02
นาฬิกาบอกเวลาว่า ตีสี่สามสิบสองนาที
ผมนอนอยู่บนชั้นสองของบ้าน พัดลมเพดานยังคงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่หมุนครบรอบวง ความร้อนของเดือนสิงหาคมทำให้ตัวผมชุ่มเหงื่อ ทั้งร้อน ทั้งอึดอัดเหมือนจะระเบิด เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างเช่นทุกที ผมนอนบนฟูกเปียกๆอย่างทรมาน มีอนุสรณ์ของแม่วางอยู่บนพื้นข้างๆ และอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว
พี่อู๋กลับไปแล้ว เขาบอกว่าจะโทรมาใหม่ซึ่งผมคิดว่าคงไม่หรอก ไม่มีใครอยากคบหากับคนจิตป่วยแบบผม การร้องไห้เมื่อตอนสองทุ่มเป็นยิ่งกว่าการระเบิดครั้งใหญ่ของทฤษฎีบิ๊กแบง แต่ต่างกันตรงที่ผมปลดปล่อยเอาความเศร้า ความผิดหวัง ความเสียใจ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งออกมาโดยไม่สนว่าใครจะมองยังไง จิตวิญญาณของผมกลวงโบ๋เหมือนหลุมดำเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด ผมร้องไห้อย่างหนักจนพี่อู๋ยอมแพ้ เขาส่งเชือกคืนให้แล้วจับมือผม
ลุงชื่นเป็นคนแรกที่วิ่งมาดูถึงบ้านเพราะตกใจ ส่วนพี่ลีตามมาเป็นคนที่สอง พวกเขาคิดว่าผมโดนพี่อู๋ปล้นบ้านก็เลยมากันทั้งมีดพร้า ทั้งไม้หน้าสามจนต้องรีบบอกพวกเขาว่าอย่าเข้าใจผิด พี่อู๋ไม่ใช่คนร้าย ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เขาแค่มายืดเวลาให้ผมอยู่ต่อไปอีกหน่อยเท่านั้น
ผมเริ่มเกลียดพี่อู๋แล้ว
เริ่มนิดๆ
นิสัยจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องของเขาทำให้ผมล้มอีกครั้ง ทุกวันนี้ผมก็เหมือนแก้วที่ถูกขว้างปาจนแตกซ้ำๆ แต่สุดท้ายเศษแก้วเล็กๆก็ถูกโกยมาประกอบอีกครั้งด้วยกาวราคาถูกเพื่อรอเวลาแตกใหม่ นอกจากแม่ที่ทำให้ผมแหลกสลายแล้วก็มีพี่อู๋ การมาถึงของเขายิ่งทำให้ผมแหลกมากกว่าเดิม ผมเริ่มไม่ชอบบ้านหลังนี้ ไม่ชอบทุกอย่างที่หล่อหลอมผมให้กลายเป็นก้องเกียรติ ไม่ชอบอนุสรณ์ของแม่ที่วางอยู่ข้างๆ ผมเกลียดทุกอย่างจนอยากไปสะพาน
พอกันที
ผมจะฆ่าตัวตาย
แฮร์รี่ พอตเตอร์ถูกเปิดทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้รับความสนใจ ผมปล่อยให้มันพล่ามเรื่องของตนเองไปเรื่อยๆระหว่างนอนฆ่าเวลา แฮร์รี่ พอตเตอร์
ผมไม่รู้ว่าแม่เอารีโมตเครื่องเล่นดีวีดีไปไว้ที่ไหน ดังนั้นพ่อมดน้อยจอมซน(จนได้เรื่อง)จึงพ่นภาษาอังกฤษออกมาตลอดสามชั่วโมงโดยไม่แคร์เลยว่าคนที่ฟังอยู่มีสัญชาติอะไร แต่ช่างเถอะ ผมปิดแฮร์รี่ พอตเตอร์แล้วเปิดช่องข่าว รอเสียงพี่น้องไบรท์รายงานความเฮงซวยที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ราคายางตก รัฐบาลลิดรอนสิทธิ์ประชาชน วินมอเตอร์ไซค์มีเรื่องกับแกร๊บไบค์
นาฬิกาบอกเวลาว่า แปดโมงสามสิบห้า
ผมปิดทีวี แล้วเดินออกจากห้อง
☁
ผมจับราวบันได ทักทายจุดที่แม่เป็นอิสระด้วยการสัมผัสอย่างแผ่วเบาแล้วลงไปข้างล่าง ลุงชื่นเอาไก่ทอดมาแขวนให้เหมือนเช่นทุกที ผมกินแค่สองสามคำแล้วผูกถุงไว้ตามเดิม สภาพบ้านตอนนี้ดูไม่จืดอย่างที่พี่อู๋ว่า มันเริ่มสกปรกและมีกลิ่น แต่ผมไม่มีอารมณ์สนใจหรืออยากทำอะไรนอกจากนอนเฉยๆเท่านั้น
ผมทิ้งตัวบนโซฟา มองฝ้าเพดานขึ้นราด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้ทำเลย ไม่เหลืออะไรให้ต้องรับผิดชอบเลย พอคิดแบบนี้ความวูบโหวงก็ยิ่งเข้ามาเรื่อยๆจนอยากหยุดหายใจไปดื้อๆ
เมื่อไหร่ผมจะตาย
เมื่อไหร่ผมจะกล้าเหมือนแม่แล้วสร้างอนุสรณ์ของตัวเองบ้าง
ผมเหนื่อย ผมเบื่อที่จะอยู่โดยไม่เห็นปลายทาง แค่ใช้ชีวิตให้หมดวันก็เหนื่อยแล้ว ทำไมผมถึงยังลืมตา ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ ทำไมต้องต่อสู้กับความรู้สึกแย่ๆแบบนี้ด้วย
ผมเลียริมฝีปากแห้งแตก กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ระหว่างที่กำลังนอนหมดอาลัยตายอยาก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พี่อู๋
ผมกดรับสาย ไม่ทักทายเขาด้วยคำว่า ฮัลโหล นอกจากหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ ดูเหมือนพี่อู๋จะกำลังยุ่งผมได้ยินเสียงโทรศัพท์สำนักงาน ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษพี่อู๋วุ่นวายกับอะไรบางอย่างผมจึงกดตัดสาย
โทรมาแล้วไม่คุย โทรมาทำห่าอะไร
ผมคิด แต่ซักพักเขาก็โทรมาอีก
“ครับ”
[ก้องซักผ้าหรือยัง?]
“ยังครับ”
[ซักผ้าสิ จะได้มีเสื้อหล่อๆใส่ไปเที่ยวกับพี่อีก]
“พี่ไม่ต้องมาก็ได้เราเพิ่งรู้จักกันแค่สามวัน พี่อย่าใส่ใจผมเลย”
พี่อู๋เงียบทำหูทวนลมราวกับถ้อยคำของผมเป็นเพียงอากาศ ผมกรอกตาเซ็งๆเมื่อตาลุงปลายสายเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย คราวนี้เขาพูดถึงชานมไข่มุก
[เคยไปเที่ยวสยามไหม?]
“เคยครับ”
[เคยกินก้อยไหม?]
ก้อยไหนอีก?
ผมสงสัยก็เลยถามพี่อู๋บอกว่ามันคือชานมไข่มุกที่อร่อยที่สุดในเวลานี้ คิวยาวมาก ต้องต่อแถวโคตรนานแต่คุ้มค่า เขาบอกว่าไม่ได้มีแค่ชานม มีชาเขียว มีนมคาราเมล มีช็อกโกแลต โอ๊ย เยอะแยะไปหมด ก้องต้องลองนะ เดี๋ยวพี่ไปรับ
พูดเองเออเอง ไม่ถามกันซักคำ
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะไปสะพานวันนี้”
[ไม่ใช่วันนี้ เพราะเดี๋ยวเราต้องไปกินก้อยกัน]
“พี่ดูว่างๆนะครับ”
[กำลังเก็บของออกจากออฟฟิศเนี่ย ไม่รอถึงสิ้นเดือนแล้วปวดกบาล] เขาตอบ แอบเบาเสียงคำว่าปวดกบาลตอนท้ายด้วย [
“ผมไม่อยากไป”
[แต่พี่อยาก]
“พี่จะอะไรกับผมนักหนาผมไม่ใช่ญาติพี่ ไม่ใช่ครอบครัวพี่ พี่จะสนใจทำไมครับ?”
ผมถาม แต่พี่อู๋ไม่ตอบ เขาเงียบอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง เก่งนักล่ะกับการเบี่ยงประเด็น พวกผู้ใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทุกคน ขนาดนายกยังเป็นเลย
[แล้วนี่กินข้าวเช้าหรือยัง?]
“กินแล้วครับ”
[งั้นเดี๋ยวพี่ซื้อข้าวไปกินที่บ้านก้อง ตอนเที่ยงล้างจานด้วยนะ]
“พี่อย่ามาเลย ผมเหนื่อย”
[โอเค เจอกัน]
สายตัด
ไอ้พี่อู๋
ผมก่นด่าเขาแต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นไปล้างจานและซักผ้าก่อนที่เขาจะมา
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงตรง
ผมล้างจานเสร็จแต่ซักผ้าทั้งหมดไม่ไหว
มันมีเยอะเกินไป ผ้าที่หมักหมมมานานหลายสัปดาห์จนเริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ผมซักไปได้ครึ่งเดียวก็ถอดใจยอมแพ้ ทิ้งมันไว้ในกะละมังทั้งๆที่ยังซักไม่เสร็จ ผมตากบางส่วนไว้หลังบ้านแล้วกลับไปนอนแผ่บนโซฟาจนกระทั่งพี่อู๋มา
วันนี้ไม่มีสกู๊ปปี้ไอแต่มีวีออสรุ่นเก่าสีดำจอดอยู่หน้ารั้วบ้าน พี่อู๋โทรเรียกให้ไปช่วยขนกับข้าว เขาซื้อข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ย่าง น้ำตก ลาบหมู คอหมูย่าง ต้มแซ่บ สั้นๆคือเกือบทุกเมนูในร้านขายส้มตำ ซื้อเหมือนวันพรุ่งนี้จะไม่มีกิน พี่อู๋ลงจากรถแล้วบ่นเรื่องอากาศร้อน เขาบอกว่าน่าจะมารับผมไปกินที่ร้าน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องนั่งจกกันเหงื่อท่วมใต้พัดลมแบบนี้
ผมกระดกโค้กที่พี่อู๋ซื้อให้อย่างกระหาย ผมหิวน้ำ การทำงานบ้านใช้พลังงานจนแทบจะลงไปสลบบนพื้น ผมกินข้าวเหนียวแต่ไม่กินไก่เพราะเบื่อ ผมกินลาบหมู แต่กินแค่ไม่กี่อย่าง เพราะเบื่อ
“กินเหมือนแมวดม”
พี่อู๋ว่า แต่ก็ไม่คะยั้นคะยอ ผมปล่อยให้เขากินทุกอย่างคนเดียวแล้วขอปลีกตัวไปนอนพักบนโซฟา
“เหนื่อยเหรอ?”
“ครับ”
“นอนพักก่อนไหม?ค่อยไปสยามบ่ายๆก็ได้”
“ครับ”
ผมตอบแล้วก็หลับอย่างหมดสภาพโดยปล่อยให้พี่อู๋จัดการงานบ้านไป
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองห้าสิบแปดนาที
ผมรู้สึกหนักไปทั้งตัวเหมือนแรงโน้มถ่วงกดทับเอาไว้ ผมลุกขึ้นนั่งโดยมีพี่อู๋นั่งดูทีวีบนพื้น เขาดูชิงร้อยชิงล้านเทปย้อนหลังแล้วก็หัวเราะกับมุกแม่ไม่ให้พ่อเข้าบ้านของตุ๊กกี้อยู่คนเดียว
“ตื่นแล้วเหรอก้อง?”
ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้า เหนื่อยเป็นบ้า โคตรเหนื่อย เหนื่อยจนเดินขึ้นบันไดยังหอบ ผมกลับขึ้นไปเตรียมเสื้อผ้าอาบน้ำ พอไปหลังบ้านถึงได้รู้ว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสื้อผ้าที่เคยแช่ในกาละมังตากบนราว จานคว่ำอยู่ในตู้ และถุงขยะมัดปากไว้อย่างดี
“พี่อู๋ทำหมดนี่เลยเหรอครับ?”
“ใช่ พี่เห็นก้องเหนื่อย”
“ครับ”
ผมมองพี่อู๋ที่ดูร่าเริงตรงข้ามกับตัวเองสุดขั้ว เขาช่วยผมปิดประตูหลังบ้านแล้วถือถุงขยะไปทิ้ง แถมยังล็อกกลอนให้เรียบร้อย ตกลงใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่
“คาดเข็มขัดด้วยก้อง”
พี่อู๋บอก ผมมองหาหัวเข็มขัดนิรภัยแต่ไม่เจอ เขาก็เลยต้องเอี้ยวตัวคร่อมแล้วล้วงหยิบมาคาดให้
“ตัวล็อกมันเสีย หัวก็เลยร่วงไปอยู่ข้างๆน่ะ ก้องต้องล้วงลึกๆนะ”
“ครับ”
ผมตอบ พี่อู๋ยังไม่เคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้รอยยิ้มสดใสอยู่ห่างจากหน้าผมแค่ไม่กี่เซนก่อนจะยอมกลับไปนั่งที่ตัวเองเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ของลุงชัยมาจอดข้างๆ
“จะไปไหนอีกไอ้ก้อง?”
“เดินห้างครับ”
“อีกแล้วเรอะ?”
“ครับ ไม่รู้ว่าลุงลืมหรือยัง นี่คือพี่อู๋ พี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ วันนี้เขาขับรถเก๋งมาครับ”
พี่อู๋ยกมือไหว้ลุง ลุงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะบอกผมด้วยประโยคเดิม
“มีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบโทรหาลุงนะ”
“ครับ”
ผมให้สัญญาถึงจะไม่รู้ว่าความไม่ชอบมาพากลสำหรับลุงชัยคืออะไรก็ตาม พี่อู๋เปิดเพลงในรถ เขาคาดเข็มขัด ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สยามเพื่อไปกินก้อยตามความตั้งใจ
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงยี่สิบสองนาที
พี่อู๋จอดรถที่สยามแล้วพาผมไปต่อคิวซื้อก้อย ผมยืนหลังผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่แต่งตัวจี๊ดจ๊าดด้วยท่าทางซังกะตาย ท่ามกลางผู้คนสวยหล่อผมดูเหมือนศพที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุม ยืนหลังงอคดคู้ต่อคิวเพื่อชานมไข่มุกสองแก้วทั้งๆที่ไม่ได้อยากกินเลย
หลังจากยืนเกือบยี่สิบนาทีก็ถึงคิวสั่งของเรา แล้วก็ต้องรออีกห้านาทีเพื่อรอรับชานมไข่มุกที่ต่อแถวโคตรยาวยิ่งกว่าร้านน้ำปั่นในโรงเรียน เมื่อถึงคิว พี่อู๋ก็รับมาจากพนักงานแล้วส่งให้ผม
“เอ้า โกลเด้นบับเบิ้ลมิลค์ทีหวานน้อยไซส์เอ็ม”
“แพงจัง ตั้งเก้าสิบบาท”
“บ่นทำไม พี่จ่ายมีหน้าที่กินก็กินไป”
พี่อู๋สั่ง เขายืนรอรีวิวจากอย่างคาดหวัง ทันทีที่ไข่มุกสามเม็ดแรกเข้าปาก เขาก็คะยั้นคะยอถามว่าอร่อยไหม? ผมตอบ อร่อยครับ
“เห็นไหม? ถ้าตายเมื่อวานวันนี้ก้องจะไม่ได้กินก้อยนะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมตอบอย่างขอไปที การได้กินชานมไข่มุกแค่แก้วเดียวแต่แลกกับความทรมานอีกยี่สิบสามชั่วโมงที่เหลือนี่คุ้มเหรอ? ผมอยากถามพี่อู๋ แต่เห็นเขากำลังมีความสุขกับชาเขียวเลยปล่อยผ่านไป
อื้ม อร่อย
แต่คิดว่ามันไม่น่าจะชื่อก้อย ไอ้พี่อู๋มั่วอีกแน่ๆ
พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมยืนกินเฉยๆ เขาลากผมไปพารากอนเพื่อเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา เราเดินตั้งแต่ลานน้ำพุไปจนถึงคิโนะคูนิยะ เขาไม่ถามผมว่าอยากได้อะไร ก็แค่พาเดินเล่นไปทั่วจนถึงเซนทรัลเวิร์ล ใช่ เขาลากผมเดินบนทางสกายวอล์คโดยไม่ถามเลยว่าเต็มใจไปไหม
สรุปว่าเย็นนั้นผมกินชานมหมดไปหนึ่งแก้ว เดินไปกลับสยามเซนทรัลเวิล์ดหนึ่งรอบ แล้วก็มานอนตายบนรถอย่างหมดสภาพ พี่อู๋เหงื่อชุ่มจนเห็นเสื้อกล้ามด้านในแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยิ้มให้กับทริปเดินเฉยๆไม่ซื้ออะไรอยู่ดี
“ไปไหนต่อดีก้อง?”
“กลับบ้านครับ”
พี่อู๋ยิ้มแก้มแทบแตก เขาตอบว่าเดี๋ยวแวะซื้อข้าวไปกินด้วยกันนะ แล้วขับรถออกจากสยามทันที
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่า สองทุ่มสามสิบห้านาที
เรากลับถึงบ้านโดยปลอดภัย
แต่ผมเหนื่อย
มันเหนื่อยกายจนไม่มีอารมณ์คิดอย่างอื่นเลยนอกจากอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอน การเดินเกือบสิบกิโลในวันนี้ทำให้ปวดไปทั้งตัว ผมแทบจะคลานลงจากรถ ส่วนพี่อู๋ก็เดินถือถุงกับข้าวตามมาติดๆ เขาช่วยผมตั้งโต๊ะแล้วกินมื้อเย็นด้วยกัน ความเหนื่อยผสมความหิวทำให้ผมตะกละ ยัดเอาข้าวและผัดผักบุ้งเข้าไปหมดจานเหมือนคนอดอยาก
“กินเยอะๆนะก้อง”
ผมไม่พร่ำเพ้ออยากตายอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการยัดกับข้าวตรงหน้าให้เต็มท้องแล้วอาบน้ำให้หายเหนียวตัว เมื่อทุกอย่างถูกกวาดจนเรียบผมก็ไปล้างจาน ส่วนพี่อู๋นั่งดูทีวีข้างล่าง แอบมองผมเป็นระยะเหมือนคนสอดรู้
“เป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีครับ” ผมตอบทั้งๆที่อยากล้มตัวนอนจะแย่ “พี่กลับเถอะครับ ดึกแล้ว”
“ก้องอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวพี่กลับ”
ผมมองเขา เบื่อจะเถียงด้วยก็เลยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวอาบน้ำ ตอนออกจากห้องน้ำก็ยังเห็นพี่อู๋นั่งอยู่ พอผมบอกว่ากลับเถอะ ผมง่วง อยากนอนแล้ว เขาก็บอกว่าขอเดินไปส่งข้างบน
“ครับ”
ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินขึ้นบันไดนำหน้าพี่อู๋ตามไปถึงห้องนอน เขาเปิดพัดลมแล้วสะบัดผ้าห่มอับๆให้ ผมไม่สนว่าเขาจะทำอะไร ไม่แคร์ด้วยว่าเขาจะแอบขโมยของในบ้านหรือเปล่า ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคุยกับพี่อู๋แล้ว ผมล้มตัวลงนอน ถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก ส่วนพี่อู๋นั่งบนพื้นข้างๆไม่ยอมกลับเสียที
“ก้อง”
“ครับ”
“แฮร์รี่สนุกไหม?”
“สนุกครับ”
สนุกผีอะไร ฟังไม่ออกซักคำ
“งั้นเดี๋ยวพี่เอาภาคสองมาให้นะ”
ครับ
ผมคิดในใจตอบไม่ไหวเพราะเหนื่อยเกินไป
“ก้อง”
“พี่กลับเถอะครับ ผมจะนอนไม่ต้องปิดประตูนะครับ แถวนี้ไม่มีขโมย”
“พี่แค่จะถามว่าก้องไม่อยากไปสะพานแล้วเหรอ?”
“ไว้พรุ่งนี้เถอะครับ”
“ก้องเดินเยอะไงเลยหมดแรง การออกกำลังกายนี่ดีนะ เห็นไหม ก้องไม่คิดจะไปสะพานแล้ว”
จะอะไรก็ช่างเถอะ
ผมง่วงพร้อมจะหลับตลอดเวลา แต่พี่อู๋ก็พูดมากอยู่นั่นแหละ เขาชวนคุยทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าตาผมปิดแล้ว ไม่อยากรับฟังแล้ว อยากนอน แต่พี่อู๋นี่แปลกคน ผมจะตายก็ห้ามไม่ให้ตาย พอจะนอนก็ยังมาขัดขวางอีกเขาจะยุ่งอะไรนักหนา รำคาญ
“เมื่อวานพี่ขอโทษนะก้อง”
“ช่างมันเถอะครับ”
“ก้อง -- ถ้าพี่พาไปหาหมอก้องจะไปไหม?”
“ผมไม่มีเงินครับ”
“พี่รู้จักโรงพยาบาลนึง ค่ารักษาไม่แพงเลย หลักร้อยเอง”
“จะสิบจะร้อยผมก็ไม่มีจ่าย”
“พี่จ่ายให้ก่อน”
“พี่เป็นอะไรเนี่ย ทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวซักที!”
ผมลุกขึ้นนั่งโวยวายด้วยความหงุดหงิดเพราะเริ่มล้าจนทนไม่ไหว
“เราไม่ใช่ญาติกัน!
พี่อู๋มองด้วยแววตาผิดหวัง เขาเสียใจที่ผมพูดแบบนั้นแต่จะให้ทำไงได้ ก็ผมง่วง ง่วงเหมือนจะตายแต่ยังไม่ได้นอนซักที
“ก้องอายุยังน้อย ก้องหายได้นะ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมสบายดี”
“ก้อง ไปหาหมอเถอะ”
“ไม่ไป” ผมล้มตัวลงนอนหยิบผ้าห่มเน่ามาคลุมหัว “ผมจะนอนแล้วพี่ก็ควรกลับบ้านตัวเองซักที แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีกนะเพราะพรุ่งนี้ผมจะฆ่าตัวตาย เจอกันที่วัดครับ”
“วัดไหน?” เขาถาม
“ไม่ทราบครับ ต้องถามลุงชัยแกน่าจะเป็นคนจัดการศพผม”
“คืนแรกให้พี่เป็นเจ้าภาพได้ไหม? พี่จะเลี้ยงกระเพาะปลา”
รำคาญชิบหาย
“ตามสบายครับ”
“งั้นพี่ขอเป็นเจ้าภาพคืนแรกกับคืนสุดท้ายนะ”
“ครับ”
“คืนแรกกระเพาะปลาคืนสุดท้ายอะไรดี? ข้าวต้มหมูดีไหม?”
“ครับ”
“โอเค อย่าลืมบอกลุงชัยให้โทรบอกพี่เรื่องวัดด้วย”
“ครับ” ผมกัดฟันตอบ
“แล้วอาทิตย์หน้าก็อาบน้ำแต่งตัวรอนะพี่จะพาไปหาหมอ”
“ครับ”
เฮ้ย
“เย้! สัญญากันแล้วนะก้อง งั้นพี่กลับละ บาย”
พี่อู๋ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเดินลงบันไดไวยิ่งกว่าตอนที่ผมวิ่งไปแย่งอนุสรณ์ของแม่เสียอีก ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงงเมื่อรู้ตัวว่าเผลอรับปากคนเพี้ยนไปแล้ว ไอ้พี่อู๋ ไอ้เจ้าเล่ห์ ไอ้เอาแต่ใจ ไม่รู้จะด่าอะไรแล้วเพราะเหนื่อยมาก ไว้ด่าพรุ่งนี้ ตอนนี้ขอนอนก่อน
เสียงกุกกักล็อกประตูบ้านดังข้างล่างตามด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรั้วเหล็ก พี่อู๋สตาร์ทรถแล้วขับออกไป ส่วนผมก็หลับเป็นตายข้างๆอนุสรณ์ของแม่ หลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลับด้วยความสบายครั้งแรกในรอบหลายเดือน
หลับ
♡
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in