานานพอแล้ว หลังจากชิมสตาร์บัคส์ผมจะฆ่าตัวตาย วันนี้ผมต้องตายให้ได้ ไม่งั้นภาวะนอนไม่หลับจะหวนกลับมาชกผมอีก
เสียงพี่น้องไบรท์รายงานข่าวอย่างต่อเนื่องราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมเงี่ยหูฟังว่าจะมีรายงานข่าวเด็กวัยรุ่นพยายามฆ่าตัวตายบนสะพานหรือไม่แต่ยังไม่มีวี่แวว ผมได้ยินข่าวหมากัดเด็ก วัยรุ่นยิงปืนขึ้นฟ้า หวยถูกขโมย แชร์ลูกโซ่ โดนัล ทรัมป์ บลา บลา คิมจองอึน บลา บลา ไม่มีข่าวจรรโลงใจซักข่าว และโชคดี
ระหว่างนอนหมดอาลัยตายอยาก จู่ๆพัดลมเพดานส่งเสียงกึกกักดังขึ้นราวกับประท้วงขอเวลาพัก ผมยอมกัดฟันลุกขึ้นยืน พาร่างหนักอึ้งไปปิดพัดลมก่อนจะกลับมานอนแผ่ที่เดิม
ไม่เหลืออะไรเลย
แค่คิดว่าเย็นนี้จะอยู่ยังไง
การมองไม่เห็นอนาคตน่ากลัวกว่าความตายหลายเท่า คนอื่นตื่นมาเพื่อทำงาน แต่ผมตื่นขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตให้หมดวันอย่างไร้ความหมายเพราะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน ผมสอบเข้ามหาลัยไม่ได้และไม่มีเงินจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟสำหรับเดือนนี้แล้วด้วย ไอ้โง่เอ๊ย ผมด่าตัวเอง เมื่อวานไม่น่ากินเยอะเลย อย่างนี้ก็หมายความว่าผมต้องรีบตายก่อนการไฟฟ้าจะตัดไฟ หรือไม่ก็ทนอยู่ในบ้านร้อนๆแบบนี้จนกว่าจะแห้งตายเอง
แล้วเมื่อไหร่จะตาย?
ก็ไม่รู้เหมือนกัน
เสียงกุกกักข้างล่างบอกผมว่าลุงชื่นกำลังแขวนข้าวเช้าไว้ที่ประตูบ้าน ผมรอจนลุงปิดประตูรั้วเหล็กแล้วจึงเดินลงบันไดไป
ข้าวเหนียวห่อใหญ่กับน่องไก่สามชิ้น
ขอบคุณครับลุงชื่น
แต่ผมไม่อยากกิน
ผมเดินเลยเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมาซดอึกๆ ช่วงนี้ผมไม่อยากอาหาร แต่การปล่อยให้ท้องว่างนี่ทรมานเป็นบ้า ผมจำเป็นต้องกินเพื่อให้กระเพาะหยุดร้องและเลิกบีบตัวประท้วงขออาหาร ไม่งั้นผมต้องลำบากเจียดเงินซื้อยาธาตุน้ำขาวอีกขวดแน่ๆ
นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงสี่สิบสองนาที
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างไร้คุณค่าเพราะผมยังนอนบนพื้นไม้กระดาษแข็งๆที่เดิม มองฝ้าเพดานบวมน้ำที่ไม่รู้จะทรุดลงมาเมื่อไหร่อย่างเลื่อนลอย ตัวผมอยู่ในบ้านแต่ความคิดล่องลอยเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ผมต้องบังคับตัวเองให้อดทนจนถึงบ่ายสอง หลังจากนั้นพี่อู๋จะมา เขาจะพาผมไปกินสตาร์บัคส์และไปส่งที่สะพานเอาล่ะ -- เลิกท้อแท้ได้แล้วคิดถึงแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไว้ เพราะวันนี้ผมต้องกระโดดลงไป ฝังร่างตัวเองอยู่ใต้น้ำและหลับไปตลอดกาล
☁
ผมอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่บ่ายโมง เลือกสวมเสื้อที่คิดว่าดีที่สุดกับกางเกงยีนตัวเดิมเพื่อรอให้พี่อู๋มารับ ผมนั่งบนเก้าอี้ในบ้าน นั่งเฉยๆโดยไม่มีกิจกรรมทำอย่างวัยรุ่นคนอื่นๆ เชื่อไหมว่าผมสามารถอยู่แบบนี้ได้ทั้งวัน นั่งหายใจเข้าออกเหมือนเป็นต้นไม้โดยไม่ต้องลุกไปไหน พี่ลีเรียกว่าอาการนี้ว่าการตายทั้งเป็นและวิธีรักษาก็คือตายไปให้จบๆจะได้ไม่ทรมานอีก
พี่อู๋มารับผมตอนบ่ายสาม เขายังคงขับสกู๊ปปี้ไอคันเดิม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนเดิมแต่ไม่มีเนกไท ผมยกมือไหว้พี่อู๋ เขารับไหว้ก่อนจะบอกให้ผมล็อกประตูบ้าน
“ไม่ต้องหรอกครับเพราะวันนี้ผมจะไม่กลับบ้านแล้ว”
ผมบอก พี่อู๋ไม่พูดอะไรเมื่อผมบอกแบบนั้น เขาส่งหมวกกันน็อคให้แล้วขับไปจนเกือบถึงปากซอย พอเห็นสายตาเขียวปั๊ดของลุงชัยผมก็รีบเขย่าไหล่ให้เขาจอด
“มีอะไรเหรอก้อง?”
“เดี๋ยวมาครับ”
ผมถอดหมวกเดินไปหาลุงชัยที่แกล้งทำเป็นหันหน้าไปอีกทางเพราะงอน ผมยกมือไหว้แกอีกรอบก่อนจะบอกว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เขาแค่อาสามาส่งบ้านเฉยๆ
“แล้วเขาเป็นใคร ทำไมต้องมาส่ง?”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“เฮ้ย ไอ้ก้องไม่กลัวคนแปลกหน้าบ้างเหรอ? ถ้ามันหลอกเอ็งไปฆ่าล่ะ?”
ก็ดีสิครับผมจะยกมือไหว้ขอบคุณเขาเลย
“ไปแล้วนะครับ”
“มีอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบโทรมานะก้อง”
“ครับ”
ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เดินกลับไปที่สกู๊ปปี้ไอสีฟ้าแล้วขึ้นซ้อนท้าย พี่อู๋ถามว่าผมคุยอะไรกับวินมอเตอร์ไซค์ พอบอกว่าลุงชัยโกรธเพราะคิดว่าผมนั่งแกร๊บไบค์ เขาก็หัวเราะ
“ก้องเคยไปเซนปิ่นไหม?!”
“เคยครับ!” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลม
“วันนี้พี่จะพาไปกินสตาร์บัคส์ที่เซนปิ่น!
“ครับ!”
สำรวจห้าง?
นี่พี่อู๋หรือผมกันแน่ที่เป็นเด็กไม่เข้าใจเลยจริงๆ
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงยี่สิบเจ็ดนาที
พี่อู๋พาผมไปสตาร์บัคส์ตามสัญญา ร้านใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนที่เคยมองผ่านกระจก ผมไม่เคยเฉียดเข้ามาใกล้ที่แบบนี้เลย การตกแต่ง กลิ่นเมล็ดกาแฟและผู้คนสวยหล่อที่ยืนต่อแถวทำให้ผมกังวลเพราะกลัวโดนมองด้วยสายตาไม่ดี
“ก้องกินอะไร?”
“อะไรก็ได้ครับ”
“สตาร์บัคส์ไม่มีเมนูอะไรก็ได้”
พี่อู๋ตอบกวนๆ เขาถามไล่ไปเรื่อย กาแฟ ช็อกโกแลต ชาเขียว อะไรเป้ๆอีกสองสามชื่อ เขาอยากได้คำตอบว่าผมชอบอะไร ในที่สุดผมก็เลือกส่งๆให้มันจบๆ
“ช็อกโกแลตครับ”
“ได้ แล้วอย่างอื่นล่ะ?”
“ผมมาเพื่อกินแค่นี้ครับ”
“ได้ไง มาทั้งทีต้องกินให้คุ้มสิ”
พี่อู๋ว่า เขาชี้ให้ผมดูตู้เค้กที่วางติดเคาน์เตอร์แล้วก็เริ่มเซ้าซี้ถามอีกว่าอยากกินอะไร อันนี้ดีไหม อันนั้นดีหรือเปล่า เคยกินหรือยัง อยากลองไหม จนผมรำคาญ พี่จะสั่งอะไรก็สั่งเถอะ เงินของพี่ ผมเลือกตามอำเภอใจได้ที่ไหน
สุดท้ายเราได้เค้กอะไรไม่รู้มาสองชิ้น ช็อกโกแลตปั่นหนึ่งแก้ว ชาเขียวปั่นหนึ่งแก้ว และวิปครีมราดช็อกโกแลตแบบเปล่าๆอีกแก้ว พี่อู๋ไม่บอกว่าราคามื้อนี้เท่าไหร่ เขาแค่บอกให้ผมลองเปรียบเทียบระหว่างสตาร์บัคส์กับสตาร์บังและบอกเขาด้วยว่าอร่อยหรือเปล่า
“อร่อยครับ”
“ชอบไหม?”
“ครับ”
ผมตอบ มันก็อร่อยในฐานะเครื่องดื่มแต่ไม่ได้อร่อยจนต้องลงไปคุกเข่าบนพื้นแล้วตะโกนว่า
“เมื่อไหร่จะอายุสิบแปดล่ะ?”
“เดือนธันวานี้ครับ”
“วันที่เท่าไหร่?”
“ยี่สิบห้าครับ”
“วันคริสมาสต์นี่?”
“วางแผนว่าจะกระโดดสะพานวันนี้ครับ”
“วันนี้ไม่ได้ ไว้วันหลังนะ”
ผมเลิกคิ้วงุนงง คนอยากตายวันนี้ พี่ยุ่งอะไรด้วย
“ก้องนี่คือชื่อเล่นเหรอ?”
“ก้องเกียรติครับ”
“ก้องเกียรติ? ชื่อเท่ว่ะ”
“แล้วพี่อู๋ชื่ออะไรครับ?”
“อุรัสยา” เขายิ้ม“ชื่อเพราะไหม?”
“ครับ”
ผมมันโง่เองแหละที่ไม่รู้ตัวว่าเขาหลอก อุรัสยามันชื่อดาราผู้หญิง ไม่ใช่ชื่อมนุษย์เงินเดือนเพศชายช่างถามคนนี้เสียหน่อย ผมกินเค้กพลางมองพี่อู๋ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ไม่แน่ใจว่าสามารถเชื่อใจผู้ชายที่เพิ่งรู้จักเมื่อวานได้หรือไม่ แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมก็รีบเบนสายตาไปทางอื่นทันที
“ตอนนี้ก้องเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า?”
“ไม่ได้เรียนครับ”
“ทำไมไม่เรียนต่อ ไม่มีเงินเหรอ?”
“เปล่าครับ ผมขาดสอบโอเน็ตก็เลยยื่นคะแนนไม่ได้”
“อ้าว” เขาเลิกคิ้ว“ทำไมถึงขาดสอบล่ะ?”
ผมกัดกระพุ้งแก้มคิดหนักเพราะไม่อยากพูดให้คนแปลกหน้าฟัง ดูเหมือนพี่อู๋จะเข้าใจ เขาบอกว่า
“อยากเล่าเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ”
พี่อู๋พูด แต่ผมไม่อยากบอกเขา ไม่อยากเลย ชีวิตขี้แพ้ของผมควรถูกถ่วงทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยา มันควรสลายหายไปตามธรรมชาติ ไม่ควรถูกพูดถึงอีก
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสี่สิบเอ็ดนาที
ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ส่วนผมยังเดินวนในห้างกับพี่อู๋แทบจะทุกตารางนิ้ว เขาพาผมเดินวนในซูเปอร์มาเก็ตโดยไม่ซื้ออะไร พาไปร้านหนังสือ ร้านเครื่องเขียน ร้านขายเสื้อผ้า เขาพาผมเดินเข้าออกเกือบทุกร้านในห้างแต่ไม่เสนอตัวว่าจะซื้อให้ซักอย่าง นั่นถือเป็นเรื่องดีแล้วเพราะผมกำลังจะตาย ขอเป็นหนี้แค่การไฟฟ้าคนเดียวพอ ไม่อยากเป็นหนี้ใครเพิ่ม
พี่อู๋ชวนผมคุยเรื่อยเปื่อย ชอบอ่านอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน มีหนังที่อยากดูหรือเปล่า แน่นอนว่าคำตอบของผมคือไม่มี ผมไม่มีความรู้สึกอยากอะไรนอกจากกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยา พี่อู๋ที่พยายามเลี่ยงมาตลอดเริ่มสงสัย เขาถามผมตรงๆว่าทำไม
“ทำไมต้องรีบตายด้วย?”
ผมไม่ตอบในทันที ไม่ร้องไห้ ไม่พร่ำเพ้อฟูมฟายต่อหน้าเขา มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ผมเคยร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายจนด้านชาไปแล้ว หลังจากยืนรอคำตอบหลายนาทีพี่อู๋ก็จับไหล่ผม เขามองราวกับกำลังขอร้องให้ผมพูดอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่เงียบแบบนี้
“อีกสองเดือนข้างหน้าพี่คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่ครับ?”
พี่อู๋งุนงง เขานวดคางด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วตอบคำถาม
“พี่คงเป็นฟรีแลนซ์อยู่บ้านเพราะสิ้นเดือนนี้พี่ลาออกแล้ว”
“ฟรีแลนซ์อะไรครับ?”
“ล่าม” เขาบอก “น่าจะเป็นอย่างนั้น”
“พี่โชคดีที่ยังมองเห็นแต่สำหรับผม หลังจากพี่ไปส่งที่บ้านวันนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่ว่าจะวันนี้พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ผมไม่เหลืออะไรให้ทำบนโลกใบนี้แล้ว”
“ก้องหางานทำสิ หางานแล้วอ่านหนังสือไปด้วย ปีหน้าค่อยสอบใหม่”
“แล้วทำไมผมต้องสอบใหม่?”
“ก็จะได้มีงานดีๆไง”
“เราจะมีงานดีๆทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ?”
“เพื่อตัวเองไงก้อง”
“ผมยังไม่รู้เลยว่าความสุขของผมคืออะไร ถ้าต้องมีชีวิตเพื่อดิ้นรนต่อไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายขนาดนั้น ตายตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
พี่อู๋ไม่พูดต่อ เขาโกรธ ผมรู้สีหน้าของเขาฟ้องว่าถ้าขืนยังต่อปากต่อคำอีกคงมีคนได้เดินกลับบ้าน
“ชีวิตผมไม่เคยสมหวังอะไรเลย” ผมบอกเขา พยายามอธิบาย “พี่ปล่อยให้ผมไปตามทางของตัวเองเถอะ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน พี่ไม่ต้องสนใจผมหรอก”
ผมปากเสีย ผมรู้ ผมเป็นคนพูดไม่คิด ผมรู้ ผมไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนฟัง ผมรู้ แต่พอเห็นพี่อู๋ดูหมดหวังไม่อยากพูดอะไร ผมกลับรู้สึกแย่
“งั้นก่อนกลับบ้านพี่จะซื้อของให้ก้องหนึ่งชิ้น” พี่อู๋ที่เริ่มกลับมาเป็นปกติพูดขึ้น “พี่จะเลือกให้ ก้องต้องรับไว้นะ”
เขาเดินนำไปโดยไม่รอปล่อยให้ผมตามหลังเหมือนลูกหมาแสนเชื่องตลอดทาง
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้านาที
ผมกลับถึงบ้านโดยมีพี่อู๋มาส่งเหมือนเมื่อคืน ลุงชัยมองตาเขียวอีกแล้วเมื่อเห็นสกู๊ปปี้ไอสีฟ้าขับเข้ามาในย่านของเรา ผมยกมือไหว้ลุงแต่ไม่ลงไปอธิบาย เหนื่อยแล้ว พอก่อน ไว้ค่อยคุย วันหลังผมจะเขียนจดหมายลาตายบอกลุงว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ซักหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่
รถจอดสนิทตรงริมรั้ว ผมลงจากรถยกมือไหว้พี่อู๋ตามมารยาท บอกขอบคุณที่เลี้ยงสตาร์บัคส์ เขายิ้มอย่างพอใจแล้วถามว่าอร่อยไหม
“อร่อยครับ”
“รู้ไหมว่าสตาร์บัคส์ออกเมนูใหม่ทุกปี?”
“ไม่รู้ครับ”
“ไว้มีเครื่องดื่มใหม่เข้าเมื่อไหร่พี่จะมารับเราไปกินอีกนะ”
“ผมไม่แน่ใจว่าจะอยู่ถึงตอนนั้นไหม” ผมตอบตามตรง “แต่ยังไงก็ขอบคุณล่วงหน้าครับ”
พี่อู๋ยิ้ม เขานั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ขณะช่วยถอดหมวกกันน็อคให้ ผมบอกขอบคุณเขาอีกครั้งแต่พี่อู๋ก็เรียกไว้เหมือนเมื่อคืน ไม่ได้เข้าบ้านเสียที
“ก้องจะไม่ชวนพี่เข้าไปกินน้ำหน่อยเหรอ?”
“อ๋อ ครับ”
ผมเปิดประตูรั้วให้พี่อู๋แบบงงๆ ไอ้แดงที่เพิ่งกลับจากไปหาเมียที่วัดส่งเสียงเห่าน่าหนวกหูทันทีเมื่อเห็นคนแปลกหน้า ผมถามมันว่าหายหัวไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับเอาป่านนี้ มันก็เห่าโฮ่งตอบหนึ่งทีแล้วสะบัดตูดไปบ้านลุงชื่น
“ไอ้หมาเวร” ผมสบถพี่อู๋หัวเราะ “บ้านผมไม่มีอะไรนะครับ มีแค่น้ำเปล่า”
พื้นไม้ส่งเสียงออดแอดทันทีที่เราสองคนเดินเข้าไป ผมเปิดไฟตรงผนัง เปิดเปลือยบ้านรกๆที่ขาดการทำความสะอาดมาเดือนกว่าให้พี่อู๋เห็น จานชามกองสูงเต็มอ่าง เสื้อผ้าใส่แล้วก็อัดแน่นเต็มตะกร้าจนล้น ผมใช้เท้าเตะถุงใส่กระดูกไก่ทอดไปซ่อนใต้เก้าอี้ ส่วนพี่อู๋นั้นเงียบกริบ สงสัยช็อกอยู่
“น้ำครับ”
ผมเสิร์ฟน้ำเย็นใส่แก้ว เขารับมันไปดื่มจนหมดก่อนจะกวาดสายตามองรอบบ้านอย่างไม่เกรงใจ
“ก้องอยู่คนเดียวเหรอ?”
“ครับ”
“แล้วเวลาหิวทำยังไง? ซื้อกับข้าวมากินเหรอ?”
“เปล่าครับลุงชื่นบ้านข้างๆแกขายไก่ทอด แกจะมาแขวนให้ผมกินฟรีทุกวัน ตอนเย็นก็มีกับข้าวพี่ลีบ้าง ลุงชัยบ้าง แม่ของข้าวฟ่างบ้าง สลับกันไปครับ”
พี่อู๋พยักหน้ารับ สายตายังคงกวาดมองไปทั่ว ส่วนผมก็ยืนจ้องเขาอีกที เป็นบรรยากาศอึดอัดแปลกๆเมื่อเรายืนจ้องกันกลางบ้านอย่างไม่มีเหตุผล ผมไม่รู้จะชวนเขาเข้ามาทำไม เข้ามาก็อับอายที่ปล่อยให้คนอื่นเห็นสภาพเละๆแบบนี้
“ปกติก้องนอนตรงไหน”
“ข้างบนครับ”
พี่อู๋ร้องอ๋อแล้วพูดต่อ
“มีครับ”
“พาไปดูหน่อยสิ”
ผมงงแต่ก็เดินนำพี่อู๋ขึ้นไปชั้นสอง ถึงบ้านจะเก่าแต่ยังพอมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยอยู่เหมือนกัน แม่เป็นพวกติดละคร พวกทีวีกับเครื่องเล่นซีดีนี่อย่าให้พูด แกยอมควักเนื้อจ่ายหมดขอแค่มีสิ่งบันเทิงใจช่วยเยียวยาชีวิตเฮงซวยของเราบ้าง
พี่อู๋เดินไปที่ทีวี เขาก้มๆเงยๆดูเครื่องเล่นดีวีดียี่ห้อเอเจอยู่พักใหญ่ก่อนจะล้วงหยิบของที่เพิ่งซื้อจากบีทูเอส
นี่พี่เขาคิดอะไรอยู่นะ?
“ก้องบอกว่าไม่มีอะไรทำงั้นวันนี้อาบน้ำเสร็จก็ดูแฮร์รี่นะ เคยดูไหม?”
“ไม่เคยครับ”
“ไปอยู่จักรวาลไหนมาคนเขาดูกันทั้งโลก”
อ้าว ไอ้นี่
“พี่จะให้ก้องดูแค่ภาคแรก ถ้าอยากดูต่อต้องโทรมาแล้วพี่จะเอาภาคสองมาให้”
“ครับ” ผมขานตอบแบบส่งๆแล้วถอนหายใจ
“งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องไปสะพานนะเพราะมีหนังให้ดูแล้วเข้าใจ๋?”
“ครับ”
“ดีมาก หิวหรือยัง?”
“ไม่หิวครับ”
พี่อู๋บรรจงวางแผ่นดีวีดีสีน้ำเงินที่มีรูปนกฮูกบนชั้นวางทีวี เขาหันมาหาผมก่อนจะมองเลยไปข้างหลังที่มีฟูกเน่าปูอยู่บนพื้น ผมไม่รู้จะขอบคุณเขาดีไหมที่ไม่แสดงท่าทีสมเพชเวทนาออกมาให้รู้สึกแย่ แต่สุดท้ายผมก็บอกเขาว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ” เขาพยักหน้ารับ
“พรุ่งนี้ซักผ้าด้วยนะ หาอะไรทำจะได้ไม่ว่างเกินไป”
“ครับ” ผมตอบ“นี่คือครั้งสุดท้ายที่พี่จะมาหาผมหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ใช่”
คำตอบของเขาทำให้ผมดีใจแปลกๆ
“พี่จะมาเรื่อยๆจนกว่าก้องจะหายดี”
พี่อู๋บอกก่อนจะเดินลงบันไดปล่อยให้ผมยืนงงกับคำว่า “หายดี” อยู่หลายวินาที เสียงบันไดไม้ร้องเอี๊ยดอ๊าดบอกว่าเขาใกล้ถึงชั้นล่างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพี่อู๋จะหยุดกลางทาง ผมเห็นเขาใช้มือจับราวก่อนจะตะโกนถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ก้อง นี่เชือกอะไรเหรอ?ทำไมแขวนไว้ที่ราวบันได?”
ชิบหายละ
พี่อู๋หยิบเชือกมาดูใกล้ๆ เขากำมันเพื่อวัดขนาดแล้วหันมาขอคำอธิบายจากผมว่าทำไมถึงมีเชือกเส้นใหญ่ขนาดนี้ไว้ในบ้าน พี่อู๋คงคิดว่าผมจะฆ่าตัวตาย แต่เปล่าหรอก ผมไม่ได้ซื้อเชือกเส้นนั้นมา แม่ต่างหาก
เป็นแม่ที่ซื้อมันมาแล้วก็ใช้มันไปแล้วด้วย
“อ๋อ -- ของแม่ผมครับ”
“เอาไว้ทำอะไร?”
ผมเงียบ ไม่กล้าบอกความจริงเพราะไม่อยากให้พี่อู๋กลัว
“ก้อง งั้นพี่ขอเชือกเส้นนี้ได้ไหม?”
“พี่อย่าเอาไปเลย มันคืออนุสรณ์ของแม่”
“พี่ไม่ปล่อยให้ก้องอยู่ในบ้านคนเดียวกับเชือกแบบนี้หรอก”
พี่อู๋พูดแล้วเก็บเชือกไปหน้าตาเฉย ผมรีบวิ่งลงบันไดด้วยความลนลาน เขาจะเอาเชือกเส้นนี้ไปไม่ได้ เขาจะเอาสิ่งที่ปลดปล่อยแม่ให้เป็นอิสระไปจากผมไม่ได้
“พี่อู๋ครับ อย่าทำแบบนี้เลย ผมขอ”
“พี่รู้ว่าก้องคิดอะไร? ก้องจะใช้เชือกใช่ไหม?”
“ไม่ครับ ผมไม่ใช้หรอก”
“ของไม่ดีก็ไม่ควรอยู่ในบ้านสิ!”
“แต่มันเป็นเชือกที่แม่ใช้ผูกคอตาย!”
ผมตะโกนบอก พี่อู๋หยุดนิ่ง เขาไม่ยุ่งวุ่นวายกับข้าวของของผมเหมือนก่อนหน้า
“แม่ผมผูกคอตายตรงนี้”
แล้วผมก็ร้องไห้โฮออกมา
♡
you can give love by #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ on twitter
Enjoy reading :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in