มีคนบอกว่าความตายน่ากลัวแต่ผมว่ามันไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือการมองไม่เห็นวันพรุ่งนี้ต่างหาก
ปฎิทินได้ฟรีจากธนาคารบอกว่าวันนี้คือวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันที่ผมรู้สึกว่าความอดทนทุกอย่างหมดลงแล้ว และความตายน่าจะเป็นแสงสว่างสุดท้ายที่ทำให้มองเห็นอะไรๆชัดขึ้น ดังนั้นผมจึงตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำแปรงฟันและโกนหนวดจนสะอาดสะอ้าน เลือกสวมเสื้อยืดตัวเก่งที่แม่ซื้อให้กับกางเกงยีนลดราคาจากโลตัส
ผมมองกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายซูบผอมเหมือนเด็กส่งยาไม่ทำให้รู้สึกเกลียดตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมอยู่ที่นี่ เพราะคืนนี้ผมจะออกเดินทางไกล เป็นการเดินทางที่ไม่รู้จุดหมาย แต่ผมมั่นใจว่ามันจะช่วยให้หลุดพ้นจากความหนักอึ้งที่ทับถมมาตลอดชีวิตได้แน่นอน
วันนี้ผมจะตาย
ผมจะฆ่าตัวตาย
หลังจากคิดหาวิธีที่รบกวนคนอื่นน้อยที่สุด ผมตัดสินใจเลือกการกระโดดสะพานเป็นทางออกสุดท้าย ผิวน้ำเรียบๆจะไม่ต่างอะไรพื้นคอนกรีตเมื่อกระโดดลงมาด้วยความสูงที่มากพอ ผมคงตายสนิทและไม่เป็นภาระให้มูลนิธิต้องทำความสะอาดด้วย อีกอย่างถ้าผมตายเงียบๆโดยไม่มีใครเห็น บางทีร่างที่ไร้ประโยชน์นี้อาจเป็นอาหารให้ปลากินจุอย่างพวกปิรันยาก็ได้
แต่ผมลืมไป
แม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีปิรันยานี่หว่า
ผมหัวเราะให้กับความไร้สาระของตัวเองระหว่างผูกเชือกรองเท้าพลางคิดว่าเดือนสิงหาปีนี้ร้อนผิดปกติ มันก็ร้อนขึ้นทุกปีเหมือนความทุกข์ แต่พ้นวันนี้ไปผมจะไม่เศร้าแล้ว ผมกำลังจะเดินทางไกล ถ้าไม่ผิดจากที่เตรียมเอาไว้ อีกสิบหกชั่วโมงผมจะจากโลกนี้ไปเพียงลำพังเหมือนอย่างที่เกิดมา
ต้องล็อคประตูบ้านไหม?
ไม่ -- ไม่จำเป็น
อย่างน้อยถ้าตำรวจพบศพเมื่อไหร่ พวกเขาจะได้เข้ามาคุ้ยหาเศษซากความขี้แพ้ของผมได้สะดวก
ผมปิดประตูบ้านแต่ไม่ได้ลงกลอน เดินออกจากที่ซุกหัวนอนโดยไม่ใส่ใจแม่กุญแจขึ้นสนิมที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงรั้วเหล็ก ผมหันหลังมองบ้าน มองปฏิทินซีดจางที่แขวนอยู่ตรงเสาก่อนจะตัดใจเดินด้วยความมุ่งมั่น ทิ้งซากไม้สองชั้นที่มีแต่ความทรงจำไว้เบื้องหลัง ไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์มันอีกต่อไป
“แต่งตัวเสียหล่อ จะไปไหนวะไอ้ก้อง?”
ลุงชัย วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยถามเมื่อเห็นผมเดินผ่าน
“เดินห้างครับ”
“ตอนแปดโมงเนี่ยนะ?”
“ครับ”
ผมยกมือไหว้บอกลาลุงชัยด้วยความว่างเปล่าและไม่ทิ้งคำสั่งเสียให้มีพิรุธแม้เราจะรู้จักกันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กกะโปกแก้ผ้าวิ่งในซอยก็เถอะ ผมทำแค่อวยพรขอให้ลุงโชคดี มีลูกค้าเยอะๆ ถูกหวยเร็วๆจะได้เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้เสียที
“รีบไปรีบมาแล้วอย่าแอบใช้แกร๊บไบค์ล่ะ”
“ครับ”
ผมหันหลังให้กับซอยที่อาศัยอยู่มาสิบกว่าปี เดินตรงดิ่งไปป้ายรถเมล์มุ่งหน้าสู่ชานชาลาสุดท้ายของชีวิต หมู่บ้านที่จากมาพยายามยุดยื้อด้วยความทรงจำเก่าๆแต่ไร้ประโยชน์ ผมตั้งใจจะไปแล้ว ไม่มีอะไรหยุดผมได้หรอก
เพราะฉะนั้น
ลาก่อนครับป้าเพ็ญเลิกขี้เหนียวแล้วหัดทำบุญทำทานบ้าง
ลาก่อนครับลุงชื่นขอบคุณที่ทอดไก่ให้ผมกินเสมอ
ลาก่อนครับพี่ลีขอให้กิจการเบเกอรี่ขายดิบขายดียิ่งกว่าเทข้าวให้หมากินนะครับ
ลาก่อนข้าวฟ่างโตมาอย่าแรดเหมือนแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือหนังหาจะได้ไม่เป็นแบบพี่
ที่สำคัญเลย
ลาก่อนไอ้แดง ไอ้หมาเวรที่ชอบหอนตอนตีสองแบบไม่มีเหตุผลไอ้เนรคุณ ขนาดผมจะตายวันนี้มันยังไม่มีกะจิตกะใจเดินมาส่งนอกจากนอนอืดใต้ท้องรถลุงชื่นอย่างสบายอารมณ์แต่ช่างเถอะ อย่าเสียเวลาคิดถึงเลย ผมต้องออกเดินทางแล้ว
ลาก่อนทุกคน
ลาก่อนครับ
ผมไปแล้วนะ
ถ้าชาติหน้ามีจริง
☁
แผนของผมคือเที่ยวไปเรื่อยใช้เงินก้อนสุดท้ายให้หมด แล้วปิดทริปด้วยการมุ่งหน้าไปสะพาน วันนี้ผมมีเวลาทั้งวันเพื่อบอกลากรุงเทพที่อยู่มาเกือบตลอดชีวิต ผมควรรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่เปล่าเลย ทุกอย่างราบนิ่งราวกับความมุ่งมั่นตั้งใจจะตายมีมากจนไม่เหลือที่ว่างให้ความสุขเข้ามามีส่วนร่วม
เดี๋ยวก็ตายแล้วนี่
จะวอกแวกทำไมอยู่ต่อไปอีกหนึ่งวันก็ต้องทรมานเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง
ผมนั่งรถเมล์อย่างไร้จุดหมาย ถึงตอนเที่ยงก็แวะห้างกินข้าวซักหน่อย วันนี้คือวันเปิดเทอมของมหาลัย มีนิสิตใส่เครื่องแบบมาเดินห้างบ้างประปราย ความผิดหวังที่เคยฝังกลบถูกขุดขึ้นมาจนอยากร้องไห้ ผมหยิบโค้กขึ้นมาดูดจนหมดแก้ว ทิ้งจานข้าวขาหมูไว้บนโต๊ะแล้วเดินจากไปโดยวางเงินเอาไว้ยี่สิบบาทเป็นทิปให้ป้าพนักงานเก็บจาน
☁
สิบห้าชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็พาตัวเองมาถึงชานชาลาสุดท้ายในสภาพชุ่มเหงื่อ ห้าทุ่มกว่าแล้วแต่บนสะพานไม่ได้เงียบเลย รถยนต์ยังคงวิ่งสวนกันตลอดทั้งสองเลน มีผู้คนเดินออกกำลังกายอยู่ริมขอบสะพาน มีคู่รักหนุ่มสาวยืนกอดคอกันถ่ายรูปกะหนุงกะหนิง สั้นๆคือมันไม่ได้ร้างคนแบบที่คิด และนั่นหมายความว่าผมจะยังฆ่าตัวตายตอนนี้ไม่ได้เพราะพวกเขาจะเข้ามาห้ามและกระชากผมลงจากราวสะพานแน่ๆ
มองไปมองมาสะพานนี่ก็สวยแบบพิลึก เส้นสลิงที่ยึดสะพานดูเหมือนกู่เจิง เครื่องดนตรีจีนที่เคยเห็นในทีวี ผมมองท้องฟ้ามองแม่น้ำที่จะโอบกอดร่างขี้แพ้เบื้องล่าง มองรถที่วิ่งสวนไปมาด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ผมอยากบอกตัวให้คิดดูอีกทีแต่ก็มั่นใจแล้วว่าวันนี้ต้องตายให้ได้ ผมทรมานมานานเกินไปแล้ว วันนี้ทุกอย่างต้องจบ ผมจะถ่วงความเศร้าและความผิดหวังลงในแม่น้ำเจ้าพระยา ให้มันจบไปพร้อมกันแบบเด็ดขาด เราจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที
ผมรออีกครู่ใหญ่ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนห้านาที
เอาล่ะ
ผมจับราวสะพานก่อนจะก้มมองข้างล่าง แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้า กลางคืนทุกอย่างกลายเป็นสีดำราวกับต้องการไว้อาลัยให้แก่การจากไปของเศษขยะในจักรวาลอย่างผม ขอบคุณนะ ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องมืดขนาดนี้ก็ได้ ทำใจกระโดดลำบากชะมัด
ผมกัดริมฝีปาก สูดเอาควันพิษบนถนนเข้าลึกๆจนเต็มปอดแล้วถอดรองเท้า กระเป๋าสตางค์ที่มีบัตรประชาชนและข้อมูลระบุตัวตนว่าผมคือใครถูกวางไว้ข้างกัน อย่างน้อยตอนเช้าจะต้องมีคนเห็นรองเท้ากับกระเป๋า แล้วพวกเขาจะรู้ว่ามีเด็กหนุ่มขี้แพ้คนหนึ่งกระโดดลงไป เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดที่มีแค่บัตรนักเรียนแต่ไม่มีบัตรนักศึกษา ดังนั้นวุฒิการศึกษาสุดท้ายในชีวิตเฮงซวยของเขาคือระดับมัธยมปลาย ไปไม่ถึงปริญญาตรี
หลังจากนั้นจะมีรายงานข่าวเกี่ยวกับชีวิตของผม บางทีพี่น้องไบรท์อาจจะอ่านมันด้วยน้ำเสียงเศร้าๆเพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ ทีนี้เพื่อนบ้านก็จะรู้ว่าผมตายแล้ว พวกเขาจะบุกเข้ามาในบ้าน รื้อเอาเสื้อผ้าเตรียมแต่งตัวใหม่ให้ผมที่หลับพักผ่อนในโลงไม้อัด ลุงชัยต้องร้องไห้แน่ๆ แต่ไอ้แดงจะไม่รับรู้อะไร มันจะวิ่งเตาะแตะอย่างร่าเริงไปที่วัดเพื่อกินข้าวในงานศพของผมโดยไม่แม้แต่ชายตามองรูปหน้าศพด้วยซ้ำ
ไอ้หมาเวร
ขอด่ามันอีกครั้งก่อนตายเถอะ
นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนแปดนาที
ผมปีนขึ้นไปนั่งบนสะพาน แต่ราวจับของมันแคบมากจนไม่สามารถนั่งได้เต็มก้น ผมก็เลยต้องนั่งคร่อมอย่างเก้ๆกังๆ แล้วก็พลิกตัวไปประจัญหน้ากับความตายไม่ได้เพราะติดขาผมตัวสูงเกินไป แขนขาก็ยาวเก้งก้างจนเป็นภาระแม้กระทั่งตอนจะฆ่าตัวตาย ดังนั้นผมจึงนั่งคร่อมราวจับอยู่แบบนั้นอีกสองสามนาที ถอนหายใจให้กับความผิดเพี้ยนไปหมดของชีวิตก่อนจะก้มมองข้างล่าง
สูงชิบหาย
แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลัวอะไร
สิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันคุ้มค่าแล้ว คิดเอาเองว่าคุ้มค่า จู่ๆวูบหนึ่งผมก็คิดถึงโลกหลังความตาย ถ้าผมกระโดดไปตอนนี้ อีกสิบนาทีข้างหน้าผมจะเจอใครไหม ผมจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน จะแหลกสลายไปตามกฎของธรรมชาติ หรือลืมตาอีกทีก็เจอยมบาลในนรก เวรเอ๊ย ไม่น่าคิดเลย พอคิดว่าต้องตกนรก เหงื่อก็ท่วมตัวเหมือนคนขี้ขลาดเสียอย่างนั้น
ในจังหวะที่กำลังทำสมาธิเตรียมบอกลาโลกนี้เพื่อพักผ่อนตลอดไปในโลกหน้า ผมได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างหลัง ผมอยากหันไปมองแต่เพราะท่านั่งคร่อมราวเหล็กนี่ทำให้องศาการเอี้ยวตัวไม่ง่ายเหมือนที่คิด ผมใช้หลังมือเช็ดเหงื่อเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นกึกกักเดินเข้ามาใกล้ ใครวะ ผมสงสัย ใครมันจะเข้ามาขัดขวางอีก
“น้องทำกระเป๋าตังค์หล่น”
เสียงของผู้ชายดังขึ้น ผมยังไม่เห็นหน้าเขา จนกระทั่งเขาเดินมาข้างๆแล้วส่งกระเป๋าสตางค์มาให้
“ไม่ได้ทำหล่นครับ”
“จะฆ่าตัวตายเหรอ?”
“ครับ”
ผมพยักหน้า นั่งคร่อมราวสะพานขนาดนี้ดูเหมือนคนตกปลามากมั้ง
“อายุเท่าไหร่ล่ะ?”
“สิบเจ็ดครับ”
“โห เพิ่งสิบเจ็ดเอง ทำไมรีบจังวะ”
ชายตรงหน้าบ่นก่อนจะปีนราวสะพานขึ้นมานั่งข้างๆผมร้อง “เฮ้ย!”
“พี่นั่งแบบนี้ทำไม?อยากตกลงไปเหรอ?”
“เอ้า แล้วเราไม่กลัวเหรอ?”
“ไม่ เพราะผมคิดดีแล้ว”
“ทำไม? มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เออ หนักชิบหาย
ผมอยากพูดแบบนั้นนะ แต่เพราะเราน่าจะอายุห่างกันหลายปีก็เลยพยายามคุยกับเขาด้วยภาษาสุภาพ ชายแปลกหน้านั่งแกว่งขาจนผมเสียวสันหลังกลัวเขาจะเป็นฝ่ายตกลงไปแทน เขาไม่ได้แนะนำตัวว่าชื่ออะไร มายุ่งอะไร แล้วปีนมานั่งตรงนี้ทำไม เขาเอาแต่ถามผมจนเหมือนรายการสัมภาษณ์ดาราที่ต้องคอยตอบเรื่องส่วนตัวเสียอย่างนั้น
“ชื่ออะไรน่ะเรา?”
“ก้องครับ”
“หวัดดีก้อง”
“คุ้มแล้วครับ”
“แน่ใจ๋?”
“ครับ”
จะเสือกอะไรนักหนาวะ
“ผมรู้ว่าพี่จะพูดอะไร แต่พี่อย่าห้ามเลยผมเหนื่อย ผมอยากไปแล้ว”
“ไม่ได้ห้ามนี่ อยากโดดก็โดดเลย” เขายักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ผมจะโดดได้ยังไงในเมื่อเขานั่งคร่อมสะพานหันหน้ามาจ้องตาแบบนี้“ถ้าคิดว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันส้นตีนนักก็เอาเลย”
“พี่หลบไปก่อนได้ไหมครับขอผมโดดน้ำก่อน ไม่งั้นคืนนี้นอนไม่หลับ ผมนอนไม่หลับมาเป็นเดือนแล้ว”
“เคยไปหาหมอยัง?”
“ไม่เคยครับ”
“เดี๋ยวพี่พาไป หมอมียานอนหลับ ดีกว่าโดดน้ำเป็นไหนๆ” เขาตบไหล่ผมเบาๆ ไอ้บ้าเอ๊ยแรงตบเกือบทำผมหล่นลงไปอยู่แล้ว “รู้จักสตาร์บัคส์ไหม?” เขายังชวนคุยในขณะที่ผมเหงื่อแตกพลั่ก อยากนั่งนิ่งๆไม่อยากขยับปากพูดเพราะกลัวหล่นลงไป
“รู้จักครับ กาแฟนางเงือก”
“ช่าย เคยกินไหม?”
“เคยกินแต่สตาร์บังครับ”
ผมตอบตามจริง เขาหัวเราะจนตาหยีเป็นเส้นตรงก่อนจะถามต่อว่าอร่อยไหม
“ก็กินได้ครับ หวานดี”
“เออ ช่วงนี้สตาร์บัคส์มีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งด้วย”
“ครับ”
“อยากกินหรือเปล่า?”
“ไม่มีเงินครับ”
“กินไหม? เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ถือว่าเป็นของขวัญก่อนตายไง” เขาพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆไม่พยายามรั้งให้ผมลงจากสะพานด้วยคำพูดกลวงๆอย่าง ‘ชีวิตน้องมีค่าคนอื่นลำบากกว่าตั้งเยอะดูสิ’ เลยซักนิด
“แต่ผมกำลังจะฆ่าตัวตาย”
เขาบอกด้วยสีหน้าจริงจังที่ผมมีโอกาสได้เห็นไม่กี่วินาทีเพราะเขาเปลี่ยนมายิ้มเหมือนเดิม
“ไม่ใช่วันนี้ ไปเหอะไปกินสตาร์บัคส์กัน พี่เลี้ยงเอง”
เขาเสนอก่อนจะพยายามยกขากลับไปวางบนพื้น แต่พอเห็นผมลังเลไม่ยอมลงจากราว เขาก็ดื้อด้านนั่งต่อเหมือนเดิม
“ไหนบอกว่าใช้ชีวิตคุ้มแล้วไง?”
“ใช่ครับ”
“นั่นเรียกว่าคุ้มเหรอ? สตาร์บัคส์ยังไม่เคยกินเลย ลองกินกาแฟแก้วละร้อยดูซักครั้งสิ เอาไปเทียบกับสตาร์บังแล้วค่อยตาย จะได้บอกเทวดาว่าอันไหนอร่อยกว่ากัน”
“พี่คิดว่าผมจะได้เจอเทวดาจริงๆเหรอ?”
“พูดไปงั้น ถ้าบอกว่ายมบาลเราก็ใจเสียอีกสิ” เขาหัวเราะ “ว่าไง? ตกลงจะกินหรือเปล่า? พี่ซื้อให้กินเลยพรุ่งนี้ แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะตายหรือไม่ตาย”
ผมครุ่นคิดลังเลเพราะจู่ๆก็อยากลองกินสตาร์บัคส์ตามคำยั่วยุของเขา แต่ผมเป็นคนตัดสินใจเร็ว ดังนั้นเมื่อคิดว่าอยากลองกินเพื่อเปรียบเทียบกับสตาร์บังซักครั้ง ผมจึงค่อยๆปีนลงจากสะพานแล้วสวมรองเท้าราวกับไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตายมาก่อน
“ง่ายแบบนี้เลยเหรอ?”
“ครับ”
“เออดี พี่ชอบคนว่าง่าย”
เขายิ้มกว้างแล้วพยายามลงจากราวอย่างเก้ๆกังๆ เกือบหงายหลังตกลงไปแต่โชคดีที่ผมดึงแขนเขาไว้ได้ทันเราก็เลยกลับมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัยอีกครั้ง
ขาผมสั่น
สั่นเหมือนลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่
ไม่เหตุผลเลยที่จู่ๆก็รู้สึกแบบนี้ ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ผมกลับปฏิเสธมัน ไม่ใช่วันนี้ ผมคิดเพราะพรุ่งนี้ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อกินสตาร์บัคส์ตามคำเสนอของเขา แม้จะยังงุนงงว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนคนนี้ต้องควักเงินเป็นร้อยเพื่อเลี้ยงคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายผมก็เดินตามเขา ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาอย่างว่าง่ายเหมือนลูกหมาที่ถูกเก็บจากวัด
“ตอนนี้พี่คงพาไปไม่ได้นะห้างปิดหมดแล้ว”
“อ้าว” ผมเปล่งเสียงเตรียมตัวจะลงจากรถแต่เขาก็รีบเอื้อมตัวมาจับข้อมือไว้อย่างรวดเร็ว
“พี่บอกว่าจะเลี้ยงพรุ่งนี้ไงรอห้างเปิดไม่ได้เหรอ?”
“ได้ครับ” ผมตอบรู้สึกเซ็งแปลกๆที่วันนี้ต้องกลับไปนอนบ้าน
“งั้นขึ้นรถ”
“พี่จะพาผมไปไหนครับ?”
“ไปส่งที่บ้านไง”
“ครบครับ”
“กระเป๋าสตางค์ล่ะ?”
“อยู่นี่ครับ”
“เออน่า มาเหอะ”
ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์คนแปลกหน้ากลับบ้าน แต่ที่บ้ากว่าคือการให้สัญญากับเขาว่าพรุ่งนี้เราจะออกไปซื้อสตาร์บัคส์ด้วยกัน ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ และทำแบบนี้ไปทำไมแต่ช่างเถอะ สุดท้ายความเป็นคนเรื่อยๆสบายๆของเขาก็ทำให้ผมปล่อยตัวเองช่วงหนึ่ง
ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านและนึกถึงแค่สตาร์บัคส์ตามที่เขาบอก หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ ผมไม่อยากตายแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับบ้าน อยากนอนบนฟูกอุ่นๆ อยากหลับซักงีบอยาก ลองชิมสตาร์บัคส์ซักครั้งก่อนคิดเรื่องฆ่าตัวตายวันหลัง พี่แปลกหน้าขับรถมาส่งผมถึงบ้านตามที่สัญญาไว้ เขาดับเครื่องแล้วถอดหมวกกันน็อคก่อนจะเงยหน้ามองบ้านของผมด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“อยู่กับใครเนี่ย?”
“คนเดียวครับ”
“พ่อแม่ล่ะ”
“แม่ตาย พ่อมีเมียใหม่ครับ”
ผมพูดเรียบๆ ไม่ยินดียินร้ายไม่แสดงออกว่าเสียอกเสียใจกับชะตากรรมชีวิตตัวเอง พี่แปลกหน้าปิดปากเงียบเมื่อรู้ความจริง ผมยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาทและเตรียมเดินเข้าบ้านแต่เขาไม่ให้ผมไป
“ก้อง”
“ครับ?”
“เมื่อตอนเย็นกินข้าวยัง?”
“กินแล้วครับ”
“อู๋” เขาแนะนำตัวเองก่อนจะเกาแก้ม ดูเขินๆ “พี่ชื่ออู๋นะ”
“ขอบคุณครับพี่อู๋”
ผมยกมือไหว้อีกครั้งเตรียมจะเข้าบ้าน แล้วเขาก็เรียกอีก เรียกมันอยู่นั่นแหละ รำคาญจริงๆ
“ก้อง พรุ่งนี้พี่พูดว่ายังไง?”
“พี่บอกว่าจะมารับผมไปกินสตาร์บัคส์”
“ใช่ เพราะฉะนั้นเอาเบอร์มือถือมาพี่จะโทรตามเรา”
ผมส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้พี่อู๋เขาก้มหน้ากดมันยิกๆก่อนจะส่งคืน
[น้องก้อง]
เขาให้ผมดูหน้าจอว่าเมมเบอร์ไว้ว่าอะไร
“พรุ่งนี้ต้องอยู่บ้านนะ”
“ครับ”
“พี่ทำงานเลิกบ่ายสอง เดี๋ยวพี่มารับ”
“ขอบคุณครับ”
ผมตอบแล้วมองหน้าเขาพี่อู๋ดูมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่พูด ผมก็เลยหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป แล้วเขาก็เรียกอีก
“ก้อง”
“ครับ?!”
“นอนหลับฝันดีนะ”
ผมอึ้ง ทำตัวไม่ถูกได้แต่ยืนทื่อเป็นหินก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ
“ครับ”
แล้วก็เดินเข้าบ้านไป
ผมแสร้งปิดประตู แสร้งทำเสียงก็อกแก๊กลงกลอนแต่จริงๆแอบอยู่หลังบานไม้ ผมรอจนกระทั่งเสียงมอเตอร์ไซค์ขับออกไปจึงเดินกลับไปหน้าบ้าน ชะเง้อมองแผ่นหลังของพี่อู๋ด้วยความไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม
ผมกำลังจะฆ่าตัวตายแท้ๆ
แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะอยากกินสตาร์บัคส์
ไอ้ตะกละเอ๊ย
ผมหัวเราะขำตัวเองก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาเขียนปั๊ดของลุงชัยที่กำลังยืนแปรงฟันอยู่บนระเบียงชั้นสอง ผมยกมือไหว้แต่แกไม่รับ แกมองอย่างไม่พอใจก่อนจะมุบมิบทำปากจับใจความได้ว่า
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกแกร๊บไอ้เด็กบ้า”
เวรกรรม
พรุ่งนี้ก่อนไปกินสตาร์บัคส์แล้ววางแผนฆ่าตัวตายผมคงต้องอธิบายให้ลุงชัยเข้าใจก่อนว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เฮ้อ
♡
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in