13
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเจ็ดนาที
กอริลลาก้องทำแผลให้ตัวเองเสร็จแล้วบนแขนซ้ายมีปลาสเตอร์ยาแบบผ้าสีน้ำตาลแปะอยู่เจ็ดจุด ส่วนแขนขวามีสิบสองตรงคิ้วหนึ่ง ใต้คางหนึ่ง โหนกแก้มอีกสาม แต่กอริลลาก้องไม่คิดอะไรก็แค่ปลาสเตอร์ยาสากๆบนผิวหนัง เดี๋ยวแผลก็แห้ง เดี๋ยวก็ได้แกะมันออกไป
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มยี่สิบสามนาที
กอริลลาก้องยืนมองกองเลือดของคุณหมูพีด้วยสีหน้าว่างเปล่าไม่รู้สึกผิดที่ตนเองเป็นสาเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สามไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากผะอืดผะอมอยากอาเจียนเพราะกลิ่นเหม็นคาวและสีแดงคล้ำของเลือดดังนั้นกอริลลาจิตหลุดจึงยืนเฉยๆนานหลายนาที มองของเหลวที่เจิ่งนองบนพื้นก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟา
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบเจ็ดนาที
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นเพราะดยุกเฟอร์ดินานด์ของออสเตรีย-ฮังการีโดนลอบสังหารที่บอสเนีย สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นเพราะชายคนหนึ่งที่ชื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ต้องการกู้เกียรติยศของประเทศกลับมาด้วยวิธีเหี้ยมโหดและเด็ดขาด
ส่วนสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นเพราะอะไร?
กอริลลาก้องนึกสงสัย
แน่นอนว่าความร้ายแรงของมันไม่สมควรนำไปเทียบกับประวัติศาสตร์ในอดีตแต่สำหรับกอริลลาที่อายุแค่สิบเจ็ดและเป็นตัวต้นเรื่องที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเป็นยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำให้พี่อู๋คุณหมูพี และมัน พวกเราต้องเจ็บปวดด้วยกันทั้งหมด
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้าสิบนาที
ถ้ากอริลลาก้องไม่ออกตัวปกป้องผู้ปกครองเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นไหม มันพยายามคิดทบทวนไตร่ตรองด้วยสติอันน้อยนิดเท่าที่มีในตอนนั้นจากที่ไม่นึกโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองมันก็เริ่มสำเหนียกได้ว่าทุกอย่างเป็นเพราะมัน
ถ้าไม่บอกเรื่องส่วนตัวของพี่อู๋ให้คุณหมูพีรู้-- เขาอาจจะไม่ทำแบบนั้น
ถ้าไม่ตอบโต้คุณหมูพีด้วยการชกกลับไปหนึ่งที-- เขาอาจจะไม่ทำแบบนั้น
ถ้าไม่
ลอยเต็มหัวจนสับสนไปหมด
เอาล่ะ ศาลตัดสินแล้ว
กอริลลาก้องมีความผิดจริงในคดีนี้
นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มยี่สิบสองนาที
กอริลลาก้องกลับมาสวมบทซินเดอเรลลาด้วยการเก็บเศษจานแต่ทิ้งกองเลือดเอาไว้บางหยดเป็นของมัน บางหยดเป็นของคุณหมูพีซินเดอเรลก้องผู้เคยภักดีไม่ทำงานให้เนี๊ยบเหมือนอย่างเคยมันเลือกเช็ดเฉพาะเลือดของตัวเอง แต่ปล่อยให้ของคุณพีรพัฒน์แห้งกรังอยู่ตรงนั้นรอให้เจ้าของเลือดมาจัดการ
นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มตรง
กอริลลาก้องย้ายจากโซฟาไปนอนมองเพดานในห้องนอนใหญ่เงียบๆคนเดียว
นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสิบเอ็ดนาที
กอริลลาก้องย้ายมาในห้องนอนเล็กและเริ่มพิจารณาฝ้าเพดานอีกครั้ง
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามนาที
กอริลลาก้องรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ในที่โล่งมันจึงย้ายลงไปนอนบนพื้นที่เป็นช่องว่างแคบๆระหว่างเตียงกับหน้าต่างขนาดพอดีตัวของพื้นที่เล็กๆของขอบเตียงและผนังทำให้มันรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดแต่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มห้าสิบเจ็ดนาที
ผนังไม่สามารถปลอบมันได้ดั่งใจกอริลลาก้องจิตหลุดจึงย้ายไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าของห้องนอนเล็ก ปิดบานประตูมิดชิดปล่อยให้ความมืดและพื้นที่คับแคบช่วยบรรเทาความคิดฟุ้งซ่านอากาศอบอ้าวในตู้ทำให้เริ่มหายใจไม่ออก แต่มันก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้นขบกัดเล็บมือตัวเองดังกึกๆพร้อมกับคิดถึงผู้ปกครองที่ยังไม่กลับบ้าน
นาฬิกาบอกเวลาว่ากี่โมงไม่รู้
กอริลลาก้องนั่งเหงื่อชุ่มในตู้เสื้อผ้าที่เดิมตอนนี้มันร้อนและต้องการสูดอากาศให้เต็มปอดแต่ไม่กล้าออกไปจู่ๆมันเกิดกลัวโลกภายนอกขึ้นมากะทันหันกลัวว่าออกไปจะโดนผู้ปกครองตีหรือไล่ออกจากห้องกอริลลาก้องได้แต่นั่งกัดเล็บสำนึกผิด
ผมไม่ได้ตั้งใจ
มันท่องซ้ำไปซ้ำมา
ผมแค่อยากช่วยให้พวกพี่เข้าใจกัน
ผมแค่อยากช่วย ผมไม่ได้ตั้งใจผมไม่รู้ว่าเขาจะทำ
ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำ
ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาจะกล้าทำ
ในขณะที่คุณหมูพีกล้าหาญถึงขนาดกดเศษแก้วลงบนข้อมือตัวเองจนเลือดสาดแต่กอริลลาก้องกลับขี้ขลาดหนีมาหลบในตู้เสื้อผ้า หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้ปกครองเพราะกลัวถูกทำโทษ
แล้วต้องหลบไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ?
มันถามตัวเอง
และคำตอบก็คือไม่รู้
แต่ความรู้สึกของมันชัดเจนมากว่าไม่อยากออกจากตู้เสื้อผ้าในเร็วๆนี้มันกลัวเกินกว่าจะโผล่หน้าออกไปให้ผู้ปกครองเห็น มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้จิตใจของมันกำลังดำดิ่งแค่ไหนมันปลอบตัวเองว่าอยู่คนเดียวได้ อยู่คนเดียวก็ได้ แต่ลึกๆมันรู้ว่าเป็นไปไม่ได้กอริลลาก้องเหมือนสัตว์ที่ถูกพรากจากป่ามาเลี้ยงในกรงทอง มันเคยชินกับความสบายและความอบอุ่นจากผู้ปกครองหากถูกปล่อยกลับป่าก็คงหาอาหารไม่เป็น เข้าสังคมไม่ได้ หลงทาง เคว้งคว้าง สุดท้ายก็จบที่อดตายมันคิดไปไกล ยังไงก็ต้องตาย มันคิดอีก ยังไงก็ไม่รอดหรอก
เสียงบานประตูดังขึ้นเมื่อไหร่กอริลลาไม่ได้ยิน มันนั่งกลอกตาไปมาในตู้เสื้อผ้าดำมืดที่ร้อนอบอ้าวมาเกือบชั่วโมงแล้วแม้อยู่ในสภาพชุ่มเหงื่อและหายใจลำบากมันยังคงครุ่นคิดว่าจะสรรหาคำพูดไหนมาอธิบายกับผู้ปกครองดี มันคิดไกลถึงขนาดว่าผู้ปกครองอาจไม่รับฟังมันอาจโดนทุบตีโทษฐานทำคนรักของเขาเจ็บตัว แค่คิดมันก็ตัวสั่นนั่งกัดเล็บจนสั้นกุด แล้วเริ่มร้องไห้ออกมา
เสียงฝีเท้าเดินย่ำไปมาในห้องแต่กอริลลาก้องไม่รู้ตัว ราวกับหูอื้อไปชั่วขณะมันไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงความคิดของตัวเอง เจ็บนะ มันโอดครวญ ผมก็เจ็บเหมือนกัน ทำไมพี่ไม่สนใจ มันคร่ำครวญอีกหัวใจของมันพร่ำเพ้อโหยหาความใส่ใจจากผู้ปกครอง เป็นความสับสนในตัวเองระหว่างน้อยใจกับฝืนทำเป็นเข้มแข็งกอริลลาก้องนึกไปเองว่าถ้าไม่เจอผู้ปกครองซักพัก สถานการณ์คงดีขึ้นดังนั้นมันจึงตั้งใจขังตัวเองไว้ในตู้เพื่อไถ่โทษมันจะอยู่ในนี้อีกพักใหญ่ๆเพื่อสำนึกผิด มันจะไม่โผล่หน้าออกไป มันจะไม่กวนใจผู้ปกครองแต่ลึกๆกอริลลาก้องรู้สึกกลัวเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นคืนที่เกือบโดนตียังฝังแน่นในหัว
หรือต้องโดนซักที
มันถามตัวเอง
ถ้าต้องโดนตีก็สมควรแล้วมันทำคุณหมูพีเจ็บเจียนตาย งั้นออกไปยอมรับโทษแบบแมนๆดีกว่าขี้ขลาดแบบนี้ดีไหมอย่างน้อยมันก็เป็นลูกผู้ชาย แม่สอนไว้ว่าทำผิดต้องกล้ารับผิด แต่เสียงเล็กๆแอบค้านในใจ
ไม่ใช่ความผิดของเราซักหน่อย
หมูพีทำตัวเอง
มันบ้าเอง
กรีดร้องเอง
คิดมากไปเอง
ทำร้ายตัวเอง
ก้องเกียรติไม่ได้ทำอะไรเลยก้องเกียรติแค่ปกป้องผู้มีพระคุณ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเป็นความผิดของมันได้ยังไง จะโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะมันคนเดียวก็ไม่ยุติธรรมสิ
กอริลลาก้องสับสน เหงื่อไหลย้อยจากขมับถึงปลายคางริมฝีปากสั่นระริกเพราะความกลัวมันนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าผู้ปกครองกลับมาจะโดนอะไรบ้าง ถ้าโดนไล่ออกจากบ้านล่ะถ้าโดนตีล่ะ ถ้าผู้ปกครองไม่ขออุปการะต่อไปล่ะ มันจะอยู่ด้วยเงินสี่ร้อยกว่าบาทยังไง
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆแต่กอริลลาก้องยังคงไม่ได้ยิน คราวนี้มันใช้สองมือโอบกอดตัวเอง ซุกหน้าลงบนเข่าในหัวเอาแต่ท่องว่าทำไงดีๆ มันควรเถียงหรือควรรับโทษโดยไม่มีข้อแก้ตัวแต่กอริลลาผู้ภักดีตัวนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆนะ มันแค่ปกป้องผู้ครองแต่ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจเจตนาของมันไหมผู้ปกครองของมันป่วย มันจึงอยากช่วยให้แรงกดดันลดลงแต่กลับกลายเป็นเลวร้ายกว่าเดิมกอริลลาก้องฟุ้งซ่านจนไม่ได้ยินเสียงที่หยุดอยู่หน้าประตูตู้เสื้อผ้าจังหวะที่กัดเล็บหักดังกึก บานประตูก็เปิดออก ผู้ปกครองของมันกลับมาแล้ว
กอริลลาก้องเงยหน้ามองผู้มีพระคุณมันสับสนว่าควรทำยังไงระหว่างแก้ต่างให้ตัวเองหรือกราบขอโทษที่ทำให้คุณหมูพีเจ็บปางตายดวงตาของมันล่อกแล่ก มองใบหน้าที่มีรอยช้ำตรงมุมปากด้วยความหวาดระแวงทันใดนั้นมันจึงตัดสินใจยกมือขึ้น พนมมือแนบอก พูดสั้นๆว่าผมไม่ได้ตั้งใจขอโทษที่ทำให้พี่เดือดร้อนนะครับ
จบแค่ตรงนั้น ไม่มีการฟูมฟายไม่มีการแก้ตัวด้วยประโยคยืดยาวเพื่อขอความเมตตากอริลลาก้องพูดเจตนาของตัวเองตรงๆและเอ่ยปากขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำผิดไปความเงียบของผู้ปกครองทำให้มันใจสั่นจนต้องเงยหน้าสบตา แต่กลับเห็นแค่ความว่างเปล่าเหมือนผู้ปกครองของมันหลุดลอยไปอยู่ที่ไหนซักแห่ง
“พี่อู๋ -- พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ทันใดนั้นผู้ปกครองของมันก็ย่อตัวลงกอริลลาก้องรีบกระถดเข้าในตู้เสื้อผ้าลึกกว่าเดิมเพราะกลัวถูกกระชากออกไปกระทืบเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด มันรู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว คงไม่พ้นโดนเตะออกจากบ้านหรือไม่ก็โดนฟาดซักสองสามทีโทษฐานทำให้สงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นเพราะความปากเสียของตัวเอง
“ผมย้ายออกก็ได้เดี๋ยวผมไปเลยก็ได้”
มันอ้ำอึ้งแล้วเริ่มพล่ามเพราะพี่อู๋ไม่ยอมพูดอะไรเลยมันบอกผู้ปกครองว่าผมไม่อยากให้เขากดดันพี่ ผมไม่อยากให้เขาบีบพี่ผมไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้น ผมขอโทษที่ทำให้พี่กับแฟนทะเลาะกัน ผมจะไปแล้วครับผมจะย้ายออกแล้วครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือดร้อน
ผู้ปกครองของมันถอนหายใจก่อนจะใช้มือดึงกอริลลาก้องออกจากตู้เสื้อผ้ามันกลัวจนต้องหลับตาปี๋เพราะไม่รู้ชะตากรรม ทว่าผู้ปกครองของมันไม่ได้มาเพื่อลงไม้ลงมืออย่างที่คิดพี่อู๋แค่พลิกดูปลาสเตอร์ยาตามแขนและใบหน้าเขาเชยคางกอริลลาก้องขึ้นมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
“เหงื่อแตกจนปลาสเตอร์จะหลุดแล้ว”
พี่อู๋บ่นเหมือนเป็นเรื่องขำๆกอริลลาก้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ออกมาจากตู้เถอะ ไม่ต้องกลัวพี่ไม่โกรธก้องหรอก ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
ตอนนั้นเองนายก้องเกียรติถึงตระหนักได้ว่าคุณอุรัสยาไม่ได้โกรธมันเลยความกลัวทั้งหมดเบาบางลง กอริลลาก้องน้ำตาไหลเงียบๆก่อนจะเดินตามผู้ปกครองไปที่โซฟาเพื่อให้เขาแกะปลาสเตอร์ยาออกอีกครั้งเตรียมทำแผลใหม่รอบที่สอง
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามสิบสี่นาที
พี่อู๋ลอกปลาสเตอร์ยาอันเก่าออกพลางบ่นว่ายี่ห้อนี้กาวเหนียวเกินไปตอนแกะอาจจะเจ็บจนน้ำตาไหลเพราะกาวดึงขนออกมาด้วย ผมที่กำลังสับสนได้แต่นั่งเฉยๆคอยยกแขนและเงยหน้าให้พี่อู๋ทำแผลได้ถนัด เขาใช้น้ำเกลือเช็ดรอยบาดแทนที่จะเป็นแอลกอฮออล์ขวดเล็กสีฟ้าที่ซื้อมาจากเซเว่นเขาทาเบตาดีนบางๆจนครบทุกรอย แต่ไม่ติดปลาสเตอร์ให้ใหม่
“แผลแบบนี้ไม่ต้องติดหรอกเดี๋ยวมันก็แห้งเอง”
พี่อู๋อธิบาย เขาจ้องคางของผมอยู่นานเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ก่อนหยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพเพื่อส่งไปให้พี่ออมดู
“เห็นรูปยัง? เจ๊ว่าต้องเย็บไหม?”
พี่อู๋ถามพี่สาวของตัวเองที่เป็นอาจารย์หมอผมไม่รู้จะแสดงอารมณ์ยังไงออกมาระหว่างโล่งอกกับดีใจที่ได้รู้ว่าเขาเองก็เป็นห่วงผมเหมือนที่ห่วงคุณหมูพีบทสนทนาของสองพี่น้องนั้นสั้นและเรียบง่าย มีแค่คำว่าเหรอ อืม ใช่ๆ พีทำ มันใช้เศษจานก็ไม่เหวอะเท่าไหร่แต่เยอะอยู่เหมือนกัน โอเค สรุปว่าไม่ต้องเย็บเนอะ งั้นเจ๊นอนต่อเถอะขอบคุณมากที่ตื่นมารับสาย
หลังจากนั้นพี่อู๋ก็หันมาหาผมเขาบอกว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาล แผลจะสมานตัวเองเพราะไม่ได้ลึกอะไรมากมายคุณอุรัสยาเงียบอีกพักใหญ่ เขาดูมีเรื่องอยากพูดแต่ก็ไม่พูดพี่อู๋คงเก็บความเครียดไว้กับตัวเองตามเคย แน่นอนว่าเขาไม่มีวันบอกตัวปัญหาหรอกว่าคุณหมูพีเป็นไงบ้างแต่เดาจากท่าทาง ผมคิดว่าคงเจ็บหนักแต่ไม่ถึงกับตาย
เพราะถ้าคุณหมูพีตาย พี่อู๋ก็คงไม่ได้กลับบ้าน
เขาต้องหาซื้อโลงศพ ต้องแจ้งพ่อแม่ของคุณหมูพีและยืนให้ฝั่งนั้นตบตีอีกพักใหญ่หลังจากนั้นก็เตรียมหาวัดเพื่อวางร่างไร้วิญญาณของอดีตคนรัก ติดต่อสัปเหร่อติดต่อเจ้าอาวาส ติดต่อร้านจัดดอกไม้ ติดต่อร้านรูปถ่ายเพื่อทำกรอบรูปสวยๆมาวางหน้าโลงเรื่องพวกนั้นต้องใช้เวลาและค่อนข้างยืดเยื้อ อาจจะถึงตีสามตีสี่หรือไม่ก็ถึงเช้าแต่ถ้าเขากลับเร็วแบบนี้ แสดงว่ายังไม่ตาย
“ก้องไปหลบในตู้เสื้อผ้าทำไม?”
“ผมกลัว”
“กลัวอะไร?”
ผู้ปกครองถาม ผมอ้ำอึ้งแต่ก็ยอมรับตรงๆว่ากลัวถูกตีเหมือนคืนก่อนพี่อู๋หน้าเสียนิดหน่อยเมื่อเหตุการณ์คืนนั้นถูกพูดถึงอีกครั้งเขาเดินมานั่งข้างผมแล้วลูบหัวเบาๆพร้อมกับบอกว่าลืมๆไปบ้างเถอะพี่ไม่ใช่คนใจร้ายถึงขนาดทำก้องเจ็บตัวหรอก
ใครมันจะไปรู้วะ
ผมนึกในใจเพราะเห็นเขาทะเลาะกับคุณหมูพีค่อนข้างบ่อยบางทีก็ตบหัวกัน บางทีก็ตบหน้ากัน หนักเข้าคือกำหมัดแล้วทุบปึกๆเลยผมกลัวว่าวันหนึ่งคนที่โดนทำร้ายอาจเป็นผมเองคนที่โดนตบจนหน้าแดงเป็นปื้นอาจเป็นนายก้องเกียรติก็ได้
“พี่อู๋ครับ”
“ว่าไง?”
“เดี๋ยวผมเก็บห้องให้นะ”
พี่อู๋ส่ายหน้า เขาดูอ่อนล้าและเครียดมากจนเริ่มเก็บอาการไม่อยู่
“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพี่เช็ดเอง”
ผมมองหน้าพี่อู๋จ้องลึกเข้าไปในแววตาที่มีแต่ความเจ็บปวดของเขาอีกสองสามวิก่อนจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายวันนี้คงเร็วไปที่จะคุยกัน พี่อู๋อาจไม่พร้อมฟังคำอธิบายหรือบอกเล่าอาการของคู่กรณีให้รู้หลังจากแกล้งหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่แค่สองสามก้าวผมก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆของผู้ปกครอง
พี่อู๋กำลังร้องไห้
เขาแอบร้องไห้ตอนที่ผมหันหลัง
เสียงฟุดฟิดดังอีกพักใหญ่ๆกอริลลาก้องที่เคยกลัวผู้ปกครองจนลนลานได้แต่ยืนหัวใจสลาย แค่อยากช่วยแต่กลายเป็นทำร้ายอยากปกป้องแต่ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ผมรู้สึกแย่จนทำอะไรไม่ถูกนอกจากกลับไปนอนบนเตียงก่อนจะหยิบยานอนหลับที่หมอให้ไว้ออกมาจากลิ้นชัก
ยานอนหลับตัวใหม่ล่าสุดจากหมอ เป็นแคปซูลกลืนง่ายคล่องคอบรรจุอยู่ในซองสีชาผมจ้องมันอยู่นานหลายนาที ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย แค่อยากพักผ่อนซักสิบชั่วโมงให้หายเครียดแต่ผมจะไม่เห็นแก่ตัวด้วยการกินคนเดียวดังนั้นตอนที่พี่อู๋จัดการข้างนอกเสร็จแล้วเดินเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าผมจึงยื่นยานอนหลับให้เขาสามเม็ด และกำไว้ในมือตัวเองอีกสามเม็ด
“พี่จะหลับสนิทและไม่ฝันเลย”
ผมอวดอ้างสรรพคุณ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าพ่อค้ายาที่ใช้วาทศิลป์กล่อมลูกค้าให้หลงเชื่อจนต้องซื้อ
“มันไม่แรงพอจะทำให้พี่ตายแต่ก็มากพอจะช่วยให้พี่หายเครียดนะ”
พี่อู๋มองเม็ดแคปซูลในมือ ไม่แสดงออกว่าโกรธหรือโมโหที่ผมเสนอทางเลือกพิลึกพิลั่นแบบนี้หลังจากทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน ในที่สุดพี่อู๋ก็เขกหัวผมหนึ่งทีนี่แหน่ะ! นายก้องก๋อย อย่าคิดหนีความจริงด้วยวิธีแบบนี้อีกล่ะ
“แต่มันไม่ถึงตายจริงๆนะมันจะทำให้พี่หลับสบาย ตื่นมาพี่จะรู้สึกสดชื่นแบบ ว้าว -- นอนเต็มอิ่มนี่ดีจริงๆ”
“หมอไม่ได้จ่ายมันให้พี่หมอจ่ายให้ก้อง”
พี่อู๋ดึงผมนอนลงข้างๆแล้วห่มผ้าให้
“ยานอนหลับก็มีโทษทางอ้อมไม่รู้เหรอว่ายิ่งกินยิ่งโง่ ถ้ายังอยากสอบเข้ามหาลัยอยู่ก็กินแค่วันละเม็ดพออย่าเกินกว่านี้ ไม่งั้นจะโง่จนฝนข้อสอบไม่ได้”
ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋พูดจริงหรือหลอกแต่ก็กรอกยาทั้งหมดกลับใส่ซองตามเดิมผมทานยาหนึ่งเม็ดเท่าที่หมอสั่งแล้วล้มตัวลงนอน ส่วนพี่อู๋นอนข้างๆเขาพลิกตัวไปมานานหลายนาทีจนผมผล็อยหลับไปก่อน พอรู้สึกตัวอีกทีตอนเช้า ผมก็เพิ่งรู้ว่ายานอนหลับหายไปห้าเม็ดซึ่งคนกินไม่ใช่ผมแน่ๆ เมื่อคืนผมทานเม็ดเดียวตามที่หมอสั่ง ดังนั้นโจรขโมยยาจึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ปกครองที่หลับสนิทอยู่ข้างๆนั่นเอง
พี่อู๋แอบกินยานอนหลับของกอริลลาก้องไปห้าเม็ด
วันนี้
☁
ผลของการกินยานอนหลับเกินขนาดทำให้พี่อู๋หน้ามึนเหมือนยังไม่ตื่นอารมณ์นิ่งเหมือนทะเลไม่มีคลื่นลม ความเครียดที่เคยฉายบนใบหน้าหายเป็นปลิดทิ้งราวกับเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ เป็นไงล่ะ ผมนึกในใจ บอกแล้วว่ามันดี ของมันต้องมีจริงๆถ้าพี่ไปหาหมอตอนนี้ ผมจะบอกหมอให้จ่ายยาดีๆทุกรอบเลย
เราอยู่ด้วยกันสองคนและทำกิจวัตรเดิมๆพี่อู๋ตื่นสายกว่าผมนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าเช้ากว่าปกติ เขาเดินมาเปิดทีวีฟังพี่น้องไบร์ทผมทำผัดฟักทองแต่เขากินไม่หมด ผมต้มกระดูกหมูให้กิน เขาก็กินแต่น้ำซุปแล้วเหลือหมูทิ้งไว้ขณะที่ผมนอนดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคห้าบนโซฟาพี่อู๋ย้ายไปนั่งกดเปียโนเรื่อยเปื่อยเหมือนพยายามหัดเล่น แม้ว่าเสียงโทรศัพท์จะดังแทบตลอดเวลาแต่เขาก็ยังก้มหน้าก้มตากดคีย์เปียโนติ๊งๆไม่เป็นเพลง
ผมรอจนกระทั่งโทรศัพท์พี่อู๋ดังเป็นครั้งที่สามสิบสี่คุณอุรัสยาทุบคีย์เปียโนด้วยความหงุดหงิดจนเสียงดังแปร่งก่อนจะเดินมารับสายหัวใจของกอริลลาก้องเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ผมรู้อยู่แล้วว่าเกี่ยวกับคุณหมูพีแน่ๆไม่อย่างนั้นพี่อู๋คงไม่กลับมาปั้นหน้าเครียดเหมือนเมื่อคืนหรอก
“ครับ ครับ” เขากรอกเสียงลงในสาย“ครับ ผมไม่ได้ชิ่งครับ ผมกำลังอาบน้ำแต่งตัวไปหาพีครับ”
พี่อู๋ตอบเมื่อวางสายเขาก็ถอนหายใจแล้วเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ปกครองของผมกำลังจะไปอีกแล้วความสัมพันธ์อันน่าเบื่อหน่ายนี่กำลังกัดกินความสดใสของพี่อู๋จนกลายเป็นคนกลวงโบ๋ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความสุข ไม่มีแม้แต่ปากเสียงจะเถียงคนในสายว่าไม่ใช่หน้าที่เขาเลยที่ต้องไปดูแลหมูบ้า
“ให้ผมไปด้วยได้ไหมครับ?”
ผมถามเมื่อเห็นพี่อู๋เดินออกจากห้องน้ำเขาเลิกคิ้วแล้วตอบว่าอย่าไปเลย ผู้ใหญ่อยู่กันเยอะ ไหนจะเพื่อน ไหนจะพ่อแม่ของพีที่ก็กำลังโมโหอีกเดี๋ยวก้องโดนด่าเอานะ แต่ผมยังยืนยันเจตนาของตัวเองเหมือนเดิมผมจะไม่ปล่อยให้พี่อู๋ไปเผชิญหน้ากับเรื่องเฮงซวยที่เกิดจากผมอีกแล้ว ผมจะไปกับเขาเราจะอยู่ข้างๆกันในช่วงเวลาส้นตีนแบบนี้
“ผมรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุผมคงไม่สบายใจถ้าไม่ได้ขอโทษเขา”
ผมตอแหล
“พี่ให้ผมไปเถอะนะ อย่างน้อยให้ผมได้ขอโทษพ่อแม่ของพี่หมูพีที่พูดจาไม่ดีจนเขาทำร้ายตัวเอง”
“ก้องแน่ใจเหรอว่าอยากไป?”
“ครับ”
ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าสมัยเรียนรด.เมื่อพี่อู๋พยักหน้ารับ ผมก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นวีออสสีดำพร้อมผู้ปกครองเตรียมมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมคุณหมูบ้าทันที
☁
หน้าห้องพักผู้ป่วยมีคุณลุงคุณป้าคู่หนึ่งนั่งหน้าเศร้ากับเพื่อนๆของคุณพีรพัฒน์อีกสามสี่คนทันทีที่พี่อู๋ปรากฏตัวขึ้นทุกสายตาก็จับจ้องมาด้วยความไม่พอใจนิดๆเพราะมาเยี่ยมคุณหมูพีช้า แต่หากมองเลยไปอีกหน่อยพวกเขาจะเห็นกอริลลาก้องในสภาพแผลเต็มตัวยืนหลบหลังผู้ปกครองเหมือนเด็กกลัวความผิด
“แกก็กล้าพามันมาอีกเนอะ”
ผมยกมือไหว้ทุกคนด้วยท่าทางจ๋อยๆ พอถึงเวลาจริงๆแล้วการตกอยู่ในจุดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายผิดนั้นยากที่จะทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวผมประหม่าเมื่อแววตาของบรรดาผู้คนที่รักคุณหมูพีจับจ้องมายังเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้คำพูดง่ายๆอย่างขอโทษครับจึงยังไม่หลุดออกจากปากของกอริลลาก้องผมยืนตัวลีบอยู่นานจนพี่อู๋ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย
“พีเป็นไงบ้าง?”
“จะถามถึงทำไม?เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
งั้นพวกคุณจะโทรจิกให้พี่อู๋มาที่นี่ทำซากอะไรเลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ
ผมคิด แต่ไม่ได้พูด
ดูหมือนว่าทุกคนจะโยนความผิดให้พี่อู๋มากกว่าผมที่เป็นตัวต้นเหตุพวกเขากล่าวโทษว่าพี่อู๋สันดานไม่เคยเปลี่ยนเลยทั้งๆที่พีให้โอกาสแก้ตัวรอบที่ร้อยแล้ว แต่ก็ยังทำให้พีเสียใจจนอาการกำเริบอีก บลาบลา บลา อู๋ คราวนี้มันเกินไปนะ พีกรีดลึกจนเอ็นเกือบขาดแทนที่จะแสดงความรับผิดชอบกลับลอยตัวเหนือปัญหา บลา บลา บลา พีอาการดีขึ้นแล้วแท้ๆแต่ต้องกลับมาทำร้ายตัวเองเพราะบลา บลา บลา
บลา บลา บลา
บลา บลา
บลา
หลากหลายถ้อยคำตำหนิสาดใส่ผู้ปกครองของผมยิ่งกว่าปืนกลพี่อู๋ก็ช่างว่าง่าย ยืนเก็บมือเรียบร้อยและน้อมรับคำผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำทุกอย่างกอริลลาก้องผู้ขี้ขลาดได้แต่แก้ต่างแทนอยู่ในใจคนพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยเพราะไม่เคยเห็นว่าเวลาที่พวกเขาอยู่กันสองคนคุณพีรพัฒน์ผู้อ่อนหวานนั้นทำตัวประสาทแดกแค่ไหน สำหรับผม พี่อู๋ทำดีที่สุดแล้วเขาทำเต็มที่ในส่วนของการดูแลคุณหมูพี แต่ส่วนของความรักผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นยังตกตะกอนในใจของเขาหรือเปล่า
“นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่อู๋ทำให้พีเสียใจอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี อู๋ไม่อายบ้างเหรอถ้าคนอื่นรู้ว่าออฟเด็กมาเลี้ยงทั้งๆที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว”
คุณพ่อของคุณหมูพีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆไม่ใส่อารมณ์แววตาของเขาไม่แสดงออกว่าโมโหเหมือนในละครที่แม่ชอบดูแต่ความน่ากลัวนั้นมากจนพี่อู๋ถึงกับอึ้ง พูดอะไรต่อไม่ถูก ซักพักคุณแม่ของคุณหมูพีก็เริ่มร้องไห้เธอบอกว่าผิดหวังในตัวพี่อู๋มาก ทั้งๆที่แม่รักและไว้ใจให้อู๋ดูแลพีตลอดเวลาที่ผ่านมาพีมีอู๋คนเดียว เขารักอู๋ตลอด ทุ่มเททุกอย่างเพื่ออู๋ เขาผูกพันกับอู๋มากทำไมอู๋ทำแบบนี้กับลูกของแม่ ถ้าอู๋ไม่รักพีแล้วก็คืนพีให้พ่อกับแม่ดีกว่าอย่าทำร้ายน้ำใจพีอีกเลย
โห -- ถ้าจะมาเป็นบทขนาดนี้ ผมว่าส่งให้ผู้จัดละครซักช่องเอาไปทำละครเถอะ
แม่ของคุณหมูพีเล่นใหญ่จนทุกคนน้ำตาคลอยกเว้นกอริลลาก้องที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่อู๋เอาแต่พูดว่าขอโทษครับ ขอโทษครับแต่ไม่อธิบายอะไร เขาไม่ดันผมไปยืนข้างหน้าแล้วบังคับให้พูดขอโทษตามที่บอกไว้แต่กลับใช้แผ่นหลังของตัวเองบังผมราวกับไม่อยากให้คำพูดเจ็บแสบพวกนั้นทำร้ายกอริลลาก้อง
พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก
“อย่าว่าพี่อู๋เลยครับ ผมผิดเองผมผิดที่พูดจาไม่ดีกับพี่หมูพี”
ผมแสดงความเสียใจออกมาตรงๆและแย่งซีนพี่อู๋ด้วยการเริ่มฉากใหม่
“ทั้งหมดเป็นความผิดของผมครับ ผมพูดจาสะกิดแผลใจพี่หมูพีจนเขาทำร้ายตัวเองแต่ที่พูดไปเพราะผมหวังดี ผมอยากให้คุณหมูพีเข้าใจพี่อู๋และเลิกตีพี่อู๋ซักที”
สถานการณ์พลิกกลับเมื่อผมพูดคำว่าตีพี่อู๋วิธีเปิดประโยคด้วยการขอโทษและปิดท้ายด้วยการเกริ่นในสิ่งที่คนนอกไม่เคยรู้คือการฟ้องโดยไม่ทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่แต่พอเห็นท่าทางเฉยชาของพวกเขาผมถึงตระหนักได้ว่าไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้
ครอบครัวและเพื่อนๆของคุณหมูพีต่างรับรู้ว่าเขาทำร้ายพี่อู๋มาตลอดแค่ไม่เคยรู้ว่ามันรุนแรงขนาดไหน
ผมถือโอกาสนี้บอกว่าผู้ปกครองของผมอดทนมามากจริงๆพี่อู๋ทำดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้แฟนได้แล้ว ถ้าทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าคุณหมูพีอยู่ในภาวะไม่ปกติก็อย่าต่อว่าพี่อู๋อีกเลยพวกคุณคงรับรู้แค่ตอนที่คุณหมูพีทำร้ายตัวเองจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ตอนพี่อู๋เป็นฝ่ายโดนกระทำล่ะพวกคุณเคยรู้บ้างไหม เคยมาเยี่ยมหรือสั่งให้คุณหมูพีขอโทษเหมือนที่สั่งพี่อู๋บ้างไหม
ก็ไม่เห็นเคยทำแบบนั้นเลยนี่
แล้วทำไมถึงกล้าเอาพรรคพวกมากดดันพี่อู๋ในขณะที่เขาแทบไม่เคยใช้ใครเป็นเครื่องมือทำร้ายคุณหมูพีเลยซักครั้วทำไมไม่แฟร์กับพี่อู๋บ้าง ทำไมไม่เห็นใจผู้ปกครองของนายก้องเกียรติบ้าง
“ลองดูมือพี่อู๋สิครับ”
ผมถือโอกาสดึงมือซ้ายที่มีรอยแผลเป็นของพี่อู๋รอยเย็บตะปุ่มตะป่ำคือหลักฐานชั้นดีว่าสิ่งที่พี่อู๋ต้องเจอก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนกันเขาทั้งโดนตบโดนตี บางครั้งถึงกับโดนเท้าถีบแต่พี่อู๋ไม่เคยบอกใครเลยเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อให้คุณหมูพีดูดีในสายตาของทุกคนตลอดเพราะฉะนั้นจะมาอ้างว่าพี่อู๋ทำให้คุณหมูพีเจ็บตัวฝ่ายเดียวคงไม่ถูกต้องพูดว่าพวกเขาทำร้ายกันและกันต่างหาก แค่วันนี้พี่อู๋ขอเป็นฝ่ายไปไม่ได้แปลว่าพวกคุณจะชี้หน้าด่ายังไงก็ได้ลองคิดดูสิว่าการที่คนคนหนึ่งหมดความอดทนกับคนรักที่คบมาเกือบสิบปีมันต้องหนักขนาดไหนคุณหมูพีต้องร้ายขนาดไหนพี่อู๋ถึงทนต่อไปไม่ไหว
ฉากการโต้วาทีในหัวข้อนายอู๋คือคนเหี้ยหรือไม่ถูกขัดขวางโดยนางพยาบาลเธอเดินออกจากห้องเพื่อแจ้งให้พวกเราทราบว่าคุณหมูพีตื่นแล้ว เขาบอกว่าอยากเจอแม่ช่วยเข้าไปพบผู้ป่วยหน่อยนะคะ คุณแม่ของคุณพีรพัฒน์ขอบคุณเธอก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนานเกือบสิบนาทีซักพักก็ออกมาใหม่ก่อนจะเรียกพี่อู๋
“อู๋ พีมีเรื่องจะคุยด้วย”
ท่านบอกผมได้แต่มองผู้ปกครองเดินเข้าห้องผู้ป่วยด้วยความเป็นห่วง ในใจหวังว่าจะไม่มีการรีเทิร์นหรือความอาลัยอาวรณ์ที่ยืดเยื้อและน่ารำคาญอีกแน่นอนว่าตลอดเวลาที่พี่อู๋อยู่ข้างใน กอริลลาก้องโดนสายตาจับจ้องเหมือนเป็นลิงประหลาดสายตาของพวกเขาไม่ได้จงเกลียดจงชังหรือดูถูกเหยียดหยาม ก็แค่มองมา มอง
พี่อู๋อยู่ในนั้นแค่ห้านาทีแล้วออกมาสีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์หรือบ่งบอกอะไรเลยนอกจากยกมือไหว้ขอโทษพ่อแม่คุณพีรพัฒน์อีกครั้งเหล่าเพื่อนๆของคุณหมูพีรีบเดินเข้าห้องพักผู้ป่วยเพื่อปลอบใจเพื่อนรักแต่ผมว่าคงรีบไปเผือกว่าผลลัพธ์เป็นยังไงมากกว่าเพราะสีหน้าของบางคนดูอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเป็นห่วงเพื่อน
ในขณะที่ละครฉากใหญ่กำลังดำเนินหน้าห้องกอริลลาก้องคิดว่าผู้ปกครองคงขอโทษและขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้งเพื่อดูแลลูกชายของพวกเขาแน่ๆผมมั่นใจว่าพี่อู๋รู้ดีว่ายังเลิกกับคุณหมูพีตอนนี้ไม่ได้ ไม่งั้นเขาจะฆ่าตัวตายแล้วหัวใจของพี่อู๋ก็จะยิ่งเหวอะหวะขึ้นไปอีกหากมีคนใกล้ตัวตายด้วยวิธีนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
“สรุปอู๋จะเอายังไงต่อไป?ยังรักพีเหมือนเดิมไหม?”
คุณพ่อของคุณพีรพัฒน์ถามพี่อู๋นิ่งไปแค่ชั่วครู่แล้วยกมือขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของอดีตคนรัก
“ผมกับพีตัดสินใจแล้วครับ”
เขาเลี่ยงการตอบว่ารักหรือไม่รัก
“ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุขผมว่าเราเลิกกันดีกว่า”
ผิดคาดจากที่ผมคิดไว้พี่อู๋บอกเลิกคุณหมูพีต่อหน้าพ่อแม่ของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว
“หลังจากนี้ผมจะคืนหมูพีให้กับคุณลุงคุณป้าและจะไม่ยุ่งกับพีอีกตามที่ทุกคนสั่งขอโทษที่ไม่มีความอดทนมากพอนะครับ แต่ถ้าต้องอยู่กันแบบนี้ต่อไปผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
พี่อู๋ยกมือไหว้เป็นครั้งสุดท้ายแต่ยังคงเก็บเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ไว้กับตัวเองเขาไม่บอกพ่อแม่คุณหมูพีเลยว่าเคยโดนอะไรมาบ้าง ไม่แม้แต่จะใส่อารมณ์หรือแสดงความหงุดหงิดออกมาให้เห็นจังหวะที่กำลังยกมือไหว้ขอตัวกลับ แม่ของคุณหมูพีก็พูดขึ้น
“จะเอาแบบนี้จริงๆเหรออู๋? คบกันมาสิบปีแต่จะทิ้งพีไปด้วยเหตุผลนี้จริงๆเหรอ?”
เธอมองมาที่กอริลลาก้องเป็นนัยเราต่างรู้ว่าคุณแม่ของคุณพีรพัฒน์หมายความว่ายังไงเธอไม่พอใจที่พี่อู๋เด็ดขาดถึงขนาดพูดตรงๆว่าจะไม่ยุ่งกับลูกชายของพวกเขาอีกบางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรในเมื่อพูดเองว่าถ้าไม่รักก็ให้คืนคุณหมูพีกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่แต่พอคืนให้จริงๆก็ไม่พอใจแสดงออกชัดเจนว่าต้องการให้พี่อู๋อยู่ที่เดิมเพื่อลูกชายตนเอง
“พีอยู่ไม่ได้นะถ้าไม่มีอู๋”
“ผมทราบครับ”
“แน่ใจเหรอว่าสาเหตุคือพี?ไม่ใช่คนอื่นเหรอที่ทำให้อู๋เปลี่ยนไป?”
พี่อู๋ส่ายหน้าเขายืนยันเสียงหนักแน่นว่าไม่ใช่ ไม่มีใครทำให้พี่อู๋เปลี่ยนไปทั้งนั้นทุกอย่างเป็นเพราะเขาเบื่อที่คุณหมูพีชอบทำร้ายตัวเองเวลาไม่ได้ดั่งใจหลังจากเอมตายไป เขาไม่มีความอดทนมากพอที่จะรับมือกับคนป่วยเหมือนเมื่อก่อนถ้าคุณหมูพีทำร้ายพี่อู๋คนเดียว เขาอาจจะทนต่อไปได้แต่เพราะคุณหมูพีทำร้ายกอริลลาก้อง นั่นต่างหากคือสิ่งที่พี่อู๋รับไม่ได้
ผู้ปกครองดึงผมไปยืนข้างหน้าแล้วชี้รอยบาดจากเศษจานให้พวกเขาดูทั้งแขนและใบหน้า โดยเฉพาะตรงคางที่เหวอะกว่าจุดอื่นเป็นพิเศษพี่อู๋พูดว่าเห็นแผลพวกนี้ไหมครับ ฝีมือของพีทั้งนั้น พีอายุจะสามสิบแล้วแก่กว่าก้องตั้งเท่าไหร่แต่ทำไมทำกับเด็กได้ลงคอ ก้องอายุแค่สิบเจ็ดเองแถมยังโดนพีสั่งให้ทำงานเหมือนเป็นคนใช้ส่วนตัวด้วยซ้ำ ก้องดีกับพีขนาดนี้ ทำไมต้องโหดร้ายกับเด็กจนเอาเศษกระเบื้องกรีดด้วย
“ลองคิดดูสิครับว่าถ้าพีโดนกรีดจนเหวอะแบบนี้ทั้งตัวพ่อกับแม่จะรู้สึกยังไง”
พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆเมื่อพ่อกับแม่ของอดีตแฟนไม่คิดจะโทษลูกชายตัวเองเลย
“ผมเคยบอกพีแล้วว่าสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการทำร้ายเด็กการที่ก้องไม่มีพ่อแม่ ไม่ได้หมายความว่าใครจะทำอะไรเขาก็ได้ เด็กทุกคนควรได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ไม่มีเด็กคนไหนบนโลกสมควรโดนแบบนี้ ไม่มีใครสมควรโดนกรีดจนเหวอะเหมือนก้องทั้งนั้น”
คุณพ่อคุณแม่ของคุณหมูพีเงียบไปครู่ใหญ่พวกเขามองมาที่นายก้องเกียรติสลับกับผู้ปกครองราวกับสื่อสารกันทางสายตาผมว่าในประโยคพวกนั้นน่าจะมีความหมายมากกว่าที่พี่อู๋พูดเพราะสีหน้าคุณแม่ของคุณหมูพีเริ่มเปลี่ยนไปเหมือนสัมผัสได้ถึงนัยแฝงบางอย่าง
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมกับก้องขอตัวกลับก่อนนะครับสวัสดีครับ”
เขาพูดแค่นั้นแล้วจูงมือกอริลลาก้องที่กำลังยกมือจะสวัสดีไปลานจอดรถผมไม่รู้ว่าพี่อู๋เสียใจไหมเพราะใบหน้าของเขานั้นเรียบตึงไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยนายก้องเกียรติรู้สึกปั่นป่วนไปหมดลึกๆก็ดีใจที่คุณหมูบ้าจะไปให้พ้นๆจากชีวิตของเราเสียที แต่อีกใจก็เป็นห่วงผู้ปกครองคนคบกันมาสิบปี ต่อให้สาเหตุที่เลิกกันจะมีเหตุผลขนาดไหนคงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่าไม่เสียใจที่ต้องเลิกรากันไปหรอก
พี่อู๋กดรีโมตปลดล็อครถแล้วขึ้นนั่งกอริลลาก้องรีบตามไปติดๆ เราต่างคาดเข็มขัดนิรภัยโดยไม่พูดจากัน ไม่มีคำถาม ไม่มีการปลอบใจไม่มีการจับมือเพื่อให้กำลังใจทั้งนั้น ผมปล่อยให้พี่อู๋อยู่ในช่องว่างซักพักเมื่อเขาพร้อม เขาจะบอกผมเอง เขาจะบอกนายก้องเกียรติเองว่าต้องการอะไร
“ก้องว่าพี่ผิดมากเลยเหรอที่บอกเลิกพี?”
พี่อู๋ถามลอยๆเหมือนไม่จริงจังเขาสตาร์ทรถแต่ยังไม่ขับออกจากลานจอด ใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึกค่อยๆหันมาทางผมกอริลลาก้องส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“พี่ทำดีที่สุดแล้วครับ”
ผมพูดแค่นั้นไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนว่าผิดหรือไม่ผิดตามที่เขาขอความเห็นพี่อู๋ไม่ถามอะไรอีกนอกจากดึงเบรกมือลงแล้วออกรถ เราเลี้ยวออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกอึมครึมมันทั้งอึดอัดทั้งหม่นเศร้าจนผมต้องถือวิสาสะเปิดวิทยุเพื่อไม่ให้ห้องโดยสารเงียบเกินไปตอนแรกทุกอย่างไปได้ด้วยดี พี่อู๋ดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงของบรูโน่ มาร์สแต่พอสถานีเล่นเพลงอย่าบอกของอะตอม ชนกันต์ บรรยากาศก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อถึงท่อนเพลงที่ว่า--
อย่าบอกว่าเธอเสียใจ
คนที่เสียใจวันนี้ต้องเป็นฉัน
ผู้ปกครองของผมที่เคยเข้มแข็งมาตลอดหลายชั่วโมงก็น้ำตาไหลอาบแก้มทันที
☁
กว่าเราจะฝ่าแยกรัชดาลาดพร้าวที่กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างมาได้ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง กับข้าวเมื่อตอนเช้าเริ่มส่งกลิ่นบูดเปรี้ยวจนต้องเททิ้งและล้างทำความสะอาดผมถามพี่อู๋ว่าอยากกินอะไรหน่อยไหม เขาก็ส่ายหน้าแล้วขอตัวไปอาบน้ำ
ผมไม่ยื้อหรือคะยั้นคะยอให้พี่อู๋กินข้าวเย็นผมแค่ปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเองเกือบชั่วโมง พี่อู๋เก็บตัวในห้องนอนใหญ่นานมากเขาเงียบจนผมเริ่มเป็นห่วงจึงลองเปิดประตูเข้าไป ผมเห็นคุณอุรัสยาผู้เคยร่าเริงกำลังนอนพิจารณาเพดานข้างๆคือสมาร์ทโฟนที่เปิดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊กทิ้งเอาไว้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสือก แต่เพราะหน้าจอมันใหญ่เองผมก็เลยเห็นสเตตัสด่าพี่อู๋แบบลอยๆอยู่ในหน้าฟี้ดที่ติดแฮชแท็กว่า
ตอนนี้เรื่องคงถึงหูพวกเพื่อนๆของพวกเขาหมดแล้วแน่ๆพี่อู๋โดนด่าเละเพราะไม่มีใครเปิดใจฟังความจากฝั่งเขาเลย
“มีอะไรหรือเปล่าก้อง?”
พี่อู๋ถาม ผมตอบว่าเปล่าครับ แค่จะเอาสบู่ก้อนใหม่มาเติมแล้วแสร้งเดินเข้าห้องน้ำผมทำเป็นจัดนั่นจัดนี่อีกชั่วครู่ก่อนจะออกมา หน้าจอไอโฟนมืดสนิทแล้วมันมืดเหมือนแววตาของพี่อู๋ในตอนนี้เลย
“พี่อู๋รู้ไหมว่าอะไรดีกว่ายานอนหลับ?”
ผมถาม คุณอุรัสยาเลิกคิ้วแล้วหันมามองเขาพูดสั้นๆว่ากัญชา ผมจึงตอบว่าไม่ใช่
“งั้นอะไรล่ะ?”
พี่อู๋ถามต่อด้วยท่าทางเหมือนต้นไม้ใกล้ตายเหมือนผมในคืนแรกของงานศพแม่เหมือนตอนที่กอริลลาก้องรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่มีที่ให้ยืนอีกแล้วดังนั้นผมจึงขยับเข้าไปใกล้เตียง ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นแล้วจ้องตาพี่อู๋เพื่อบอกเขาว่ายังมีที่ว่างเล็กๆอยู่ตรงนี้ในห้องนอนของเขา พี่อู๋สามารถแสดงออกได้ว่ารู้สึกยังไง ยิ่งเห็นท่าทีของผมพี่อู๋ก็ยิ่งประหลาดใจเขายีหัวกอริลลาก้องจนฟูยุ่งก่อนจะถามเซ้าซี้ว่าบอกมาสิว่าอะไรดีกว่ายานอนหลับ อะไรที่จะช่วยให้เขาหลุดจากภาวะตรงนี้ได้
“การร้องไห้ครับ”
พี่อู๋บอกว่าพี่ไม่เป็นไรหรอกพี่โอเคแล้ว ดีเสียอีกที่จบๆกันซักที ดังนั้นผมจึงบีบมือเขาเบาๆแล้วเดินออกจากห้องแสร้งทำเป็นว่าไปหาอะไรกินทั้งๆที่ยังยืนหลบอยู่หลังบานประตู แค่ก้าวเท้าออกจากพื้นที่เล็กๆของเขาไม่กี่วินาทีเสียงสะอื้นก็ดังขึ้น พี่อู๋ร้องไห้คร่ำครวญยิ่งกว่าครั้งไหนๆเขาครางเสียงเล็กแหลม เขาสะอื้นโฮ เขาหอบหายใจไม่เป็นจังหวะขณะที่ผมยืนฟังเสียงของพี่อู๋ด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน นายก้องเกียรติก็ตระหนักได้ว่าผู้ปกครองที่น่าสงสารกลายเป็นกอริลลาเต็มตัวไปเสียแล้ว
HNY 2019!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in