พี่อู๋เสียใจ
แต่เขาไม่เคยบอกใคร
พี่อู๋ไม่ได้อยากให้ความสัมพันธ์เกือบสิบปีจบลงแบบนี้
แต่เขาไม่เคยอัปสเตตัสอธิบายในโซเชียลเลยซักครั้ง
ถ้าเปรียบชีวิตเป็นละคร ผมว่าพี่อู๋คงเป็นพระเอกในคราบตัวร้าย เขาสามารถโชว์รอยแผลหรือบอกใครต่อใครก็ได้ว่าคุณหมูพีเป็นบ้าแต่พี่อู๋เลือกที่จะเก็บงำมันไว้แทน สำหรับผมแล้วการเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีเสมอไป จริงอยู่ที่อีกหน่อยพวกเขาก็ลืม อีกสองสามปีหลังจากนี้ เรื่องระหว่างพี่อู๋กับคุณหมูพีคงเป็นบทสนทนากร่อยๆในวงเหล้า แต่ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด ผมไม่อยากให้ใครมองพี่อู๋ไม่ดี ดังนั้นผมจึงแนะนำให้เขาอธิบายเรื่องทั้งหมดผ่านทางสเตตัสแบบที่เพื่อนๆของคุณพีรพัฒน์ทำ ทว่าพี่อู๋ปฏิเสธ
“ออกมาพูดก็ดูเหมือนแก้ตัว ให้มันจบแบบนี้แหละ”
ซึ่งแบบนี้ของเขาก็คือการโดนด่า
พี่อู๋เล่นโทรศัพท์แค่คืนนั้นคืนเดียวแล้วไม่แตะมันอีกเลย ผมพอจะรู้สาเหตุอยู่ว่าทำไม เพราะหน้าฟี้ดข่าวของเขาคงมีแต่ถ้อยคำประชดประชันของบรรดามิตรรักแฟนเพลงคุณหมูพี มีเพียงพี่ตั้มคนเดียวที่โทรมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพี่อู๋เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาก็ถอนหายใจ
“กูบอกแล้วว่าอย่าหาเหาใส่หัว” พี่ตั้มบอกคุณอุรัสยาโดยไม่รู้ว่ากอริลลาก้องแอบฟังอยู่ตรงโถงทางเดิน “ทำใจเหอะ ช่วงนี้พูดอะไรก็คงโดนด่า มึงอยู่เงียบๆไปซักพักเดี๋ยวสถานการณ์ก็ดีขึ้นเอง”
ผมไม่รู้ว่า เหา ที่พี่ตั้มพูดถึงคือนายก้องเกียรติหรือเปล่า แต่เดาจากบทสนทนาก่อนหน้าของพวกเขา ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าเหาก็คือผม คือนายก้องเกียรติ คือตัวที่สูบเลือดเนื้อพี่อู๋และทำให้เขาเจอปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นภาระ แต่มาถกเถียงกันตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยเหรอ ในตอนที่ผมเริ่มปรับตัวและรู้สึกว่าพี่อู๋เป็นครอบครัว คนรอบตัวของคุณอุรัสยากลับบอกให้กำจัดกอริลลาก้องก่อนจะมีปัญหามากกว่านี้
งั้นผมควรทำยังไงล่ะ?
เหาอย่างนายก้องเกียรติ -- ต้องทำอะไรถึงจะทำให้ทุกคนสบายใจ?
เรื่องเหาของพี่ตั้มติดอยู่ในหัวของผมนานหลายวันแต่ผมไม่เคยบอกพี่อู๋ ผมทำตัวปกติเหมือนเดิม ทำอาหาร ทำความสะอาดและดูแลพี่อู๋เหมือนเดิม ยิ่งคุณหมูพีไม่อยู่แล้ว ผมต้องยิ่งทำให้เนี๊ยบกว่าเดิมเป็นสองเท่า ผมอยากให้พี่อู๋รู้ว่าต่อให้ไม่มีคุณพีรพัฒน์ก็ไม่เป็นไร ชีวิตของเขาจะไม่เปลี่ยนไป ห้องนี้จะยังคงเป็นห้องที่สะอาดสะอ้านและมีของอร่อยๆสำหรับเขาเสมอ
“ผมคิดว่าพี่อยากกินผัดฟักทอง” ผมพูดเมื่อเห็นผู้ปกครองกินแค่สองสามคำแล้ววางช้อน “มันไม่อร่อยเหรอครับ?”
“อร่อยสิ ก็เหมือนเดิม”
“แล้วทำไมพี่ไม่ค่อยกินเลย?”
“ช่วงนี้พี่ไม่อยากกินอะไร เบื่ออาหารน่ะ”
รวมถึงเบื่อผมด้วยหรือเปล่าครับ?
เป็นคำถามในใจที่ไม่ได้เอ่ยออกไป ผมแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจและเว้นระยะให้พี่อู๋ได้ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง เขาจะทำอะไร จะนอนเมื่อไหร่ จะซกหมกเหม็นเน่ายังไงก็ได้ ขอแค่กินอาหารให้นายก้องเกียรติชื่นใจซักนิด กินข้าวซักคำ กินนมซักแก้ว หรือช็อกโกแลตซักแท่งก็ยังดี ผมเข้าใจอาการเบื่ออาหารของพี่อู๋ ผมรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ แต่จนกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ใหม่อีกครั้ง ผมอยากขอให้เขาช่วยกินเยอะๆ อย่าปล่อยให้ท้องหิว อย่าปล่อยให้ร่างกายซูบผอม อย่าเป็นพี่อู๋ที่อิดโรยเหมือนคนอยากตายเลย
“รีบนอนดีกว่าก้อง พรุ่งนี้หมอนัด เราต้องออกจากบ้านแต่เช้า”
ผู้ปกครองสั่งเมื่อเห็นผมนั่งกัดเล็บบนโซฟาจนถึงห้าทุ่ม ผมขานตอบว่าครับแล้วเดินตามเขาเข้าไปข้างใน เรานอนหันหลังให้กันเพราะมีต่างคนต่างมีเรื่องให้คิดหนัก พี่อู๋อาจจะคิดถึงคุณหมูพีที่กำลังแอดมิทในโรงพยาบาลมนารมย์ แต่ผมคิดถึงเรื่องของพี่อู๋ และนึกหาวิธีช่วยเขาก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสี่สิบห้านาที
เราออกจากบ้านโดยไม่ได้กินข้าวเช้า พี่อู๋บอกว่าเดี๋ยวจะแวะเซเว่นหน้าโรงพยาบาลเพื่อซื้อแซนด์วิชกินรองท้อง หลังจากนั้นเราค่อยไปกินอาหารญี่ปุ่นร้านโปรดที่ยูเนี่ยนมอลล์ตอนเที่ยงเลยรวดเดียว ระหว่างทางกำลังจะเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋เหม่อหรือรถอีกคันขับมาเร็วเกินไปถึงได้ชนรถของเราเข้ากลางลำ ผมเพิ่งได้ยินเสียงอุบัติเหตุเป็นครั้งแรก มันดัง ปัง! แล้วเงียบ และเราทุกคนจะช็อคไปครู่หนึ่งราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้
“ก้อง! เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?! เป็นอะไรหรือเปล่า?!”
พี่อู๋ถามเมื่อได้สติ ส่วนผมยังงงอยู่ว่าเสียง ปัง! นั้นมาจากไหน เพราะวีออสของพี่อู๋เป็นรุ่นเก่าจึงไม่มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง ดังนั้นตอนที่เขารู้ว่ารถชนฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พี่อู๋จึงร้องถามอาการของกอริลลาก้องเป็นอย่างแรก
“เจ็บไหมก้อง? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เปล่าครับ ไม่เจ็บ ไม่ได้เป็นอะไร
ผมตอบก่อนจะส่งแขนซ้ายให้พี่อู๋ดู เขามองสำรวจจนแน่ใจว่าผมไม่เป็นไรจริงๆถึงแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมา หลังจากนั้นก็ตามด้วยการสบถคำหยาบ และตามด้วยเสียงเคาะกระจกจากคู่กรณี
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
ผู้ชายรุ่นลุงถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ไม่ด่าพี่อู๋หรือเอ่ยปากขอโทษว่าเป็นความผิดของตนนอกจากเชิญเราสองคนลงจากรถ วีออสลูกรักพี่อู๋บุบเหมือนกระป๋องโค้กโดนเหยียบ ผมไม่อาจพูดว่าโชคดีที่คู่กรณีพุ่งชนกลางรถค่อนไปทางประตูหลัง เพราะหากเขาชนประตูหน้า ผมก็ไม่รู้ว่ากอริลลาก้องจะได้ไปหาแม่วันนี้หรือเปล่า
“แม่งเอ๊ย -- เป็นห่าอะไรนักหนาวะ”
พี่อู๋สบถ(อีกครั้ง) เขาหงุดหงิดที่เห็นสภาพยับเยินของน้องวีออส สีของรถถลอกลอกออกเป็นสีเทา แถมยังบู้บี้เสียทรงจนไม่น่าจบแค่การเคาะ คงต้องเปลี่ยนประตูและทำสีใหม่ เศษเล็กๆที่กระจายบนพื้นบอกว่าอาจจะต้องเปลี่ยนอะไหล่หลายอีกอย่าง นั่นหมายความว่า เราจะไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้ไปพักใหญ่
ความชิบหายของแท้ได้มาเยือนนายก้องเกียรติแล้ว
เนื่องจากผมเป็นเด็ก จึงถูกเมินในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันตามประสาผู้ใหญ่ พี่อู๋โทรเรียกประกันมาเคลียร์ ส่วนผมได้แต่ยืนทื่อเป็นไม้ประดับอยู่ข้างน้องวีออส ผมไม่รู้หรอกว่าตำรวจจะสรุปว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ใครเป็นฝ่ายผิด ถ้าดูจากทิศทางการจอดรถแล้ว ผมว่าพวกเรานี่แหละผิดเต็มๆ ลุงชัยเคยบอกว่ารถที่วิ่งมาทางตรงถูกเสมอ ผมหวังว่าคำพูดของลุงชัยจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้นะ
“ก้องไปหาหมอก่อน เดี๋ยวพี่ตามไปทีหลัง”
พี่อู๋บอกพร้อมกับส่งธนบัตรสีเทาให้หนึ่งใบ ผมรับมันมาถือไว้แต่ไม่ยอมเดินเข้าโรงพยาบาลตามคำสั่ง
“ผมจะติดต่อพี่ยังไงในเมื่อผมไม่มีโทรศัพท์มือถือ?”
“นั่งรอหน้าห้องรับยานั่นแหละ พี่เคลียร์ไม่นานหรอก”
“แต่ --”
“ก้อง หาหมอก่อน ตอนนี้ยาหมดแล้ว เราเลื่อนนัดไม่ได้” พี่อู๋สั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เสร็จเรื่องตรงนี้เมื่อไหร่เดี๋ยวพี่ไปหา อย่าช้า ยิ่งช้ายิ่งได้คิวตรวจหลัง เสียเวลาเดินห้างนะ”
โอเค -- กอริลลาก้องไปก็ได้
“ผมจะรอพี่หน้าห้องจ่ายยานะครับ”
“อืม ไปเถอะ ไม่ต้องกังวลทางนี้หรอก ประกันกำลังมา”
ผมพยักหน้าแต่รู้สึกไม่สบายใจ วันนี้ผมน่าจะชาร์ตแบตและเอาโทรศัพท์มา ที่จริงควรชาร์ตตั้งแต่วันแรกที่ย้ายไปอยู่กับพี่อู๋ด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นไม่รู้เป็นบ้าอะไร ผมตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตและเพื่อนบ้านทุกคนด้วยการทิ้งโทรศัพท์ไว้ก้นกระเป๋า มันไม่เคยได้ออกมาข้างนอกอีกเลยจนถึงวันนี้
ผมหันหลังกลับไปมองพี่อู๋ มองรถบุบยับด้วยความกระวนกระวาย นี่คือครั้งแรกที่ผมมาหาหมอโดยไม่มีผู้ปกครอง คือครั้งแรกที่เราต้องแยกกันตอนอยู่นอกบ้าน คิ้วที่ขมวดจนเป็นปมของพี่อู๋ทำให้ผมพับเก็บความไม่สบายใจเอาไว้กับตัวเอง ผมจะไม่บอกเขาหรอกว่าตอนนี้ผมกำลังกลัวอะไร
ผมกลัว --
กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่อู๋ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของกอริลลาก้อง
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงยี่สิบเจ็ดนาที
ผมได้เข้าตรวจเป็นคนที่สาม ผมยกมือไหว้หมอแล้วรีบบอกอาการตัวเองอย่างรวดเร็วจนเขาต้องขอให้พูดช้าๆ เมื่อเห็นท่าทีกระวนกระวาย หมอก็ถามว่ามีอะไรเหรอก้อง ผมตอบว่าเปล่าครับ แต่สายตาของหมอคมกริบเหมือนมีดที่สามารถปอกเปลือกมันฝรั่งเป็นแผ่นบางๆ ในที่สุดมันฝรั่งก้องจึงยอมรับกับคุณหมอตามตรงว่าวันนี้ผมรีบครับ เมื่อเช้าพี่อู๋รถชน เขากำลังรอประกันให้มาเคลียร์ แต่ผมไม่มีโทรศัพท์ ผมกลัวว่าจะหาเขาไม่เจอ
“อะไรทำให้ก้องคิดว่าพี่อู๋กำลังหาโอกาสทิ้งก้องเหรอ?”
หมอถาม แล้วทฤษฎีมากมายในหัวก็ปรากฏขึ้น ทำไมผมถึงไม่คิดเรื่องเรียนเยอะขนาดนี้บ้างนะ ถ้าผมคิดไกลเหมือนที่คิดเรื่องพี่อู๋ ป่านนี้ผมคงเป็นนักเรียนทุนตั้งแต่ยังไม่เปิดสอบโอเน็ตแล้ว
“วันก่อนเพื่อนของพี่อู๋พูดว่าอย่าหาเหาใส่หัว”
ผมเล่าให้หมอฟังแล้วย้อนกลับไปเล่าเรื่องที่พี่อู๋บอกเลิกคุณหมูพีอีกหน หมอจับความผิดปกติได้ทันทีแม้กอริลลาจะไม่แสดงอาการชี้ชัดอะไรออกมา เขาบอกให้ผมใจเย็นๆ ไม่ต้องเล่าเป็นไทม์ไลน์เหมือนประวัติศาสตร์หรอก แค่พูดในสิ่งที่อยากพูดก็พอ อย่าคิดเยอะ อย่ากลัวหมอไม่เข้าใจ เรารู้จักกันมาตั้งหลายเดือน หมอจำเรื่องของก้องได้
ดังนั้นจิตบำบัดวันนี้จึงเป็นการระบายความกลัวออกมาเสียส่วนใหญ่ ช่างหัวพี่ตั้มเถอะ ช่างหัวคุณหมูพีเถอะ ช่างแม่งทุกคนนั่นแหละ ตอนนี้ผมกลัวว่าพี่อู๋จะไม่มารับกลับบ้าน พอหมอถามเหตุผลเป็นหนที่สอง ผมจึงอธิบายให้ฟังว่าเมื่อเช้าเขาให้เงินผมมาหนึ่งพันบาท
“แบ่งเป็นค่ายาไม่เกินห้าร้อย อีกห้าร้อยก็เกือบๆเท่าเงินที่ลุงชัยเคยให้ซึ่งวันนี้ผมไม่ได้หยิบเงินส่วนนั้นมา”
“ก้องหมายความว่าพี่อู๋ตั้งใจคืนเงินทางอ้อมเหรอ?”
“ครับ” ผมตอบ “ถ้าจะทิ้งก็ต้องเป็นวันนี้แหละ โอกาสเหมาะที่สุด ทิ้งในโรงพยาบาลอาจจะทำให้พี่อู๋รู้สึกผิดน้อยลงก็ได้ เขาเคยถูกเพื่อนๆบอกให้เลิกอุปการะผมตั้งหลายครั้ง”
“แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่อู๋จะทำตามเพื่อนเสียหน่อย อีกอย่างก้องพูดเองว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ก้องคิดว่าพี่อู๋อยากให้รถตัวเองยับยู่ยี่เพื่อแลกกับการพาก้องมาทิ้งไว้ที่นี่เหรอ? หมอมองยังไงมันก็ไม่คุ้มนะ”
ใครจะไปรู้
ไม่มีใครรู้ความคิดของพี่อู๋หรอก
วันนี้การพบหมอไม่ช่วยอะไรเลย ต่อให้ทุกคนในโรงพยาบาลพูดกรอกหูว่าพี่อู๋ไม่มีวันทิ้งกอริลลาก้อง หรือยืนยันหนักแน่นแค่ไหน ผมก็ยังกลัวอยู่ดี ผมบอกหมอว่าตอนนี้ผมมีพี่อู๋คนเดียว เขาเป็นทั้งพ่อและแม่ เป็นพี่ชาย เป็นคนสุดท้ายในชีวิตของผม ถ้าไม่มีพี่อู๋ผมจะอยู่ยังไง ผมจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงถ้าวันนี้ไม่มีเขาอีกแล้ว
“มันมีทางออกเสมอนะก้อง” หมอพูด แต่ผมไม่เห็นด้วย “สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาก้องอยู่ได้ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักพี่อู๋เลย ทำไมถึงกลัวว่าถ้าไม่มีเขา เราจะอยู่ไม่ได้ล่ะ?”
แล้วหมอก็ร่ายยาวว่าเด็กอายุสิบเจ็ดสามารถทำอะไรได้บ้าง แน่นอน ผมมีแขนขา มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง แถมมีวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย ผมสามารถหางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อเลี้ยงตัวเองได้ หรือเป็นติวเตอร์สอนพิเศษให้เด็กประถมตามห้างก็ได้ หมอพยายามให้กำลังใจด้วยการบอกว่าผมสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมายโดยไม่ต้องพึ่งพาพี่อู๋ แต่ขอโทษนะครับ -- เก็บคำพูดพวกนั้นไว้เถอะ เพราะผมไม่ได้เห็นพี่อู๋เป็นธนาคาร ผมเห็นเขาเป็นครอบครัว
พี่อู๋คือคนเดียวที่ผมสามาถบอกใครต่อใครได้ว่าเขาคือผู้ปกครอง
มันไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนที่ซุกหัวนอน การก้าวข้ามขีดจำกัดหรือความกลัวอะไรทั้งนั้น แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ ผมคิดว่าวันนี้หมอน่าจะเบลอๆนิดหน่อย เหมือนเขาลืมว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา นายก้องเกียรติถูกทิ้งมาแล้วกี่ครั้ง งั้นผมจะทวนให้ฟังก็ได้ ครั้งที่หนึ่ง พ่อทิ้ง ครั้งที่สอง แม่ทิ้ง ครั้งที่สาม เพื่อนบ้านทิ้ง แค่นี้มันไม่มากไปหน่อยเหรอสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ด ผมไม่ได้อยากเกิดมาเพื่อถูกทิ้งสี่ครั้งเหมือนเศษขยะที่รอทางเขตมาเก็บนะ ผมแค่อยากมีครอบครัว ผมอยากมีคนอยู่ข้างๆ เข้าใจไหมหมอ --
ผมแค่อยากมีใครซักคนที่พูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นครอบครัวของผม
การเทศนายังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งนายก้องเกียรติร้องไห้หมอถึงยอมหยุด เขาส่งทิชชู่ให้แต่ผมไม่รับ ผมไม่อยากคุยกับเขาแล้ว ผมอยากเลิกหาหมอตั้งแต่วันนี้เพราะเขาไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มองว่าผมอยู่กับพี่อู๋เพราะกลัวความลำบาก ผมยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็แอบกังวลเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่หลักๆคือผมไม่อยากถูกทิ้ง ผมยอมอยู่อย่างลำบากก็ได้ขอแค่มีใครซักคนเป็นครอบครัวของผม
“วันนี้ก้องไม่อยากคุยกับหมอแล้วเหรอ?”
ผมพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเหลือบมองนาฬิกา เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ผมอยากออกจากห้องนี้เพื่อไปนั่งรอหน้าห้องจ่ายยา ผมอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าพี่อู๋มารอผมจริงๆตามที่สัญญาไว้
“ผมอยากเจอพี่อู๋ครับ”
“ก้องกังวลเรื่องพี่อู๋มากไปหรือเปล่า หมอว่า --”
“ผมอยากเจอพี่อู๋” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น “จ่ายยาเลยเถอะครับ ผมไม่มีเรื่องจะเล่าให้ฟังแล้ว”
หมอไม่ถอนหายใจ ไม่แสดงท่าทีว่าเซ็งหรือผิดหวังที่กอริลลาก้องปฏิเสธการรักษาอย่างไร้เยื่อใย เขาเขียนใบสั่งยาแล้วอนุญาตให้ผมออกจากห้องได้ตามคำขอ เมื่อหลุดพ้นจากกรงแคบๆอันน่าอึดอัด ผมก็รีบตรงปรี่ไปห้องจ่ายยาทันที แต่ที่นั่นไม่มีผู้ชายท่าทางเหมือนพี่อู๋เลย ไม่มีซักคน ไม่มี -- พี่อู๋ไม่มา
ผมปลอบใจตัวเองด้วยการท่องว่าประกันอาจจะยังเคลียร์ไม่เสร็จ หลังจากนั้นก็นั่งรอ รอจนกระทั่งจ่ายเงินและรับยาเรียบร้อย
แต่พี่อู๋ก็ยังไม่มา
ผมทั้งมองหา ทั้งลุกเดินไปทั่วเพราะกลัวว่าจะมองข้ามเขาไป แต่พอเช็กจนแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีพี่อู๋จริงๆ ผมจึงเปลี่ยนมานั่งจ้องบันไดตาเขม็ง ทุกคนที่ผ่านไปมาล้วนตกใจเมื่อเห็นกอริลลาก้องมองพวกเขา ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งตรงนั้นนานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกที หน้าห้องจ่ายยาก็ไม่มีใครแล้ว
“ก้องเกียรติรอใครเหรอจ๊ะ?”
พยาบาลที่คุ้นเคยเอ่ยถาม ผมบอกว่ารอผู้ปกครองครับ เน้นคำว่าผู้ปกครอง เธอก็พยักหน้าแล้วร้องอ๋อ ปล่อยให้ผมรอต่อไปโดยไม่วุ่นวายอีก ผมรอ รอ รอ และรอจนเวลาล่วงเลยถึงบ่ายโมง ท้องของผมร้องประท้วงขออาหารแต่ผมไม่ใส่ใจ หิวเหรอ? ทนไปเถอะ ทรมานเหรอ? ทนไปเถอะ ทนไปเถอะ จนกว่าจะหาพี่อู๋เจอ แกต้องอดทน จนกว่าพี่อู๋จะมารับ จนกว่าจะได้เจอเขา จนกว่าจะได้กลับบ้าน นั่นแหละแกถึงได้รับอนุญาตให้กินอาหารได้
นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายโมงสิบเอ็ดนาที
กอริลลาก้องนั่งร้องไห้เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าจะไม่ได้เจอผู้ปกครองอีกแล้ว
☁
กอริลลาก้องผู้โดดเดี่ยวเดินออกตามหาผู้ปกครองทั่วโรงพยาบาล ทั้งหน้าห้องตรวจ ทั้งชั้นล่าง ทั้งลานจอดรถทุกแห่งจนถึงตึกผู้ป่วยในที่กำลังก่อสร้าง ผมเดินไปทุกที่จนเหงื่อชุ่มด้วยความหวังจะได้เจอผู้ปกครองอีกครั้ง แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่าพี่อู๋ไม่ได้นั่งรอผมหน้าห้องจ่ายยาตามที่สัญญาไว้ เขาหายตัวไปเหมือนเอาหมามาปล่อยวัด แค่ขับรถเข้ามา สั่งให้ไปอยู่กับหลวงตา ขับรถออกไป เหลือไว้แค่หมาหัวเน่าที่ต้องเริ่มต้นใหม่เป็นหนที่สี่ในระยะเวลาแค่สิบเจ็ดปี
สิบเจ็ดปี -- ที่นายก้องเกียรติมีชีวิตอยู่เพื่อถูกทิ้งซ้ำๆมาถึงสิบเจ็ดปี
ผมเดินกลับไปจุดที่รถของเขาโดนชนหน้าโรงพยาบาล ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากรอยพ่นสเปรย์สีขาวทำสัญลักษณ์ว่าเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงนี้ ผมยืนมองมันอยู่นาน มองแล้วได้แต่น้ำตาไหลเงียบๆ อย่างน้อยก็ควรบอกซักคำหรือเปล่า พี่อู๋น่าจะพูดกับผมตรงๆ บอกว่าเลี้ยงต่อไม่ไหวหรืออะไรก็ได้ ไม่ใช่พามาส่งโรงพยาบาลแล้วหายไปดื้อๆแบบนี้
ผมไม่ใช่คนโง่ ผมไม่ใช่เด็กดื้อที่ไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ แค่พี่อู๋พูดว่าไม่สะดวกใจจะให้อยู่ด้วยผมก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ถ้าเขาบอกตั้งแต่เนิ่นๆ ผมจะเก็บกระเป๋าย้ายออกจากห้องทันที ผมจะกราบเท้าขอบคุณสำหรับความเมตตาที่ผ่านมาด้วย น่าเสียดายที่พี่อู๋ไม่ได้ทำแบบนั้น เขาเลือกที่จะพาผมมาส่งแล้วจากไปเงียบๆ ไม่มีแม้แต่คำบอกลา ไม่มีเหตุผล ไม่ให้โอกาสนายก้องเกียรติได้พูดขอบคุณเลย
คิดเร็วก้องเกียรติ -- คิด
ผมบอกตัวเอง
คิดสิว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน?
พี่อู๋อาจลืมไปว่าผมไม่ใช่หมา ผมจำทางกลับลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดได้แต่ก็ไม่หน้าด้านพอจะไปเหยียบที่นั่นอีก ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวตอนนี้คือการวางแผนอนาคตตัวเองล้วนๆ ไม่ต้องคิดถึงงานพาร์ทไทม์ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องติดต่อสทศ. แค่คิดว่าคืนนี้จะค้างที่ไหนยังไม่รู้เลย บางทีผมน่าจะกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ยกมือไหว้ขอโทษหมอที่ไม่สนใจคำแนะนำของเขาแล้วถามว่าผมควรทำยังไงต่อไป ตอนนี้พี่อู๋ทิ้งผมไว้ที่นี่ ผมควรไปไหน ควรไปอยู่กับใคร ควรเริ่มต้นใหม่ด้วยเงินหกร้อยกว่าบาทยังไงให้รอดจนกว่าจะยืนด้วยขาของตัวเองได้
ผมยืนคิดหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หน้ากำแพงโรงพยาบาล มือขวาถือถุงยา มือซ้ายกำหมัดแน่นราวกับว่าถ้ามีโจรโผล่ปล้นเงินหกร้อยก็พร้อมชกหน้ามันทันที ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความกังวลยิ่งสะสมขึ้นเรื่อยๆ ผมขมวดคิ้วจนเป็นปม ตามองต่ำบนพื้นฟุตปาธ เหงื่อหยดเป็นเม็ดตรงแก้มและรู้สึกเพลียเหมือนจะเป็นลม จังหวะที่กำลังมองหาเก้าอี้นั่งพัก สายตาก็เหลือบมองถนนฝั่งตรงข้าม ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนเปิดขวดโค้กด้วยท่าทางหงุดหงิดไม่แพ้กัน และเมื่อรู้ตัวว่าถูกมอง เขาก็เงยหน้าสบตาผม
ไอ้ --
พี่อู๋ --
“โห -- ก้อง! หายหัวไปไหนมาเนี่ย! พี่หาจนรปภ.คิดว่าวางแผนมาปล้นโรงพยาบาลแล้วทำไมเพิ่งโผล่หน้ามา!”
ผู้ปกครองของผมตะโกนแข่งกับเสียงรถยนต์ที่วิ่งบนถนน ริมฝากของผมสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือโมโหเพราะเห็นพี่อู๋ยืนกินโค้กหน้าตาเฉย ส่วนผมน่ะเหรอ? ยืนร้องไห้เหมือนเด็กถูกทิ้ง ทั้งร้อนทั้งหิวแทบจะเป็นลม แถมเครียดจนเส้นเลือดในสมองแทบแตก แต่พี่อู๋กลับเดินตากแอร์ในเซเว่น แล้วออกมายืนจิบโค้กหล่อๆรอกอริลลาก้องวิ่งออกจากป่าเองเนี่ยนะ
ไอ้ -- ไอ้ --
“ผมเกลียดพี่!” ผมตะโกนก่อนจะร้องไห้โฮออกมา “ผมเกลียดพี่! ไปไกลๆเลย! ไม่ต้องมายุ่งแล้ว!”
ฟุ่บ!
รถเมล์คันหนึ่งวิ่งผ่าน ข้อความเสียงของผมจึงถูกพัดหายไปกับรถคันนั้น
“อะไรนะ?!” พี่อู๋ถามกลับพลางปิดฝา “ข้ามถนนมาเร็ว! เราต้อง --”
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
แท็กซี่วิ่งผ่าน ตามด้วยรถกระบะและรถตุ๊กๆ
“ไม่! ผมไม่คุยกับพี่แล้ว ผมโกรธ --”
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ทีอย่างนี้ล่ะมากันเป็นขบวนเลยนะ
แล้วเกมตะโกนคุยกันข้ามฝั่งก็เริ่มขึ้น กอริลลาก้องพูดว่า ผมโกรธพี่ ผมไม่อยากยุ่งกับพี่ ไปเลย ไปให้พ้น ในขณะที่ผู้ปกครองของมันเอาแต่พูดว่า --
“ฮะ?! อะไรนะ?! ไม่ได้ยินเลย พูดให้มันดังๆหน่อยเว้ย!”
บางทีชีวิตก็เหมือนจังหวะในรายการทีวีซิตคอมแบบนี้แหละ ถ้าดูผ่านโทรทัศน์เราอาจจะขำให้กับความซวยซ้ำซวยซากของตัวละคร แต่พอเจอกับตัวเองจริงๆนี่หน้าสั่น ขำไม่ออก ต่อให้สุดท้ายมันจะจบวันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งก็เถอะ แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
เวรเอ๊ย -- ขอให้พรุ่งนี้ชีวิตไม่มีจังหวะซิตคอมทีเถอะ
ผมสบถเมื่อพี่อู๋ข้ามถนนมาหา พอเห็นหน้าชัดๆว่านี่คือคุณอุรัสยาตัวจริงผมกลับพูดอะไรไม่ออกนอกจากยืนน้ำตาไหลเงียบๆ มือไปไวกว่าสมอง เผลอตีพี่อู๋เพี๊ยะๆเหมือนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมตีไปก็ร้องไห้ไป บอกเขาว่าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ อย่าทิ้งผมแบบนี้อีกนะ ผมกลัว ผมไม่ชอบเวลาที่ไม่มีพี่อยู่ข้างๆเลย ต่อไปนี้พี่อู๋ห้ามไปไหนไกลๆ ห้ามทิ้งผมไว้คนเดียวอีก ไม่งั้นผมจะโกรธจริงๆด้วย ตอนผมโกรธน่ากลัวมากนะ อย่าทำให้ผมโกรธล่ะ ผมเอาจริงแน่
“คนที่ควรหงุดหงิดน่าจะเป็นพี่หรือเปล่า? รถก็ส่งต้องซ่อม ไหนจะเดินหาก้องตั้งครึ่งวันอีก ต่อไปพกโทรศัพท์เลยนะ เลิกตัดขาดจากโลกภายนอกได้แล้ว เห็นหรือยังว่าไม่มีโทรศัพท์มันลำบาก ถ้ามีนะ เราคง --”
บลา บลา บลา
พี่อู๋พูดไปเถอะ ผมไม่สน ผมจะร้องไห้ ตอนนี้ผมกำลังเม้งแตกเพราะกลัวสุดขีด พอเห็นนายก้องเกียรติหลุดจริงๆ พี่อู๋ก็ดึงผมไปกอดแล้วผละออก เขาบอกว่าผู้ปกครองที่ไหนจะทิ้งเด็กตัวเองได้ลงคอ ผมพูดสวนว่าเพื่อนพี่นั่นแหละ พวกเขานั่นแหละที่ฝังความกลัวในหัวผมจนหวาดระแวงขนาดนี้
“จะสนใจคนอื่นทำไมวะก้อง? ไอ้ตั้มมันก็พูดไปเรื่อย บอกแล้วไงว่าไม่ทิ้งคือไม่ทิ้ง”
พี่อู๋โคลงหัวผมอีกหนึ่งที
“หยุดร้องแล้วไปโบกแท็กซี่เลย เราคงไม่มีรถใช้อีกหลายวัน เซ็งชิบ”
ผมปาดน้ำตาพร้อมกับพยักหน้ารับ พี่อู๋ยืนกอดอกอยู่แนวหลัง ส่งกอริลลาเด็กไปโบกแท็กซี่ตัวคนเดียว
นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามตรง
ไม่มีแท็กซี่ผ่านมาซักคัน คุณอุรัสยาสบถคำหยาบแล้วเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน พอกดใช้บริการปุ๊บ แท็กซี่สีฟ้าก็ขับผ่านมาพอดี เขาจอดเทียบฟุตปาธแต่เราปฎิเสธไป แท็กซี่คันนั้นจึงขับเลยอีกหน่อยเพื่อรับผู้โดยสารชาวต่างชาติสองคนแทน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แอปก็เด้งเตือนว่ายกเลิกทั้งๆที่เราไม่ได้กดอะไรเลย
มายกเลิก -- ทำไมตอนนี้ --
ผมกับพี่อู๋มองหน้ากันเลิกลั่กก่อนจะวิ่งไล่แท็กซี่สีฟ้าที่ขับออกไปไกลเรื่อยๆ ซีนนี้ยิ่งกว่าฉากจบของหนังรักโรแมนติกที่พระเอกวิ่งตามรถนางเอกจนสุดสายตา ทว่าความจริงก็คือผู้ชายเถื่อนๆสองคนวิ่งไล่รถแท็กซี่เพื่อขอให้วนรถกลับมารับหลังส่งผู้โดยสารชาวต่างชาติเสร็จ
“วันนี้มันวันอะไรวะ?”
พี่อู๋สบถ(รอบที่ล้าน) เขาหงุดหงิดโมโหหิวและเริ่มตีอกตัวเองเหมือนกอริลลาจริงๆ แล้วเราก็กลับไปนั่งเหม่อริมถนนหน้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาอยู่นานจนกระทั่งแท็กซี่สีชมพูวิ่งผ่าน แวะจอดรับกอริลลาที่กำลังหิวโหยสองตัว
“ไปไหนครับ?”
คนขับถาม พี่อู๋ไม่รอให้เขาตอบว่าตกลงด้วยซ้ำ คุณอุรัสยากระโดดขึ้นรถ ตามด้วยกอริลลาก้อง ก่อนจะบอกคนขับด้วยน้ำเสียงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่าไปบีทีเอส -- บีทีเอสไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด
พอรถออกตัว เราก็นอนหมดแรงด้วยกันทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้นพี่อู๋ก็ยังหันมายิ้มให้ผม เขายีหัวผมเบาๆแล้วทำปากขมุบขมิบว่า วันนี้โคตร xxx เนอะ ผมหัวเราะไม่ออกเสียง เขาก็หัวเราะเหมือนกัน เป็นจังหวะสั้นๆที่ให้ความรู้สึกเหมือนพี่อู๋คนเดิมกลับมาจนอยากหยุดเวลาไว้แค่ตอนนี้ ผมอยากเห็นความสุขเล็กๆเกิดขึ้นในชีวิตเราแบบนี้ทุกวัน อยากเห็นพี่อู๋ยิ้ม เห็นพี่อู๋หัวเราะ ผมอยากเห็นเขามีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผู้ชายวัยสามสิบเอ็ดจะมีได้
ส่วนผมน่ะเหรอ?
ไม่ต้องมีความสุขมากเท่าเขาก็ได้ ขอแค่ไม่ถูกทิ้งและมีพี่อู๋อยู่ข้างๆ แค่นี้ก็เป็นความสุขที่สุดของกอริลลาก้องแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in