เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Week of a mute
  • 15



     

    ผมกับแม่มีเกมที่เล่นกันประจำอยู่เกมหนึ่ง เป็นเกมประหลาดที่ไม่ว่าจะเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนสงสัย เราเรียกมันว่าเกมสัปดาห์ของคนใบ้ ในหนึ่งเดือนจะมีหนึ่งสัปดาห์ที่เราไม่พูดกันเลย -- ไม่พูดจริงๆ แม่ไม่คุยกับผมซักประโยคเดียว

     

    กติกาของเกมนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของแม่ล้วนๆ บางทีแม่นึกอยากจะเป็นใบ้ก็เล่นเกมนี้โดยไม่รอความเห็นของผม สมัยประถม ผมเคยร้องไห้ไปโรงเรียนเพราะน้อยใจที่แม่ไม่ยอมคุยด้วย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความเสียใจกลับกลายเป็นความเคยชินจนกระทั่งวันหนึ่ง เราต่างสร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมา แม่อยู่ในโลกของแม่ ผมก็อยู่ในโลกของนายก้องเกียรติ มีกำแพงกั้นตรงกลางระหว่างเรา ผมเห็นแม่ แม่เห็นผม แต่เราไม่เปิดเผยโลกของตัวเองให้อีกฝ่ายเห็น

     

    เพื่อนสนิทสมัยมัธยมเคยพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ค่อนข้างประหลาด ซึ่งผมเห็นด้วย บางครั้งเราเป็นแม่ลูกกัน บางครั้งเราเหมือนคนแปลกหน้าที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ผมเคยตั้งคำถามว่าทำไมแม่ต้องสร้างเกมสัปดาห์ของคนใบ้ขึ้นมาด้วย แต่พอกลายเป็นกอริลลา ผมถึงตระหนักได้ว่าบางที การเงียบไม่พูดไม่จากับใครก็เป็นการฮีลตัวเองที่ดีเหมือนกัน

     

    ถามว่าทำไมจู่ๆผมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาน่ะเหรอ?

    เพราะพี่อู๋ -- กำลังเล่นเกมคนใบ้กับผมอยู่ยังไงล่ะ

     

    เราแทบไม่คุยกันเลยเพราะพี่อู๋มีเรื่องต้องคิด ส่วนผมก็ยุ่งกับการติดต่อเพื่อนบ้านที่เคยอยู่ใกล้กัน ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลวันนั้น ผมเปลี่ยนใจกลับมาใช้โทรศัพท์ตามเดิม ทันทีที่เปิดเครื่อง กล่องข้อความก็แจ้งเตือนว่ามีใครพยายามติดต่อมาบ้าง เยอะสุดคือลุงชัย รองลงมาคือลุงชื่น ทุกคนพยายามติดต่อผมสัปดาห์ละครั้งสองครั้งแต่ลุงชัยบ่อยกว่าใครเพื่อน

     

    ล่าสุดลุงเพิ่งโทรหาผมเมื่อวาน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาคนเคยเห็นหน้ากันทุกวัน พอผมถามถึงความเป็นอยู่ของลุง แกก็บอกว่าดีแล้วที่ผมไปอยู่กับพี่อู๋ เพราะบ้านของเพื่อนที่ลุงขออาศัยตั้งอยู่ในชุมชนยาเสพติด เด็กที่นี่มีส่วนรู้เห็นในขบวนการเกือบทุกบ้าน วันดีคืนดีก็ไล่กระทืบกันเพราะเบี้ยวไม่มีเงินจ่ายค่ายา หนักหน่อยคือถูกตำรวจยิงตาย เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้ออกข่าวเพราะคนแถวนี้ตายกันบ่อยเหมือนผักเหมือนปลา ลุงบอกว่าถ้าผมมาอยู่ต้องประสาทกินแน่ๆ แกบอกว่าสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างผมเลย

     

    “ดีแล้วที่ได้ไปอยู่กับคุณอู๋ เขาดูแลเอ็งดีใช่ไหมล่ะ”

     

    “ครับ” ผมตอบ “พี่อู๋ดูแลผมดีมากๆ”

     

    ผมไม่ได้บอกลุงชัยเรื่องเกมสัปดาห์ของคนใบ้ ไม่ได้บอกเรื่องที่เกือบโดนพี่อู๋ตี เรื่องคุณหมูพี เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเพราะไม่อยากให้แกเป็นกังวล ผมอยากให้ลุงได้ยินแต่เรื่องดีๆ ไม่อยากให้รู้สึกผิดที่ไม่พาผมไปอยู่ด้วย พอรู้ว่านายก้องเกียรติกินอิ่มนอนหลับและมีชีวิตสุขสบายที่ลาดพร้าว แกก็โล่งใจและบอกว่าว่างๆจะไปหา ซึ่งว่างๆของแกไม่ได้หมายถึงเวลาว่าง แต่หมายถึงตอนที่ถนนว่างต่างหาก

     

    “ไว้เจอกันนะครับ”

     

    ผมพูดประโยคสุดท้ายแล้ววางสาย ก่อนจะโทรหาลุงชื่น โทรหาพี่ลี โทรหาข้าวฟ่างเพื่อสอบถามสารทุกข์สุขดิบของทุกคนไปเรื่อย ส่วนใหญ่ผมไม่ได้คุย แค่รับฟังและคอยตอบคำถามพวกเขามากกว่า แน่นอนว่าเรื่องที่ออกจากปากนายก้องเกียรติมีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น ไม่มีเรื่องโดนกรีดจนเหวอะทั้งตัว ไม่มีเรื่องแย่ๆให้พวกเขากังวล

     

    ผมใช้เวลาคุยกับเพื่อนบ้านเกือบชั่วโมง จนเมื่อเราไม่มีเรื่องพูดถึงวางสายแล้วกลับเข้าสู่เกมสัปดาห์ของคนใบ้โดยคุณอุรัสยาอีกครั้ง จริงๆพี่อู๋ก็ไม่ได้เย็นชาหรือเมินเฉยนายก้องเกียรติเสียทีเดียว เขาแค่อยู่ในช่วงที่ไม่อยากพูด ไม่อยากพูดก็คือไม่อยากพูด ไม่มีอารมณ์อื่นมาปะปน ไม่มีความไม่พอใจใดๆทั้งนั้น

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มห้าสิบเอ็ดนาที

     

    หลังวางสายผมจึงเดินไปหาพี่อู๋ที่กำลังเล่นเปียโนของเอมอยู่ข้างนอก ผมรู้ว่ากอริลลาแต่ละตัวแสดงอาการไม่เหมือนกัน บางตัวร้องไห้ทั้งวัน บางตัวด้านชาไร้ความรู้สึก บางตัวก็ชอบทำร้ายตัวเองเพราะอยากรู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับกอริลลาอู๋นั้น เขาแสดงนิสัยออกมาด้วยการกดเปียโนเรื่อยเปื่อยเป็นชั่วโมงๆ ต้องให้กอริลลาก้องเข้าไปขัดจังหวะถึงจะหยุดพักแล้วเริ่มกลับมาเป็นคุณอุรัสยาคนเดิมอีกครั้ง

     

    “คุยกับลุงเสร็จแล้วเหรอ?”

    “ครับ” ผมตอบ “พี่จะเข้าห้องนอนเลยไหม? เดี๋ยวผมเปิดแอร์ให้”

    “ก้องเปิดเลยก็ได้ ไม่ต้องรอพี่หรอก”

     

    พี่อู๋บอก ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องนอนเพื่อเปิดแอร์และเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่เปิดฝักบัวล้างคราบสบู่ออกจากผิวก็ได้ยินเสียงพี่อู๋คุยโทรศัพท์กับใครซักคน ผมรีบปิดฝักบัวเพื่อเงี่ยหูฟัง ได้ยินเป็นคำๆไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่เดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวกับคุณหมูพี เพราะทุกครั้งที่ใช้โทรศัพท์ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่พูดถึงแฟนเก่า

     

    “พีย้ายไปแอดมิทที่มนารมย์แล้วเหรอ? เป็นไงบ้าง?”

     

    เดาผิดที่ไหน

     

    “กูคงไม่ไปเยี่ยมหรอก ไปก็มีแต่ทำให้เรื่องแย่ลง” บทสนทนาเว้นวรรคชั่วครู่ “ถ้ายังไงฝากอัปเดตอาการพีด้วยนะ”

     

    ผมกัดริมฝีปาก คิดอยู่แล้วว่าพี่อู๋คงตัดคุณหมูพีไม่ขาด พวกเขาคบกันมาสิบปี จีบกันตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาในมหาลัยจนอายุสามสิบกว่า ต่อให้คุณหมูพีจะเกรี้ยวกราดและทำร้ายร่างกายพี่อู๋บ่อยขนาดไหนแต่เขาก็ยังมีส่วนดีๆให้จดจำ ผู้ปกครองของผมเองก็ยังรักและหวังดีกับคุณพีรพัฒน์อยู่ เพียงแค่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

     

    ผมไม่ได้คิดประโยคเท่ๆพวกนั้นด้วยตัวเองหรอกนะ

    ผมแอบได้ยินพี่อู๋คุยโทรศัพท์กับเพื่อนอีกที

     

    ดูเหมือนว่าในบรรดาเพื่อนทั้งหมด พี่ตั้มเป็นคนเดียวที่เข้าถึงพี่อู๋ได้มากที่สุด พวกเขาคุยโทรศัพท์กันบ่อย ส่วนใหญ่จะอัปเดตอาการคุณหมูพีให้ฟัง ผมไม่รู้ว่าที่พี่อู๋ถามถึงอดีตคนรักนั้นเพราะเป็นห่วง ไม่อยากรู้สึกผิด หรือยังตัดใจไม่ได้กันแน่ แต่ในมุมมองของเด็กอายุสิบเจ็ดที่ไม่เคยคบกับใครจริงๆจังๆ ผมคิดว่าพี่อู๋ยังรักคุณหมูพีอยู่ ถ้าไม่รักก็คงไม่ถามถึงบ่อยขนาดนี้

     

    บทสนทนาเงียบลงแล้ว พี่อู๋คงเดินออกจากห้องเพราะกลัวกอริลลาก้องได้ยิน ผมเช็ดตัวในห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอน พอออกมาก็ไม่เจอพี่อู๋ แต่ได้ยินเสียงคีย์แปร่งเพี้ยนของเปียโนดังมาจากข้างนอก ผมเดินไปตามเสียงแล้วก็พบกอริลลาที่กำลังเศร้าโศกบรรเลงเพลงด้วยอินเนอร์ของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท แต่เพลงที่กอริลลาอู๋เรียบเรียงขึ้นมาโคตรปั่นประสาทจนอยากเดินไปปิดฝาครอบเปียโนแล้วไล่ให้เขาไปนอน

     

    “พี่น่าจะเรียนเปียโนนะครับ”

     

    ผมพูด

     

    “ก้องคิดว่าพี่ควรเรียนเหรอ?”

     

    ควร -- ควรมากๆ อย่างน้อยผมจะได้ฟังเพลงที่เป็นเพลงจริงๆ ไม่ใช่เสียงติ๊งหน่องนองนอยตึ๋งๆกิ๊งๆอย่างทุกวันนี้

     

    “ก้องล่ะชอบดนตรีไหม? สนใจเปียโนหรือเปล่า”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ -- แค่อยากลองเล่นดูซักครั้ง”

     

    ผมอ้ำอึ้งเพราะลึกๆก็อยากเล่นมานาน แต่พอคิดถึงคืนก่อนที่ฟ้าฝ่าตอนกำลังจะกดคีย์ ผมก็สันหลังเย็นวาบ คิดไปต่างๆนานาว่าเอมอาจจะไม่พอใจ เขาอาจจะไม่อยากให้ใครแตะเปียโนของตัวเองนอกจากพี่ชายก็ได้  

     

    “งั้นมาสิ ลองเล่นดูก่อน เผื่อชอบ”

    “แต่เปียโนตัวนี้เป็นของเอมนะครับ”

    “ทำไม? ก้องคิดว่าเอมกลายเป็นผีสิงเปียโนเหรอ?”

    “เปล่าเสียหน่อย”

     

    ผมบุ้ยปากและแอบไขว้นิ้วข้างหลัง อย่าแกล้งกันเลยนะเอม เราไม่ได้อยากแตะของของนาย พี่อู๋ยัดเยียดให้ลองต่างหาก

     

    “อยากเล่นก็มาเล่นสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

     

    พี่อู๋กวักมือเรียกยิกๆ เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเชื้อเชิญให้กอริลลาก้องเข้ามาลอง ผมลังเลแต่ก็เดินไปนั่งตำแหน่งประจำของเอม ขอโทษนะ ผมนึกในใจ สัญญาว่าจะเล่นเบาๆ จะไม่ทำให้เปียโนของนายบุบสลาย เพราะฉะนั้นอย่าโกรธเราเลย ไปโกรธพี่อู๋เถอะ เราไม่ได้อยากเล่นจริงๆ ที่นั่งเนี่ยเพราะเกรงใจพี่ชายของนายหรอก ลึกๆเราไม่อยากยุ่งกับของของนายเลยนะ

     

    ผมกล้าๆกลัวๆ ชั่งใจว่าควรลองกดซักติ๊งดีไหมแต่พี่อู๋ก็คะยั้นคะยออยู่นั่นแหละ กดเลยก้อง กดเลย เขาเชียร์จนผมค่อยๆวางมือขวาลงบนคีย์สีขาวตัวหนึ่งก่อนจะกดเบาๆ

     

    ตึ๊ง!

     

    ผมกดตัวเดียวแล้วนั่งเก็บมือเรียบร้อย โอเคนะเอม เราเล่นแค่ครั้งเดียว ตึ๊งเดียว ไม่โกรธกันนะ โอเคไหม โอเคไหม --

     

    “เล่นอีกสิ จิ้มให้มันเยอะๆ”

     

    พี่อู๋พูดดึงมือผมไปกดคีย์เปียโนหลายตัวอย่างเอาแต่ใจจนได้เพลงเพี้ยนๆมาหนึ่งท่อน

     

    “เปียโนไม่ใช่น้ำจิ้มไก่นะ พี่จะบอกให้ผมจิ้มเอาๆได้ไง ถ้ามันพังขึ้นมาล่ะ?”

    “คิดมากว่ะก้อง กดเล่นเฉยๆมันจะพังได้ไง?”

    “ก็ผมเล่นไม่เป็น”

    “งั้นสมัครเรียนสิ เดี๋ยวพี่จ่ายค่าเรียนให้ เอาหรือเปล่า?”

     

    ผมส่ายหน้า ปฏิเสธผู้ปกครองด้วยคำพูดเรียบง่ายแต่พี่อู๋ก็ยังโน้มน้าวอยู่นั่นแหละ เขาบอกว่าปล่อยทิ้งไว้ไม่มีคนเล่นก็น่าเสียดาย สู้ส่งให้ผมเรียนดีกว่า อย่างน้อยถ้าผมเล่นเป็น เปียโนของเอมจะได้ไม่เงียบเหงาเหมือนทุกวันนี้

     

    “ทำไมพี่ไม่เรียนเองล่ะครับ พี่ควรเรียนมากกว่าผมอีกนะ”

    “พี่แก่แล้ว เรียนไปก็เท่านั้นแหละ ให้เด็กๆอย่างก้องเรียนดีกว่า” พี่อู๋ยิ้ม ตาของเขาเป็นประกายวิบวับครั้งแรกในรอบหลายวัน “ดีไหมก้อง? ถือว่าฆ่าเวลาช่วงรอสอบด้วย”

    “ผมไม่อยากรบกวนพี่อ่ะ แค่พาไปหาหมอผมก็เกรงใจมากแล้ว ถ้าเรียนเปียโนพี่คงต้องเสียเวลารับส่งผมอีก”

    “พี่มีเพื่อนเป็นครูสอนดนตรี เดี๋ยวจ้างมาสอนที่นี่เลยก็ได้”

    “แต่ --”

    “เออน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก ดีกว่าอยู่เฉยๆไม่มีอะไรทำเนอะ”

     

    แต่ผม -- ผมไม่ได้อยากเรียนเปียโน

     

    “งั้นพี่โทรหาเพื่อนเลยนะ จะได้จองตารางไว้ เดี๋ยวเรามาคุยกัน”

     

    พี่อู๋ยิ้มกว้างขณะกดเบอร์โทรศัพท์หาเพื่อนที่เป็นครูสอนดนตรี เขาดูมีความสุขมากเมื่อคิดไปเองว่านายก้องเกียรติสนใจเรียนเปียโน ยิ่งเห็นว่าเขาตื่นเต้นเท่าไหร่ ความต้องการของตัวเองก็ค่อยๆถูกอัดให้เล็กลงเท่านั้น ผมได้แต่นั่งมองพี่อู๋คุยกับเพื่อนเป็นวรรคเป็นเวร เขาบอกว่าค่าสอนไม่เกี่ยง ชั่วโมงละเท่าไหร่ขอให้บอก เขาอยากให้นายก้องเกียรติเล่นเปียโนเป็นจริงๆ

     

    “ก็ไม่เชิงน้องหรอก จะว่าไงดี --” ผมหลุดจากความคิดเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระอักกระอ่วนของพี่อู๋ “เออ เอาเป็นว่ามาสอนเถอะ กูจ้างมึงก็แล้วกัน”

     

    ในตอนนั้นเองผมถึงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า พี่อู๋ไม่ได้จ้างครูมาสอนเพราะคิดว่าผมชอบเปียโนหรอก เขากำลังนำผมไปแทนที่เอม เขาทำเหมือนผมเป็นเอม เป็นน้องชายที่จ่ายเงินให้เรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก ผมอยากบอกพี่อู๋ว่าผมไม่ใช่เอม ผมคือกอริลลาก้องซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ในชีวิตของพี่ อย่าบังคับให้ผมเล่นเปียโนเพื่อทดแทนคนที่จากไปเลย ยังไงผมก็ไม่มีวันเหมือนเอม ผมไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์เหมือนน้องชายของพี่ ถ้าวันหนึ่งพี่รู้ว่าผมไม่มีหัวด้านดนตรี ผมเป็นน้องชายของพี่ไม่ได้ พี่จะยังอยากเลี้ยงเด็กเหลือขอคนนี้อยู่ไหม

     

    “เรียบร้อย” คุณอุรัสยายิ้มแป้น “เริ่มเรียนเดือนหน้านะ เพราะเดือนนี้ตารางไอ้โรมเต็มแน่นจนปลีกตัวมาไม่ได้”

     

    กอริลลาก้องยิ้มเจื่อน ไม่รู้จะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง ผมพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อบอกพี่อู๋ว่าจริงๆแล้วไม่ได้อยากเรียนเปียโน ผมแค่อยากลองกดเล่นเฉยๆ ไม่อยากจริงจังกับมันขนาดนั้น แต่พอเห็นสีหน้าที่เริ่มมีชีวิตชีวาของผู้ปกครอง ผมก็กดความต้องการของตัวเองไว้ แล้วมองผู้มีพระคุณที่พูดไม่หยุดอยู่ตรงหน้า

     

    “ดีจัง” พี่อู๋ลูบด้านข้างของเปียโนเบาๆ “ซื้อมาครึ่งล้านไม่เสียเปล่า มีคนได้ใช้ตั้งสองคน”

     

    ผมพูดไม่ออก ได้แต่นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาทะเลาะกับคุณหมูพี พี่อู๋เคยพูดว่าไม่ได้เอานายก้องเกียรติมาแทนที่ใครทั้งนั้น แต่วันนี้เขากลับทำให้ผมรู้สึกว่าต้องเป็นเอมคนที่สอง ต้องเรียนเปียโนตามแผนที่เขาคิดเอาไว้ แล้วผมควรทำยังไง นายก้องเกียรติที่เคยเรียนแค่ขลุ่ยเพียงออสมัยชั้นประถม -- จะเล่นเปียโนให้เก่งเท่าน้องชายของเขาได้ยังไง

     

    “พี่อู๋ครับ”

    “หืม?”

     

    คุณอุรัสยาเงยหน้ามอง พอเห็นผมเงียบไม่พูดต่อก็วกกลับไปคุยเรื่องเปียโนอีกหน เกมสัปดาห์ของคนใบ้ถูกยกเลิกกะทันหัน ผมได้แต่ฟังพี่อู๋แบบหูซ้ายทะลุหูขวา เนื้อหาที่เขาพยายามสื่อไม่เหลือติดสมองเลย ในหัวมีแต่ความคิดฟุ้งซ่านว่าจะเอายังไงต่อไป ถ้ายืนยันกับพี่อู๋ว่าไม่อยากเรียน เกมสัปดาห์ของคนใบ้ก็จะกลับมาอีกครั้งซึ่งผมไม่ต้องการให้เป็นแบบั้น ผมอยากให้เกมนี้เป็นเกมส่วนตัวระหว่างผมกับแม่ ต่อให้เคยคิดว่ามันคือการฮีลตัวเองที่ดีแต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากเล่นเกมนี้ทุกเดือน ในเมื่อแม่ตายแล้วก็ขอให้มันจบไป ผมไม่อยากให้พี่อู๋เอามันมาเล่น ผมไม่อยากอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครพูดด้วยเลย

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืน

     

    ในที่สุดกอริลลาก้องก็ตัดสินใจได้ ถ้าพี่อู๋อยากให้ผมเป็นเอม ผมก็จะเป็นให้ ไม่ว่าเขาอยากให้ผมเป็นอะไร ผมจะเป็นให้ทุกอย่าง ผมจะเล่นเปียโนให้เก่ง จะรับผิดชอบงานบ้านให้ดี จะสอบเข้ามหาลัยดังๆให้ได้เหมือนที่พี่อู๋เคยคาดหวังกับเอม ผมทำได้ทุกอย่าง ขอแค่เขาไม่เล่นเกมสัปดาห์กับคนใบ้กับผมอีกก็พอ

     

     

     

    สัปดาห์แรกของเดือนธันวา ผมเริ่มเรียนดนตรี

     

    พี่โรมเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของพี่อู๋ ดังนั้นเขาจึงไม่ระแคะระคายเมื่อต้องคลุกคลีกับคุณอุรัสยาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเหี้ยบนอินเทอร์เน็ต พี่โรมแอบคุยเรื่องนี้กับผมตอนพี่อู๋ไปเข้าห้องน้ำ เขาบอกว่าเพื่อนส่วนใหญ่ที่รู้จักกันมานานเข้าข้างพี่อู๋ทั้งนั้น แต่เพื่อนสมัยมหาลัยจะเอนไปทางคุณหมูพีเพราะชุดความคิดแปลกประหลาดเช่น คนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนคือคนเหี้ย ผมบอกพี่โรมว่าผมอยากให้พวกสอนเก่งมีแฟนประสาทแดกแบบคุณหมูพีจัง ถึงตอนนั้นจะยังด่าผู้ปกครองของผมอยู่ไหม จะยังอัปสเตตัสแขวะพี่อู๋ จะแกล้งด่าลอยๆเหมือนจุดธูปเรียกบรรพบุรุษมากินข้าวอีกไหม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

     

    “ปากร้ายนะเราอ่ะ” พี่โรมยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก เขาเป็นผู้ชายสูงร้อยเจ็ดสิบผู้ชื่นชอบทุกอย่างที่มีคิตตี้ “แล้วนี่ไปเจอไอ้อู๋ได้ไงเหรอ?”

    “เจอ -- แถวบ้านครับ” ผมเลี่ยงที่จะบอกความจริงทั้งหมด “ผมเดินเตะฝุ่นอยู่แถวบ้าน พี่อู๋ขับรถผ่านมาก็เลยรู้จักกัน”

     

    แม้ว่านายก้องเกียรติจะเลิกลั่กแต่พี่โรมก็ปล่อยผ่าน ไม่ถามเพิ่มหรือแสดงความสงสัยอะไรอีก ผมแอบถามพี่โรมเกี่ยวกับผู้ปกครองสมัยเรียนมัธยมด้วย เขาบอกว่าพี่อู๋ตอนนั้นโคตรเกรอะกรัง วันๆเล่นแต่บาสกับอ่านการ์ตูนใต้โต๊ะไม่เหมือนลูกหมอคนอื่นๆในโรงเรียนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนหัวฟู ผมถามพี่โรมว่าสมัยมัธยม ผู้ปกครองของผมเคยมีแฟนไหม พี่โรมส่ายหน้า บอกแค่ว่ามีแต่สาวๆแกล้งโทรผิดไปเบอร์บ้านพี่อู๋เพื่อชวนคุย ถ้าแฟนเป็นตัวเป็นตนยังไม่มี

     

    “พี่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแฟนเก่ามันเท่าไหร่หรอก -- หมายถึงคนที่เพิ่งเลิกอ่ะ แต่เท่าที่ฟังจากเพื่อนผู้หญิงในห้องก็ได้ยินว่านางร้ายอยู่นะ”

    “มากๆครับ” ผมช่วยยืนยันข่าวซุบซิบนั้นอีกเสียง “แต่เพื่อนสมัยมัธยมไม่มีใครเกลียดพี่อู๋ใช่ไหมครับ?”

    “โอ๊ย -- ไม่มี ไม่มีใครเกลียดมันหรอก ทุกคนเห็นใจมันจะตาย มีแต่เพื่อนแฟนเก่ามันทั้งนั้นแหละที่ไม่จบ คนประสาทแดกนี่มันก็อยู่ด้วยกันได้เนอะ”

     

    ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะกลับมาโฟกัสที่บทเรียนต่อ เนื้อหาวันแรกยังไม่เริ่มเล่นเพลงอย่างที่คิดเอาไว้ พี่โรมบอกว่าเขาจะสอนพื้นฐานของตัวโน้ตก่อน นี่ขนาดแค่พื้นฐานก็ปวดหัวกับบรรทัดห้าเส้นและสัญลักษณ์จะแย่ ดนตรีไม่ใช่ทางถนัดของผมเลย ไม่ใช่ซักนิด คนที่เคยอ่านโน้ตดนตรีไทยแค่ โด เร มี จะไปรู้เรื่องระบบกุญแจซอล กุญแจฟาได้ยังไง ต่อให้พี่โรมอธิบายอย่างใจเย็นก็เถอะ ผมไม่ได้หัวไวถึงขนาดเข้าใจทุกอย่างภายในหนึ่งชั่วโมง

     

    “อย่ากดดันตัวเองนะคะน้องก้อง ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะ”

     

    พี่โรมปลอบใจเมื่อเห็นผมหน้าดำคร่ำเครียดกับการท่องจำว่าอะไรคืออะไร ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนก่อนจะผละหน้าออกจากกระดาษแล้วสารภาพความจริงกับคุณครูโรม

     

    “ผมไม่มีเซนส์ทางด้านดนตรีเลย ถ้าพี่อู๋ถามว่าเป็นไงบ้าง พี่ช่วยพูดยังไงก็ได้เพื่อไม่ให้พี่อู๋เฟลได้ไหมครับ?”

    “น้องก้องหมายความว่ายังไงคะ? อู๋มันจะเฟลทำไมเหรอ?”

    “เขาจ่ายเงินตั้งแพงเพื่อให้ผมเรียน แต่ผมกลับไม่ได้เรื่อง เรียนมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ผมยังนับจังหวะไม่เป็น”

    “ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิดหรอกนะคะน้องก้อง” พี่โรมแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ แต่ก็รับปากว่าจะพูดเฉพาะข้อดีของผมให้ผู้ปกครองฟัง “มาพยายามด้วยกันเนอะ ค่อยๆทำความเข้าใจวันละนิดละหน่อย พี่ว่าน้องก้องทำได้แน่นอนค่ะ”

     

    ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่รู้สึกมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ว่าจะทำออกมาได้ดีเหมือนเอม แต่กอริลลาก้องที่เคยเล่นแค่ขลุ่ยเพียงออยังคงพยายามตั้งอกตั้งใจอ่านโน้ตดนตรีเบื้องต้นจนกระทั่งโทรศัพท์ของพี่อู๋สั่น เสียงเตือนสั้นๆแบบนี้คงเป็นข้อความจากเมสเซนเจอร์ในเฟสบุ๊กแน่ๆ ทันทีที่มันสั่น ครืด! ผมกับพี่โรมก็ชะโงกหน้าไปดูโทรศัพท์ของพี่อู๋ที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

     

    [อู๋ พีอยากเจอ จะเอายังไง?]

     

    เอาเหี้ยอะไรอีก

     

    ผมนึกด่าในใจ ไหนว่าวันนั้นจบกันไปแล้วไง ทำไมถึงยังส่งข้อความมาหาผู้ปกครองของผมเพื่อให้เขากลับไปเจอคนประสาทแดกอีก ผมนั่งจ้องหน้าจอเขม็ง ยอมรับว่าไม่พอใจมากๆที่เพื่อนของคุณหมูพีทำตัวเป็นกาวตราช้างไปได้

     

    “ลำไย” พี่โรมกลอกตา “ไม่ต้องไปสนใจมันนะคะ เรามาเรียนกันต่อเถอะ”

     

    ผมพยักหน้ารับแล้วแสร้งทำเป็นโฟกัสกับบรรทัดห้าเส้นทว่าในใจกลับคิดแผนชั่วไปต่างๆนานา หลังเรียนเสร็จผมจะเอาโทรศัพท์ของพี่อู๋ไปซ่อน ผมจะยัดเอาไว้ในซอกโซฟาเพื่อไม่ให้เขาหาเจอและไม่ต้องเห็นข้อความบ้านั่น ผมสาบานเลยว่าจะขัดขวางทุกทางเพื่อไม่ให้พี่อู๋กลับไปเจอเรื่องเฮงซวยอีก ต่อให้ต้องเอาไอโฟนเครื่องละสามหมื่นของเขาจุ่มชักโครก ผมก็จะทำ

     

    แผนของผมเกือบสำเร็จอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าจิตใต้สำนึกมันถามซ้ำๆว่านายก้องเกียรติมีสิทธิ์อะไร นี่มันเรื่องของพี่อู๋กับแฟนเก่า โทรศัพท์ก็เป็นของเขา แถมเราไม่ใช่ญาติหรือพี่น้องแท้ๆคลานตามกันมาด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนที่พี่อู๋เดินออกมาจากห้องน้ำ โทรศัพท์ของเขาจึงวางอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิม ไม่ได้โดนยัดในโซฟาตามแผนชั่วของกอริลลาก้อง แต่ก็ไม่มีใครบอกเขาว่ามีคนคาบข่าวว่าอยากให้พี่อู๋ไปเจอคุณหมูพี ทั้งพี่โรมและผมปิดปากสนิท ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่สุดท้ายคุณอุรัสยาก็อ่านข้อความนั่นจนได้

     

    “ทีนี้เรามาหัดเคาะจังหวะกันนะคะ เลขสี่ข้างบนก็คือห้องละสี่จังหวะ ถ้าเป็นเลขสามก็คือห้องละสามจังหวะ พี่จะเริ่มจากสี่จังหวะก่อนแล้วกัน น้องก้องฟังตามเสียงปรบมือพี่นะคะ หนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่ง สอง สาม --”

     

    ทำไมพี่ถึงทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?

     

    ผมเหลือบมองผู้ปกครองที่นั่งเล่นมือถือบนโซฟาจนหมดชั่วโมงเรียน ไม่รู้ว่าพี่อู๋ตอบข้อความนั้นว่ายังไง แต่ที่แน่ๆเขาเริ่มไม่มีอารมณ์ร่วมกับพวกเราแล้ว ขนาดพี่โรมรายงานเขาว่าวันนี้สอนอะไรบ้าง และนายก้องเกียรติเรียนรู้ได้ไวขนาดไหน เขายังไม่ตั้งใจฟังเลย พี่อู๋ใจลอยอยู่ที่โทรศัพท์ ไม่ได้สนใจเด็กในอุปการะที่ส่งเสียให้เรียนเปียโนซักนิด

     

    “เจอกันพรุ่งนี้นะคะน้องก้อง”

     

    พี่โรมโบกมือลาก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้กอริลลาสองตัวยืนอยู่ในบรรยากาศอึดอัดที่ไม่มีใครพูดอะไร พี่อู๋เดินกลับไปนั่งบนโซฟา คราวนี้เขาพิมพ์ตอบยิกๆเหมือนกำลังแชทกับใครบางคน เดาว่าน่าจะเป็นพี่ตั้มเพราะซักพักโทรศัพท์ก็ดัง พี่อู๋พูดแค่ว่ามึงเห็นที่กูแคปให้ดูหรือยัง แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน

     

    จริงๆผมอยากเปิดใจคุยกับผู้ปกครองเหมือนกัน ผมอยากบอกให้เขาใจแข็งไม่หันหลังกลับไป แต่ทุกครั้งที่คิดจะพูดแบบนั้น คำว่า มึงเสือกอะไร ก็ลอยเข้ามาในหัวตลอด นั่นสิ นายก้องเกียรติเสือกอะไร พี่อู๋จะกลับไปคบกับคุณหมูบ้าหรือยอมอดทนอยู่ในวงจรอุบาทว์เหมือนเดิมก็ไม่ใช่เรื่องของผมเสียหน่อย ผมจึงทำแค่รออยู่ข้างนอก รอ และรอว่าพี่อู๋จะออกมาเมื่อไหร่ แต่เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แวว สุดท้ายผมต้องลุกไปทำมื้อเย็นจะได้มีข้ออ้างเวลาเคาะประตูเรียกให้เขาออกจากห้อง

     

    “พี่อู๋ กับข้าวเสร็จแล้วครับ”

     

    ผมได้ยินเสียงกึกกักนิดหน่อยก่อนบานประตูจะเปิดออก พี่อู๋ดูซึมๆเครียดๆเหมือนคนมีเรื่องกลุ้มใจ ยังดีที่เขายอมลุกมากินข้าวให้กอริลลาชื่นใจบ้าง เพราะถ้าเขาเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องเหมือนวันก่อน ผมต้องประสาทแดกตายแน่ๆ

     

    “วันนี้มีไข่ดาวไม่สุกกับแกงจืดสาหร่ายครับ” ผมเลื่อนชามน้ำซุปร้อนๆไปวางกลางโต๊ะก่อนจะเสิร์ฟข้าวสวยร้อนที่มีไข่ดาวเด้งดึ๋งอยู่ด้านบน “ผมทอดให้พี่สองฟองเลย”

     

    พี่อู๋แค่ยิ้มบางๆแล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวในส่วนของตัวเอง ผมมองผู้ปกครองที่นั่งอยู่ตรงข้าม หวังว่าวันนี้เขาจะเอ่ยปากชื่นชมว่ากับข้าวอร่อยเหมือนทุกที แต่มีแค่ความเงียบเป็นคำชม ไม่มีบทสนทนาอื่นนอกจากเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้

     

    “อร่อยไหมครับ?”

    “อืม อร่อย”

     

    พี่อู๋ตอบอย่างขอไปที คำตอบของเขาไม่ทำให้ผมดีใจเลย

     

    “พี่อู๋ครับ”

    “หื้ม?”

    “ถ้าพี่คิดถึงเขา -- ก็ไปเยี่ยมเขาเถอะครับ”

     

    ช้อนที่กำลังตักข้าวชะงักไปครู่หนึ่ง คุณอุรัสยาไม่ได้ตำหนิที่ผมแอบอ่านข้อความส่วนตัว เขาก็แค่อึ้งราวกับไม่คิดว่ากอริลลาก้องจะพูดประโยคนี้ออกมา ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อบรรยากาศมันอึดอัดเพราะพี่อู๋อยู่หลังกำแพงของตัวเอง ผมก็ต้องพังอะไรซักอย่างเพื่อจะได้มองเห็นเขา ได้รับรู้ว่าเบื้องหลังความเข้มแข็งปลอมๆมีอารมณ์แบบไหนซ่อนอยู่

     

    “ทำไมพี่ต้องไปเยี่ยมพีล่ะก้อง?”

    “เพราะตอนที่ไม่มีเขา พี่ดูไม่มีความสุขเลย” ผมบอกเหตุผล

    “คิดมาก พี่ไม่ได้รัก --”

    “ผมว่าพี่ควรพบจิตแพทย์นะครับ”

     

    กอริลลาก้องโพล่งความต้องการของตัวเองออกไป คราวนี้พี่อู๋เหวอแดก เขาดูสับสนและงุนงงว่านายก้องเกียรติพูดเรื่องบ้าอะไร

     

    “ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”

     

    ผมบอกแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ผู้ปกครองได้ใช้เวลากับตัวเอง เขาส่ายหน้าเหมือนคำแนะนำของเด็กอายุสิบเจ็ดเป็นเรื่องตลกขบขัน พี่อู๋บอกว่าทำไมเขาต้องพบจิตแพทย์ด้วยในเมื่อไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเสียหน่อย พี่อู๋ไม่ได้อยากตาย เขาแค่อยู่ในโหมดเศร้าเพราะเพิ่งเลิกกับแฟน ส่วนใหญ่ใครๆก็รู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น ต่อให้หมดรักไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เสียใจ

     

    “ก้องเคยมีแฟนไหม?”

     

    ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     

    “แล้วเคยอกหักหรือเปล่า?”

     

    ผมครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า ผมเคยอกหักตอนมัธยมต้นจากผู้หญิงที่เป็นดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน มันก็หน่วงๆเจ็บๆตามประสาปั๊บปี้เลิฟ มีบางที่เสียใจเพราะโดนปฏิเสธ แต่ก็ไม่ถึงกับเก็บตัวเงียบแบบพี่อู๋เสียหน่อย

     

    “ไว้วันไหนก้องมีความรัก ก้องจะเข้าใจ”

    “ทำไมพี่ไม่อธิบายผมมาตรงๆ ทำไมต้องรอให้ผมมีความรัก? ชาตินี้ผมอาจจะไม่มีใครเลยก็ได้ วันหนึ่งผมอาจจะฆ่าตัวตาย อาจจะหายไป อาจจะ --”

    “ก้อง” พี่อู๋ขัดจังหวะ “ของแบบนี้อธิบายไปก็ไม่อิน ต้องสัมผัสด้วยตัวเอง”

    “ผมแค่อยากเข้าใจพี่บ้าง”

    “ไม่ต้องพยายามเข้าใจพี่หรอก ก้องอยู่ให้มีความสุขเถอะ อย่าเอาเรื่องของพี่ไปคิดให้หนักสมองเลย เครียดเปล่าๆ”

    “สรุปพี่จะหาหมอไหมครับ?”

    “ไม่อ่ะร” พี่อู๋ตอบทันควัน “พี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่สบายดี”

     

    ผู้ปกครองส่ายหน้า ปล่อยให้เด็กในอุปการะนั่งเหม่อราวกับหลุดหายไปยังโลกอีกใบ พี่อู๋ไม่รู้หรอกว่าจริงๆผมคิดอะไรอยู่ เขาอาจจะคิดว่าผมกำลังถามหาความหมายของคำว่ารัก แต่จริงๆแล้วผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงให้เขารู้ตัวต่างหาก พี่อู๋เหมือนกอริลลาที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกอริลลา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าของเขาไร้ความรู้สึกมาซักระยะแล้ว ผมล่ะอยากจับเขามัดมือมัดเท้าไปหาหมอจริงๆ

     

    “กินข้าวเถอะก้อง เลิกคิดมากได้แล้ว”

     

    พี่อู๋แบ่งไข่ขาวใส่จานของผม

     

    “พี่ไม่เป็นไรหรอก พี่สบายดี”

     

    ผมฝืนยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ แสร้งทำเป็นไม่คิดอะไรทว่าจริงๆแล้วกำลังเครียดหนัก ความคิดเรื่องกลับไปเยี่ยมคุณหมูพีว่าแย่แล้ว แต่ที่แย่กว่าคือการไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ผมจินตนาการถึงวันที่พี่อู๋ล้มไม่ออกเลย ถ้าวันนั้นมาถึง กอริลลาก้องซึ่งจิตป่วยไม่แพ้กันจะรับมือไหวไหมนะ

     

    ผมคิดไม่ออกจริงๆ

     

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงสิบเจ็ดนาที

     

    พี่อู๋ยังไม่กลับบ้าน

     

    เขาไม่ได้บอกผมว่าไปไหน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่พ้นโรงพยาบาลมนารมย์แน่ๆ พี่อู๋ออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยง เขาหายไปสี่ชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ทิ้งให้ผมเรียนเปียโนกับพี่โรมเพียงลำพังในห้องแค่สองคนเท่านั้น

     

    “น้องก้องคะ วันนี้เป็นอะไร ทำไมน้องก้องดูไม่มีสมาธิเลย?”

     

    ผมที่กำลังแบกโลกทั้งใบไม่รู้จะตอบยังไง จึงทำได้แค่ส่ายหน้าเบาๆแล้วพยายามตั้งสมาธิกับบทเรียนต่อ เมื่อวานแค่บรรทัดห้าเส้นและตัวโน้ตต่างๆก็แย่แล้ว วันนี้เจอคอร์ดเข้าไปถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผมงงเป็นไก่ตาแตก สัญลักษณ์พวกนี้ยากยิ่งกว่าคณิตเสริมสมัยมอปลายเสียอีก พอพี่โรมเห็นผมเงียบ เขาก็เว้นระยะให้นายก้องเกียรติได้พักหายใจก่อนจะถามว่าน้องก้องไม่เข้าใจตรงไหนถามพี่ได้เสมอนะคะ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกดดันนะ

     

    “ผมจำเนื้อหาที่พี่อธิบายไม่ได้ครับ” ผมสารภาพความจริง “วันนี้ผมไม่มีใจจะเรียนเลย”

     

    พี่โรมเหลือบมองนาฬิกา เหลือเวลาแค่สิบกว่านาทีถึงจะหมดคอร์สสำหรับวันนี้ เขาวางเอกสารอธิบายตัวโน้ตลงบนโต๊ะก่อนจะชวนผมไปที่เปียโน เปิดฝาครอบคีย์ขึ้นแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

     

    “งั้นเรามาคลายเครียดด้วยการลองเล่นเพลงง่ายๆดีกว่าเนอะ” เขาพูดก่อนจะเริ่มกดคีย์ให้ผมฟัง ไล่ตั้งแต่โดเรมีไปจนถึงโด๊เสียงสูง “น้องก้องเคยได้ยินเพลงนี้ไหมคะ ทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ลสตาร์

    “เพลงเอบีซีเหรอครับ?”

    “ใช่ๆ ทำนองเดียวกัน” พี่โรมวางนิ้วบนคีย์ให้ดูเป็นตัวอย่าง “ไม่ต้องคิดอะไรนะ ลองใช้เซนส์เล่นดู เพลงนี้ง่ายๆสบายมาก เล่นแค่มือขวามือเดียวก่อนก็ได้”

     

    ผมลองกดตามที่พี่โรมสอน น่าแปลกที่จู่ๆก็เห็นภาพรวมชัดขึ้น กอริลลาก้องผู้รักตรีโกณมิติยิ่งกว่าอะไรค่อยๆเข้าสู่โลกของดนตรีจนเริ่มสร้างความเข้าใจฉบับตนเองขึ้นมา ผมแทนตัวโน้ตทั้งเจ็ดด้วยตัวเลข โดคือหนึ่ง มีคือสอง ไล่ไปเรื่อยๆจนตัวสุดท้ายโดยทีคือเจ็ด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ง่ายขึ้น หมดปัญหาจำว่าตรงไหนคือโดคือซอล เพราะผมเล่นท่องเป็น

     

    Twinkle Twinkle Little Star

    โด โด ซอล  ซอล ลา   ลา ซอล

    หนึ่ง หนึ่ง  ห้า ห้า หก หก  ห้า

     

    How I wonder what you are

    ฟา  ฟา มี     มี เร     เร โด

    สี่   สี่ สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง

     

    ว้าว --

    ได้โปรดเรียกผมว่าอัจฉริยะทางด้านแปลงอะไรไม่รู้เป็นความเข้าใจของตัวเองเถอะ

     

    พี่โรมไม่รู้หรอกว่าผมไม่ได้จำตัวโน้ต ผมมองมันเป็นตัวเลขแล้วกดตามรหัสที่ท่องไว้ คราวนี้การเรียนดนตรีสนุกขึ้นจนลืมความเครียด ผมเรียนรู้ไวจนสามารถเล่นเพลงอนุบาลหมีน้อยอย่าง Twinkle Twinkle Little Star ได้ภายในเวลาสิบนาทีด้วยซ้ำ

     

    เมื่อเริ่มจำแม่น พี่โรมก็เล่นมือซ้ายให้ ส่วนผมเล่นมือขวา เพลงเอบีซีเวอร์ชั่นอิหยังวะจึงถือกำเนิดขึ้น ผมจำวินาทีที่เล่นเพลงนี้จบได้ มันทั้งสนุก ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นเมื่อคิดว่าวันนี้มีอะไรไปอวดผู้ปกครองแล้ว

     

    “วันนี้พี่ปล่อยให้เล่นง่ายๆเพราะเห็นน้องก้องเครียด คราวหน้าเราจะทบทวนเนื้อหาใหม่อีกครั้งแล้วพี่จะสอนการวางมือที่ถูกต้องนะคะ ค่อยๆทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อาจจะลองวางมือบนสเกลซี เมเจอร์ก่อนแล้วไล่นิ้วไปก็ได้ คิดว่าเปียโนคือเพื่อน ทำความรู้จักเขาเรื่อยๆ วันหนึ่งน้องจะสนิทกับเขาจนหลับตาเล่นได้เลย”

     

    ผมหัวเราะแห้งๆ ไม่รู้ว่าวันที่เล่นเปียโนเก่งเหมือนเอมจะมาถึงหรือเปล่า นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงครึ่ง ถึงเวลาที่พี่โรมต้องกลับแล้ว แต่พี่อู๋ก็ยังไม่มา

     

    “พี่โรมครับ เรื่องเงินค่าเรียน --”

    “อ๋อ อู๋มันโอนให้พี่แล้วจ้ะเมื่อคืน” เขายิ้มหวาน “น้องก้องล็อกประตูห้องดีๆนะคะ เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ”

     

    ผมยกมือสวัสดีพี่โรมแล้วปิดประตูห้อง จากที่เคยนั่งรอเฉาๆก็เปลี่ยนเป็นฝึกเล่นเพลงที่เพิ่งเรียนเมื่อครู่แทน ผมเล่นมือขวาจนคล่องแต่มือซ้ายยังคงจำไม่ได้ก็เลยเปิดยูทิวบ์เพื่อเล่นตามความเข้าใจของคนสมองถั่ว บนอินเตอร์เน็ตมีความรู้ฟรีให้เรียนเยอะแยะ ถ้าผมลองเสิร์ชหาด้วยตัวเองก่อน พี่อู๋อาจจะไม่ต้องเสียเงินหลักพันเพื่อให้กอริลลาก้องเรียนเปียโนก็ได้

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสิบนาที

     

    ในคอนโดไม่มีเสียงอื่นเลยนอกจากเพลง Twinkle Twinkle Little Star ที่บรรเลงโดยนายก้องเกียรติ ผมตั้งใจและทุ่มเทให้มันสมบูรณ์แบบด้วยความคิดที่ว่าถ้าพี่อู๋เห็นผมพัฒนาจากเมื่อวานขนาดไหน เขาคงดีใจ และกลับมาร่าเริงเหมือนวันก่อนแน่นอน

     

     

     

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบสามนาที

     

    คุณอุรัสยาเพิ่งกลับถึงบ้าน ผมรีบหันหน้ามองทันทีที่ได้ยินเสียงไขกุญแจ พี่อู๋กลับมาแล้ว เขาดูเหมือนผักเหี่ยวๆที่แช่ในตู้เย็นนานหลายวัน ไม่มีสีสัน ไม่มีชีวิตชีวาราวกับทุกอย่างถูกลบออกไปหมด ผมทำเพียงแค่มองผู้ปกครองค่อยๆถอดรองเท้าอย่างเชื่องช้า ทันทีที่เขาหันมา ผมก็ถามด้วยคำถามเดิมๆ

     

    “พี่โอเคไหมครับ?”

     

    พี่อู๋ส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับว่าไม่ไหวกับสิ่งที่เป็นอยู่ แววตาของเขาไม่มีน้ำตา ไม่มีอาการเหมือนคนเพิ่งร้องไห้แต่ดูเหนื่อยล้ากว่าครั้งไหนๆ พี่อู๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไหล่ตกมาทางนี้ เขากางแขนกว้างแล้วดึงผมเข้าไปกอดแน่น มันแน่นจนผมทำตัวไม่ถูกเลย

     

    “อยู่แบบนี้ซักพักนะก้อง”

     

    พี่อู๋ขอร้อง แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธผู้มีพระคุณ ผมยืนเป็นหุ่นให้เขากอดนานหลายนาที พี่อู๋ถือโอกาสนี้ซบหน้าลงใบไหล่ของผมแล้วถอนหายใจ เขาไม่พูดเลย ไม่ระบายหรือเล่าอะไรให้ฟังนอกจากกอดกอริลลาก้องเงียบๆ ผมลังเลอยู่นานว่าควรตอบสนองยังไง แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไร ผมยืนเฉยๆพร้อมกับรวบรวมความกล้าถามเขา

     

    “พี่อู๋คืนดีกับเขาแล้วเหรอครับ?”

    “เปล่า”

     

    เขาตอบ น้ำเสียงเหมือนคนเหนื่อยล้าที่ไม่มีทางไป พี่อู๋ทำให้ผมคิดไกลว่าลึกๆแล้วเขายังรักคุณหมูพีอยู่ พอคิดแบบนั้นผมก็เจ็บใจ อยากเตือนสติเขาด้วยการขุดคุ้ยวีรกรรมแสบๆที่คุณพีรพัฒน์ทำกับเราขึ้นมาอีกหน แต่กลัวว่าจะเป็นการซ้ำแผลใจให้เจ็บกว่าเดิม ดังนั้นกอริลลาก้องจึงหุบปาก ไม่สั่งสอนเขาเหมือนที่คนในเฟสบุ๊กเคยทำ

     

    “พี่คุยกับผมได้นะ”

    “ไม่มีอะไรหรอก” พี่อู๋ปฏิเสธ “วันนี้ไม่ต้องทำข้าวเย็นเผื่อนะ พี่ไม่หิว”

     

    ผู้ปกครองสั่งก่อนจะผละตัวออก เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของกอริลลาก้อง เขาก็ยืนยันอีกครั้งว่าไม่เป็นไร เขาไม่เป็นไรจริงๆ อย่าเครียดเลย

     

    “จะไม่ให้ผมเครียดได้ไง ผมเป็นห่วงพี่”

    “พี่รู้ลิมิตตัวเองดีก้อง ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ พี่จะบอกเอง”

    “พี่ไม่บอกหรอก พี่ไม่เคยบอกอะไรผมเลย” ผมตัดพ้อเหมือนตัวเองเป็นคนในครอบครัว ทั้งๆที่จริงเป็นเด็กข้างถนนที่ถูกเก็บมาเลี้ยง “ทำไมพี่ถึงบังคับให้ผมไปหาหมอได้ แต่ผมบังคับพี่ไม่ได้ล่ะ?”

    “เพราะก้องไม่มีเงิน ก้องไม่มีอำนาจมากพอจะบีบพี่” เขาแกล้งแหย่ แต่ผมไม่ขำ “ไปกินข้าวเถอะ พี่ไม่เป็นไรจริงๆ เห็นไหมว่าพี่ไม่ร้องไห้ซักแอะ”

    “ไม่ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บนี่ครับ”

     

    พี่อู๋แกล้งยีผมนายก้องเกียรติเบาๆก่อนจะเดินไปอาบน้ำ แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ เราใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดเหมือนคนไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างเงียบอยู่เพียงลำพังในโลกของตัวเอง ไม่มีบทสนทนาเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีการกินข้าวด้วยกันหรือเย้าแหย่หน้าทีวี พี่อู๋หายเข้าไปในห้องและไม่ออกมาอีกเลย

     

    ผมเว้นช่องว่าง เว้นระยะห่าง เว้นวรรคผู้ปกครองได้ใช้เวลากับตัวเอง แต่สุดท้ายทนได้แค่สองชั่วโมงก็ต้องหาเรื่องไปดูเพราะรู้สึกเป็นห่วง ผมเปิดประตูเข้าไปเจอพี่อู๋นอนคว่ำหน้าบนเตียง ข้างๆมีโทรศัพท์วางไว้ราวกับเตรียมพร้อมรับสาย พอเห็นเขาหลับผมก็ปิดประตู เดินกลับมาที่โถงนั่งเล่นเพื่อซ้อมเปียโนเพราะอยากสร้างความประทับใจให้พี่อู๋

     

    Twinkle Twinkle Little Star

    โด โด ซอล  ซอล ลา   ลา ซอล

    หนึ่ง หนึ่ง  ห้า ห้า หก หก  ห้า

     

    How I wonder what you are

    ฟา  ฟา มี     มี เร     เร โด

    สี่   สี่ สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง

     

    Up above the world so high

    ซอล  ซอล ฟา  ฟา มี     มี เร

    ห้า ห้า   สี่ สี่ สาม   สาม สอง

     

    Like a diamond in the sky

    ซอล  ซอล ฟา  ฟา มี     มี เร

    ห้า ห้า   สี่ สี่ สาม   สาม สอง

     

    Twinkle, twinkle little star

    โด โด ซอล  ซอล ลา   ลา ซอล

    หนึ่ง หนึ่ง  ห้า ห้า หก  หก ห้า

     

    How I wonder what you are

    ฟา  ฟา มี     มี เร     เร โด

    สี่   สี่ สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง --

     

    เย้! ตอนนี้ผมสามารถส่งเสียงดีใจได้หรือยังนะ?

     

    หลังจมเจ่ากับมันเกือบชั่วโมง ในที่สุดผมก็สามารถเล่นเพลง Twinkle, twinkle little star เว่อร์ชั่นที่ดีที่สุดของกอริลลาได้เสียที การต้องเล่นทั้งมือซ้ายและมือขวาพร้อมกันทั้งๆที่ยังไม่เรียนจริงจังนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานดนตรี แต่สุดท้ายผมก็ทำได้ ผมสามารถเล่นเพลงสั้นๆได้หนึ่งเพลงด้วยการดูและจำจากยูทิวบ์ ขณะที่กำลังฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่อู๋ก็เดินออกจากห้องมายืนมองกอริลลาเล่นเปียโนตรงโถงทางเดิน

     

    พอเห็นผู้ปกครอง ผมก็เริ่มเล่นใหม่อีกครั้งด้วยความตื่นเต้นเหมือนได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ มันอาจจะเป็น Twinkle, twinkle little star เวอร์ชั่นที่ช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน แต่นี่คือเพลงแรกที่ผมสามารถเล่นได้ ผมตั้งใจกดคีย์เปียโนตามลำดับตัวเลขที่ท่องไว้ในหัวโดยไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว หวังว่าคุณอุรัสยาจะประทับใจจนยอมเปิดปากพูดบ้างนะ

     

    Twinkle, twinkle little star

    โด โด ซอล  ซอล ลา   ลา ซอล

    หนึ่ง หนึ่ง  ห้า ห้า หก  หก ห้า

     

    How I wonder what you are

    ฟา  ฟา มี     มี เร     เร โด

    สี่   สี่ สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง

     

    ทันทีที่เสียงเปียโนเงียบลง ผมก็รีบหันหน้าหาพี่อู๋เตรียมฟังคำชมเชยเต็มที่ ทว่าสิ่งที่เห็นคือภาพผู้ปกครองกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจกอริลลาเล่นเปียโนซักนิด

     

    “อ้าว เล่นจบแล้วเหรอ?” พี่อู๋ถามเมื่อจู่ๆห้องก็เงียบไปเสียเฉยๆ “เก่งจัง”

     

    ผมไม่รู้สึกดีใจกับคำชมนั้น ราวกับเขาแค่พูดให้มันจบๆไป ไม่ได้ตั้งใจฟังหรือภูมิใจในตัวผมอะไรมากมาย ผมจ้องพี่อู๋อยู่นานเกือบนาที นึกไปเองว่าหลังแชทกับเพื่อนเสร็จ เขาจะเดินเข้ามาแล้วเอ่ยปากชมเหมือนที่เคยชมเอม ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่อู๋เดินย้อนกลับเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้ผมนั่งคนเดียวในห้องที่มีแค่เสียงนาฬิกาเดินต๊อกแต๊กเพียงลำพัง

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มยี่สิบสองนาที

     

    ผมปิดฝาครอบคีย์ลงแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนเล็กแทนที่จะนอนกับผู้ปกครอง ผมเริ่มคิดว่าการฝืนใจเรียนเปียโนไม่คุ้มค่าเลยเพราะต่อให้เรียนรู้ไวแค่ไหน ตั้งใจมากแค่ไหน สุดท้ายพี่อู๋ก็เล่นเกมสัปดาห์ของคนใบ้กับนายก้องเกียรติอยู่ดี

     

     

    ผมจ้างพี่สีร้อยให้ไปหาหมอ ผมมีเงินแค่นี้ ผมจ้างพี่สี่ร้อยให้ไปหาหมอ พี่จะไปไหมครับ พี่อู๋กวักมือเรียก เขาเปิดแอพพลิเคชั่นธนาคารเพื่อโชว์ตัวเลขในบัญชีให้ดู ผมเห็นแล้วก็พูดไม่ออก เงินสี่ร้อยของนายก้องเกียรติเทียบไม่ได้กับเงินในบัญชีที่เขามีเลย นี่ผมเป็นบ้าอะไร คิดว่าเงินสี่ร้อยซื้อคุณอุรัสยาได้เหรอ ประสารทจริงๆ

     

    พูดสิพี่อู๋ บอกผมสิว่าพี่กังวลเรื่องอะไร เรื่องคุณหมูพีใช่ไหม

    สุดท้ายก้องก็บอก พี่อู๋เงียบไปนานมาก เขาคงคิดถึงคุณหมูพีเหมือนกัน

     

    ได้แต่ยืนนิ่งให้เขากอด หลังจากนั้นก็ผละตัวออก เขายีหัวนายก้องเกียรติเบาๆก่อนจะเดินไปอาบน้ำ แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ เงียบ ไม่คุย ก้องอยากรู้ใจแทบขาดว่าคุยอะไรกันบ้าง พี่จะกลับไปหาคุณหมูพีไหม พี่ยังรักเขาอยู่ใช่ไหม อย่าใจอ่อนสิ อย่าพาตัวเองกลับไปจุดนั้นสิ แต่ไม่กล้าถาม ให้มันคาราคาซังแบบนี้แหละ ก้องลุกไปแกล้วซ้อมเปียโนเรียกร้องความสนใจ พี่อู่แค่เดินมากอดอกดู เขาไม่ยิ้ม ไม่ชม ไม่อะไรทั้งนั้นนอกจากยืนดูซักพักแล้วกลับเข้าห้อง จบไปอีกหนึ่งวันที่เราไม่พูดกัน กอริลลาก้องเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้โง่ที่ตัดสินใจพลาด

     

    การฝืนใจเรียนเปียโนไม่คุ้มค่าเลย

    สุดท้าย -- พี่อู๋ก็เล่นเกมสัปดาห์ของคนใบ้กับผมอยู่ดี





    TBC


    _____________________


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in