11
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงแปดนาที
กอริลลาก้องกับผู้ปกครองนั่งกินซีเรียลด้วยกันในครัวเมื่อคืนพี่อู๋ไม่ได้ไปแรดที่ข้าวสารเขาปฏิเสธคุณหมูพีโดยให้เหตุผลว่าท้องไส้ปั่นป่วนจนไม่อยากห่างจากชักโครกเหตุผลจริงๆไม่ใช่เพราะปวดท้องหรอกแต่เพราะพรุ่งนี้ผมมีนัดกับหมอที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาต่างหากคุณอุรัสยาถึงยอมอดอยากปากแห้งเพื่อพาผมไปหาหมอตามนัดตอนเช้า
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้คุยกับพี่อู๋เรื่องตกงานผมยอมรับว่าไม่มีความกล้ามากพอที่จะให้กำลังใจเขาดังนั้นหัวข้อสนทนาของเราจึงวนเวียนแต่เรื่องไร้สาระเช่นวันนี้เราจะกินอะไรดีเล่นเกมอะไร ดูหนังไหม หรือควรไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือเปล่าแต่ที่เป็นหัวข้อเหนือความคาดหมายคือเรื่องซื้อหวย คืนก่อนผมเล่าให้ผู้ปกครองฟังเกี่ยวกับความฝันที่โดนคุณหมูพีแทงตายแทนที่พี่อู๋จะปลอบด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรนะ มันก็แค่ฝันหรือไม่ก็ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย แต่เขากลับพูดว่า
“เราต้องซื้อหวยแล้วนะก้อง”
พี่อู๋เปิดอินเทอร์เน็ตอ่านเว็บทำนายฝันวิเคราะห์เลขต่างๆนานายิ่งกว่าป้าเพ็ญสมัยเล่นหวย เขาบอกผมว่าเราจะรวยฟ้าผ่าไปด้วยกันถ้าถูกรางวัลนะ พี่จะซื้อกางเกงในของคาลวิน ไคลน์ให้ก้องซักโหล ซื้อชุดดีๆซื้อรองเท้าผ้าใบดีๆให้ซักคู่ ก้องจะได้มีชุดของตัวเอง ไม่ต้องยืมใส่ของพี่อย่างตอนนี้
“พี่พูดเหมือนเราจะถูกหวยงั้นแหละ”
ผมส่ายหน้าเอือมระอาปกติพี่อู๋เคยสนใจความมหัศจรรย์ของตัวเลขที่ไหน วันๆเขามีแต่กินกับนอนดูหนังฟังเพลง เล่นอินเทอร์เน็ตและกินเหล้า(รวมถึงเอากับแฟน) แต่พอผมเล่าความฝันให้ฟังเขากลับใส่ใจมันจนเกินพอดี ผมคิดว่าพี่อู๋คงเริ่มถังแตกนิดหน่อยแล้วไม่งั้นเขาคงไม่จริงจังกับการสลับเลขหน้าหลังบนล่างตีลังกาซ้ายขวาแบบนี้หรอก
“วันนี้ไปเซ็นปิ่นหลังหาหมอนะ ถ้าเจอแผงลอตเตอรี่พี่จะให้ก้องหยิบหนึ่งใบ” พี่อู๋พูดทั้งๆที่ยังเคี้ยวซีเรียลเต็มปาก“ก้องคิดหรือยังว่าอยากกินอะไร?”
ผมส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษ หลังจากได้ฟังเรื่องโดนไล่ออกผมไม่มีกะจิตกะใจจะกินของแพงๆเลย พี่อู๋กำลังอยู่ในช่วงลำบากเขาต้องประหยัดเงินเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเจ้าของบัญชีจะไม่สนใจเขายังคงพากอริลลาไปกินของอร่อยๆราวกับตัวเองมี passive income ที่ไม่ต้องทำงานก็รวยได้แค่นั่งทางใน
เมื่อทานมื้อเช้าหมดพี่อู๋ก็พาผมไปโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา บรรยากาศตอนเช้ายังคงเหมือนเดิม
“ผมถามจริงๆเถอะพี่นึกยังไงถึงอยากซื้อหวย?”
“วันก่อนไปข้าวสารมีหมอดูทักว่าช่วงนี้จะได้ลาภ พี่ว่าเราต้องรวยฟ้าผ่ากันแน่ๆ”
พี่อู๋เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นผมได้แต่ขมวดคิ้วงง หมอดูจะไปทำอะไรแถวข้าวสาร ไม่ใช่ว่าเขาเมาจนคุยกับแม่ค้าขายส้มตำเหรอคนขายอาจจะหมายถึงลาบที่เป็นลาบหมู ไม่ใช่โชคลาภก็ได้
ผมได้แต่กลอกตา ตอบเออออตามน้ำเพราะไม่อยากให้พี่อู๋หมดหวังหลังจากนั่งรอคุณพยาบาลเรียกเข้าพบหมอเกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงคิวกอริลลาก้องผมรีบเดินเข้าห้องอย่างรวดเร็วเพราะรำคาญพี่อู๋เซ้าซี้เรื่องเลขท้ายอีกทันทีที่เจอหน้ากัน ผมก็ยกมือไหว้หมอ ทักทายเขาว่าสวัสดีครับวันนี้ผมมีเรื่องอยากเล่าให้หมอฟังเยอะมากเลย
ถ้าถามว่าตอนนี้ใครคือคนที่รู้ความคิดผมทุกอย่างคำตอบก็คือหมอของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาหมอคือคนเดียวที่ผมไว้ใจจนสามารถระบายทุกอย่างให้เขาฟังได้ทั้งพฤติกรรมประสาทแดกของคุณหมูพีที่ข่มซินเดอเรลก้องยิ่งกว่าคนใช้ทั้งเรื่องคุณอุรัสยาที่ทำตัวครึ่งๆกลางๆ อยากเลิกกับแฟนแต่ก็ต้องการแฟนจนปฏิเสธไม่ได้ผมยังเล่าให้หมอฟังด้วยว่าเขาออกไปกินเหล้าบ่อยแค่ไหนการรักสนุกของเขาทำให้ผมเครียด บางคืนผมนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงเขาไม่รู้ว่าพี่อู๋เป็นอะไร ผมอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมอยากให้พี่อู๋เป็นคนเดิมเหมือนวันแรกที่เจอกัน
“บางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนจริงๆของพี่อู๋ก็ได้นะก้อง”
หมอพูดอย่างเห็นใจแต่ผมค้านหัวชนฝาไม่ใช่ครับ พี่อู๋ไม่เคยเป็นแบบนี้เมื่อก่อนเขาไม่กินเหล้าจนเมาและไม่ขี้เอาขนาดนี้ หมอดูเหวอๆเมื่อผมพูดตรงเกินไปหน่อยแต่ก็ยังตั้งใจฟังผมพรั่งพรูเรื่องทุกอย่างทั้งเรื่องที่เอมฆ่าตัวตาย เรื่องพี่อู๋ถูกไล่ออกจากงานเรื่องที่คุณหมูพีกับคุณอุรัสยาตีกันประจำจนผมประสาทแดก
วันดีคืนดีพวกเขาก็ตบกันบนโซฟาบางทีก็รักกันจนหอมแก้มให้ผมดู ผมบอกหมอว่ามันน่าอึดอัดจริงๆนะ การอยู่ในบ้านที่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนเกินทำให้ผมรู้สึกแย่ในบางทีถ้ามีแค่พี่อู๋มันจะไม่เป็นไรเลย แต่คุณหมูพีคือตัวปัญหา เขาคือหมูบ้าสำหรับผมผมไม่ชอบเขา ผมอยากให้เขาเลิกกับพี่อู๋แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณหมูพีมีปัญหาเรื่องควบคุมอารมณ์เขาชอบทำร้ายตัวเองเพื่อให้พี่อู๋สนใจเขาคนเดียว
“ผมควรทำยังไงดีครับ? ผมเบื่อผมอยากให้ทุกอย่างกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม”
ผมถามหมอ เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดตรงๆว่ากอริลลาก้องทำอะไรไม่ได้หรอกในกรณีนี้บ้านที่ผมอยู่ก็เป็นของพี่อู๋ คุณหมูพีคือแฟนของพี่อู๋ เขาย่อมมีสิทธิ์มากกว่าคนขออาศัยอย่างนายก้องเกียรติอยู่แล้วดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือจัดการความคิดตัวเอง หมอบอกให้ปล่อยพี่อู๋ไปเขาอยากกินเหล้าก็ช่าง อยากไปข้าวสาร อยากค้างบ้านแฟนก็ปล่อยเขา หรือทะเลาะตบตีกันจนเลือดตกยางออกก็ไม่ต้องเก็บมาเครียดเพราะนั่นคือชีวิตพี่อู๋ ในเมื่อผู้ปกครองของผมเลือกเองผมจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำใจ
“มันอยู่เหนือการควบคุมของก้องก้องต้องยอมรับตรงนี้ว่าเราเปลี่ยนนิสัยพี่อู๋ไม่ได้ แต่ก้องทำดีที่สุดในแบบของตัวเองแล้วก้องดูแลตอบแทนพี่อู๋ด้วยการรับผิดชอบงานบ้านเต็มที่ ก้องไม่ทำให้เขาหนักใจหมอว่าก้องควรโฟกัสแค่ตัวเองก่อน อย่าคิดเปลี่ยนแปลงพี่อู๋เลย มันเป็นไปไม่ได้ก้องไม่ได้อยู่ในสถานะที่เขาจะยอมเชื่อฟัง”
หมอทำให้กอริลลาก้องเสียกำลังใจผมแค่หวังดี อยากให้พี่อู๋กลับมาเป็นผู้เป็นคนแต่เขาก็บอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะผมเป็นแค่คนนอกไม่มีเหตุผลที่คุณอุรัสยาต้องรับฟัง
“แต่ความสัมพันธ์ระหว่างก้องกับพี่อู๋ยังดีอยู่ใช่ไหม?”
ผมเม้มปากแน่นเริ่มไม่แน่ใจว่ามันยังดีเหมือนที่หมอถามหรือเปล่า ผมเล่าให้หมอฟังเรื่องคืนก่อนที่เราทะเลาะกันแรงมากๆผมบอกหมอว่าตอนนั้นผมโมโหที่พี่อู๋ทำตัวเหลวไหลก็เลยด่าเขาแรงไปหน่อย จากนั้นผู้ปกครองของผมก็ด่ากลับว่าไอ้ก้องเกียรติคือภาระเขาตอกหน้าผมด้วยการบอกว่าไม่มีใครอยากรับผมไปอยู่ด้วย เขาน่าจะทิ้งผมไว้ที่วัดผมควรเน่าตายในนั้นจะได้ไม่ปากเก่งใส่เขาแบบนี้ผมยังบอกอีกว่าพี่อู๋โกรธถึงขั้นจะลงไม้ลงมือแล้วถ้าผมไม่ตกใจจนล้มลงเสียก่อน
คราวนี้หมอเงียบไปเลยเขาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผมเพิ่งเล่าพร้อมกับจดรายละเอียดลงบนระเบียนประวัติหมอมีสีหน้าคิดหนักเหมือนกำลังสันนิษฐานอะไรบางอย่างหลังจากนั้นเขาก็บอกผมว่าก้องช่วยเรียกพี่อู๋เข้ามาหน่อยนะหมอมีเรื่องอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
ผมทำตามหมอสั่งทันทีที่เดินออกจากห้อง คุณอุรัสยาผู้กำลังอ่านรีวิวอาหารในทวิตเตอร์ก็เงยหน้ามองเขาเลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อผมบอกว่าหมออยากคุยด้วยพี่อู๋ไม่โดนเรียกมาหลายสัปดาห์แล้ว เขาก็เลยงงๆว่ามีเรื่องอะไรกอริลลาก้องเกิดคุ้มคลั่งอยากตาย หรือมีอาการแฝงอื่นๆที่ผู้ปกครองควรรู้หรือเปล่า ผมบอกพี่อู๋ว่าหมอแค่อยากคุยด้วยเฉยๆผมไม่ได้เป็นอะไร ผมสบายดี ยังไม่คิดฆ่าตัวตายวันนี้มีแต่อยากบีบคอพี่โทษฐานที่อ้วกใส่หัวผมเท่านั้น
ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป สิบห้านาทีผ่านไป
เวลาเดินไปเรื่อยๆในขณะที่กอริลลาก้องเริ่มกระวนกระวานกอริลลาตัวอื่นก็หงุดหงิดเหมือนกันที่คราวนี้หมอคุยกับพวกเรานานไปหน่อยท่าทางจะมีปัญหา ผมคิดเดาเอาว่าหมอคงปรับความเข้าใจกับพี่อู๋หรือไม่ก็ร้องขอให้เขาทำตัวดีๆเพื่อกอริลลาจิตป่วยอย่างนายก้องเกียรติซักระยะแต่พอเห็นผู้ปกครองเดินออกจากห้องตรวจด้วยสีหน้าแจ่มใสผมก็เลยงุนงงว่าตกลงพวกเขาคุยอะไรกัน พี่อู๋ไม่ได้โดนหมอดุหรือตำหนิเรื่องทำตัวแย่ๆหรอกเหรอ
“ก้อง หมอเรียก”
พี่อู๋ชี้นิ้วไปที่ประตู ผมแอบเห็นกอริลลาตัวหนึ่งกลอกตาเมื่อรู้ว่าหมอตรวจนายก้องเกียรตินานเป็นพิเศษเมื่อเดินกลับเข้าไปข้างใน ผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วจ้องหน้าหมอผมถามเขาว่าเป็นไงบ้างครับ พี่อู๋พูดอะไรไหมเขาระบายความเสียใจเรื่องงานให้หมอฟังหรือเปล่า
“หมอไม่ได้ถามพี่อู๋เรื่องนั้น”
ผมงงหนักกว่าเดิมทั้งๆที่แอบหวังไว้ว่าหมอจะช่วยให้กำลังใจพี่อู๋อีกทางแต่คำตอบของหมอก็บอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย หมอแค่เรียกพี่อู๋มาถามเรื่องอาการของผมถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง กินข้าวเยอะไหม เรื่องนอนล่ะเป็นยังไงหลับสนิทหรือตื่นกลางดึกเหมือนเดิมหลังๆมานี้ผมขอร้องไม่ให้เขาออกไปกินเหล้าบ่อยแค่ไหนยังร้องไห้ขอให้อยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า แน่นอนว่าหมอไม่ยอมบอกว่าพี่อู๋ตอบว่าอะไรเขาพูดแค่ว่าก้องไม่ต้องคิดมากนะ พี่อู๋คคงไม่ทิ้งก้องเกียรติเร็วๆนี้
“พี่อู๋บอกหมอเหรอครับว่าเขาจะไม่ไล่ผมออกจากบ้าน?”
“ไม่ได้พูดตรงๆหรอกแต่เขาก็แสดงออกว่าเป็นห่วงก้องมากนะ ถามหมอตลอดเลยว่าต้องกินยานานแค่ไหนมีผลข้างเคียงไหม ต้องพูดกับก้องยังไง หมอว่าเขายังใส่ใจก้องเหมือนเดิม”
“แต่บางครั้งพี่อู๋ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบางทีผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง เหมือนพี่อู๋คนเดิมหายไป เขาเปลี่ยนเป็นคนละคนเปลี่ยนเป็นผู้ชายที่ผมไม่รู้จัก”
“ก้อง -- หมอขอพูดตรงๆเลยนะ”
หมอมองหน้าผมหัวใจของกอริลลาจิตป่วยเต้นตึกตักเพราะสังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“พอฟังจากที่ก้องพูดและลองคุยกับเขาดูแล้วหมอคิดว่าพี่อู๋อาจจะป่วย แต่เขายังไม่รู้ตัว”
วินาทีนั้นนาฬิกาหยุดหมุน ผมอึ้งเรียบเรียงอะไรไม่ถูกนอกจากตั้งคำถามกับตัวเองว่าพี่อู๋ป่วยได้ไง ป่วยเป็นอะไรไข้ก็ไม่มี ไอจามก็ไม่มี ปวดเมื่อตามตัวก็ไม่มี แล้วเขาป่วยอะไร ป่วยตรงไหนพี่อู๋แข็งแรงจะตาย หมอมั่วแล้ว พี่อู๋สบายดี เขาไม่ได้เป็นอะไร
“หมอว่าพี่อู๋ควรพบจิตแพทย์นะ”
โอเคผมรู้แล้วว่าหมอหมายความว่ายังไง พี่อู๋ไม่ได้ป่วยกาย แต่เขาป่วยใจต่างหาก
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงสามนาที
ผมนั่งอยู่ในรถกับพี่อู๋ที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยท่าทางผ่อนคลายเขาเปิดเพลงโปรด ปรับเบาะนั่ง เปิดแอร์ เช็กกระจก ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะที่กอริลลาก้องนั่งเครียดและสับสนเพราะคำพูดของหมอเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
คำบอกเล่าของหมอเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ถูกต่อกันจนเป็นรูปร่างผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมบางครั้งพี่อู๋ก็เกรี้ยวกราด บางครั้งก็โหยหาเซ็กส์จากคุณหมูพีไหนจะอาการติดเหล้า อาการนอนไม่เป็นเวลา และภาวะควบคุมความโกรธไม่ได้อีกทุกอย่างไม่ใช่เพราะพี่อู๋สันดานเหี้ยอย่างที่คุณหมูพีกล่าวหา แต่พี่อู๋กำลังป่วย เขาป่วยเขาต้องได้รับการรักษาแต่จะทำยังไงในเมื่อเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าที่ชีวิตเป็นแบบนี้เพราะกำลังตกอยู่ในภาวะเครียดมากกว่าปกติไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรืออยากพัก แต่เขาป่วยต่างหาก
ผมอยากรู้จริงๆว่าหมอคุยอะไรกับเขาอีกแต่หมอไม่ยอมบอก เขาบอกว่าเราควรปล่อยให้พี่อู๋มีพื้นที่ส่วนตัวบ้างเมื่อผมขอให้เขารับพี่อู๋เป็นผู้ป่วยใหม่ของโรงพยาบาล หมอก็ปฏิเสธรอบที่สองเขาบอกว่าเรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้ หมอไม่สามารถพูดว่าคุณอู๋คุณต้องลงไปข้างล่างเพื่อทำประวัติใหม่คุณต้องนั่งต่อแถวร่วมกับกอริลลานับสิบหน้าห้องตรวจแล้วค่อยเข้ามาพบหมอหลังจากนั้นก็ระบายความในใจให้ฟัง เล่าให้หมดเลยนะ เรื่องน้องชาย เรื่องตกงานเรื่องแฟน เพราะจะได้แนะนำให้ถูกใจ หลังจากนั้นหมอจะจัดยาให้สุดท้ายก็ลงไปจ่ายเงินแล้วแยกย้ายกลับบ้าน ถ้าก้องเกียรติหวังว่าหมอจะทำแบบนั้นบอกเลยว่าฝันไปเถอะ การเข้ารับการรักษาต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจหมอบังคับพี่อู๋ไม่ได้ เขาต้องเป็นฝ่ายมาพบแพทย์และยอมรับเองว่าเขากำลังอยู่ในภาวะผิดปกติซึ่งต้องการความช่วยเหลือ
“พ่อของพี่อู๋ก็เป็นจิตแพทย์เหมือนกันผมแอบโทรบอกคุณพ่อดีไหมครับ?”
“อย่าทำแบบนั้นนะก้องนี่คือเรื่องของพี่อู๋ ก้องไม่ควรก้าวก่าย”
“แต่ผมเป็นห่วงเขา”
ผมตาร้อนผ่าวรู้สึกอยากร้องไห้เมื่อคิดว่าพี่อู๋ต้องการความช่วยเหลือจากใครซักคนแต่กลับไม่มีใครยื่นมือไปหาเขา
“หมอบอกผมมาเถอะว่าคุยอะไรกับพี่อู๋ผมจะช่วยโน้มน้าวเขาอีกแรง ผมจะพาเขามาหาหมออย่างน้อยเขาจะได้ไม่รู้สึกแย่เหมือนที่ผมเคยเป็น”
“ก้อง พี่อู๋ต้องมาพบหมอด้วยตัวเอง”หมอยืนยันเสียงหนักแน่น เขาส่งทิชชู่ให้เมื่อกอริลลาก้องน้ำตาไหล “
“งั้นผมควรทำยังไงเหรอครับ?”
“รอ” หมอแนะนำสั้นๆและตรงตัว“หมอว่าพี่อู๋อาจจะทนได้อีกไม่นาน ก้องรออีกหน่อยถึงตอนนั้นค่อยชวนเขามาพบหมอด้วยกันนะ”
ตั้งแต่ออกจากห้องตรวจผมคิดไปต่างๆนานา พี่อู๋คงไม่มีวันปรึกษาคุณพ่อหรอกเพราะเขาพูดกับพี่ตั้มเองว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องโดนไล่ออกไหนจะเรื่องโดนมีดบาด โดนคุณหมูพีบงการชีวิต เรื่องเอมอีกยังไงเขาก็ไม่เอาความทุกข์ไปบอกให้พ่อรู้อยู่แล้วดังนั้นทางออกเดียวที่พอจะทำได้คือการทำให้พี่อู๋รู้ตัวเร็วๆว่าเขาต้องการหมอเขาต้องพบหมอเพื่อรับยา ชีวิตของเขาจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียที
“เหม่ออะไรก้อง?ยังโกรธพี่เรื่องอ้วกอยู่อีกเหรอ?”
“เปล่าครับผมแค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
“คิดเมนูมื้อเย็นสิวันนี้พี่อยากกินข้าวผัดไข่กับแกงจืดสาหร่าย” พี่อู๋บอกผมหันไปมองหน้าเขาแล้วยิ้ม ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังอยากอาหารอยู่บ้าง “
“ครับ”
ผมขานตอบในหัวยังคิดวนเวียนเรื่องของเขาไม่เลิก มันมีแต่คำว่าต้องช่วยพี่อู๋ต้องทำให้พี่อู๋รู้ว่าเขากำลังไม่สบาย แต่คนอย่างกอริลลาก้องจะทำอะไรได้คนที่พยายามจะกระโดดสะพาน คนที่กินยานอนหลับยี่สิบเม็ดคนที่อยากตายแต่ไม่ตายอย่างผมจะช่วยอะไรพี่อู๋ได้ ผมนี่ไร้ประโยชน์จริงๆแค่อยากช่วยผู้มีพระคุณ ยังคิดแผนไม่ออกเลย
“เที่ยงนี้กินอะไรกัน?”
“ฟู้ดคอร์ทก็ได้ครับ ถูกดี”
ผมเสนอ แต่พี่อู๋เบะปากเขาบอกว่าฟู้ดคอร์ทไม่ได้ถูกไปกว่าอาหารในร้านหรอกแค่ข้าวขาหมูจานเดียวก็หกสิบห้าบาทแล้ว เพิ่มเงินอีกนิดเพื่อกินของอร่อยๆดีกว่า
“แต่ผมไม่อยากให้พี่เปลืองเงิน”
“โอ๊ย คิดมาก พี่เหลือเงินเยอะจะรูดซื้อเซ็นทรัลให้ก้องก็ยังได้”
เขาพูดติดตลกแต่ผมขำไม่ออกซื้อเซ็นทรัลเนี่ยนะ พี่คิดบ้าอะไรอยู่คิดว่าเจ้าสัวจิราธิวัฒน์จะยอมให้พี่มีส่วนในกิจการเขาเหรอมีหวังห้างดีๆได้กลายเป็นแหล่งมั่วสุมของเหล้ากับข้าวมันไก่ที่ราดบนหัวผมแน่ๆ
“พี่ ผมจริงจังนะผมอยากช่วยพี่ประหยัดเงินบ้าง ผมเกรงใจที่เกาะพี่กินแบบนี้”
“ช่วยทำไม? ก้องมาอยู่ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้เพิ่มเลยมีแค่ค่าเหล้ากับถุง --” เขาเงียบท้ายประโยค อืมผมรู้แหละว่าถุงยางราคาไม่ใช่เล่นๆ แต่ไม่ต้องบอกละเอียดขนาดนี้ก็ได้ “
ผมถอนหายใจ ฟูจิแพงจะตายแต่ก็ยังเลือกกินสุดท้ายผมก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนวันธรรมดาอย่างที่ผ่านมากินข้าวมื้ออร่อยกับผู้ปกครอง เดินซื้อของสดและเครื่องปรุงที่รถกับข้าวไม่มีขาย หลังจากนั้นเราก็กลับลาดพร้าวกันแยกรัชดายังคงเป็นพิษเหมือนเดิม แต่ที่พิษกว่าคือใจของผมเอง นายก้องเกียรติกำลังทรมานเพราะกลัวว่าวันหนึ่งผู้ปกครองที่ตัวเองรักและเทิดทูนจะกลายเป็นกอริลลาจิตป่วยอีกคน
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามสิบสองนาที
พี่อู๋เพิ่งถึงบ้านในสภาพเละเทะยิ่งกว่าหมาวันนี้เขาไม่อ้วก แต่ไม่มีสติอะไรเหลือเลยแม้กระทั่งถูกพี่ตั้มโยนลงบนที่นอน ผมได้แต่มองหน้าเพื่อนของผู้ปกครองด้วยความอึดอัดใจหนึ่งก็อยากถามว่าพี่อู๋เครียดเรื่องอะไร ทำไมถึงดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นแบบนี้แต่อีกใจก็นึกถึงคำพูดของหมอ
นี่ไม่ใช่เรื่องของนายก้องเกียรติอย่าก้าวก่ายเลย เดี๋ยวจะทะเลาะกันอีก
“พี่ฝากน้องก้องเตือนไอ้อู๋ด้วยนะว่าพรุ่งนี้เช้าหมูพีจะแวะเข้ามา”เขาสั่ง กอริลลาก้องพยักหน้ารับ “จริงๆพี่มีเรื่องอยากคุยกับก้องด้วย”
“เรื่องอะไรเหรอครับ?”
“พี่แค่อยากรู้ว่าก้องจะอยู่กับไอ้อู๋อีกนานไหม?”
ผมหน้าชาไม่แน่ใจว่าประโยคนั้นคือคำถามจริงๆหรือมีความหมายโดยนัยซ่อนอยู่ พอเห็นสีหน้าเจื่อนๆของนายก้องเกียรติพี่ตั้มก็รีบแก้ตัว เขาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้รู้สึกไม่ดี เขาแค่ถามเฉยๆ เพราะสงสารที่ผมต้องอดหลับอดนอนมาดูแลคนขี้เมาเกือบทุกคืนหนังสือก็ไม่ได้อ่าน ติดต่อสทศ.เรื่องสอบซ่อมก็ยังไม่ถึงไหนสั้นๆคือเขาอยากให้ผมกับพี่อู๋ทำอะไรซักอย่างเพราะสถานการณ์ของเราสองคนเข้าขั้นวิกฤติแล้ว
“ผมจะพยายามย้ายออกให้เร็วที่สุดครับ”
ผมรับปากแต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีพี่อู๋คอยดูแลผมจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ซักกี่วัน เผลอๆคงสิ้นหวังจนต้องไปจบที่สะพาน แล้วก็ได้ออกข่าวเรื่องเล่าเช้านี้แน่ๆ
พี่ตั้มตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะขอตัวกลับเขาขอโทษอีกครั้งที่ถามอะไรตรงๆเพราะเป็นคนอ้อมค้อมไม่เก่งแต่หวังว่านายก้องเกียรติจะเข้าใจความปรารถนาดีของเขา แน่นอนว่าผมต้องพยักหน้ารับยกมือไหว้สวัสดีเพื่อนสนิทของพี่อู๋ แล้วกลับเข้าห้องนอนเพื่อจัดการผู้ปกครองที่นอนนิ่งเหมือนโดนยิงตาย
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงสี่สิบเจ็ดนาที
คุณหมูพีมาที่ห้องพร้อมของสดและแซลมอนนำเข้าจากนอร์เวย์สิ่งแรกที่เขาทำคือการสั่งให้ผมจัดแจงเอาของเข้าตู้เย็น ทิ้งผักที่เพิ่งซื้อจากเซ็นทรัลแล้วแช่ผักออร์แกนิคของเขาแทนผมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ทิ้งฟักทอง ผักกาด แตงกวา กะหล่ำปลีแม้กระทั่งไชเท้าดองฝีมือผมเขาก็สั่งให้เททิ้ง ซินเดอเรลก้องทำทุกอย่างไม่อิดออดหลังจากจัดของในตู้เย็นเราก็เริ่มงานซักผ้า คุณหมูพีเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ผมแอบเห็นเขาแวะห่มผ้าให้พี่อู๋ก่อนจะถือตะกร้าผ้าที่ใส่แล้วออกมา
“แยกผ้าขาวกับผ้าสีเหมือนเดิมนะส่วนเสื้อตัวนี้ต้องซักมือ ไม่งั้นคอเสื้อจะย้วย” คุณหมูพีบอกเขาไม่ได้ยืนมองเฉยๆแต่ช่วยผมแยกผ้าด้วย “พวกถุงเท้ากับกางเกงในใส่ถุงซักผ้าส่วนของก้องต้องซักเอง”
“ครับ”
ผมตอบ ทั้งๆที่พี่อู๋กับผมแชร์เสื้อผ้ากันใส่แท้ๆแต่ถ้าตัวไหนโดนนายก้องเกียรติหยิบยืม คุณหมูพีจะสั่งให้แยกซักทุกที
เช้านั้นซินเดอเรลก้องทำงานหนักอยู่หลายชั่วโมงกว่าเจ้าชายอุรัสยาจะตื่นคุณหมูพีเดินไปหอมแก้มเขาแล้วชวนทานมื้อเช้าแบบอเมริกัน แน่นอนว่ามีส่วนสำหรับผมด้วยคุณหมูพีไม่ได้ใจจืดใจดำขนาดแบ่งแยกชนชั้นไล่ผมไปกินข้าวคลุกน้ำปลาแต่ขอบ่นซักหน่อยก็แล้วกันว่าไส้กรอกของผมไหม้กว่าของพวกเขาตั้งเยอะ ไม่รู้ว่าจงใจหรือเปล่าแต่ไส้กรอกนำเข้าที่คุณหมูพีซื้อมานี่อร่อยชะมัด
“มาทำอะไรแต่เช้า?”
พี่อู๋ถามคุณหมูพีเขาดูงัวเงียและอ่อนเพลียเหมือนเริ่มป่วยนิดๆ
“มาหาเฉยๆไม่ได้เหรอ?”
“ได้”
พี่อู๋ตอบแล้วบรรยากาศก็อึดอัดจนไม่มีใครพูดอะไร หลังจากทานมื้อเช้าสไตล์อเมริกันเสร็จซินเดอเรลก้องก็ล้างจาน เช็ดเคาน์เตอร์ครัวและนำผ้าที่ซักเสร็จแล้วไปอบแห้งเพราะวันนี้ฟ้าครึ้มฝนถ้าตากผ้าบนราวคงเหม็นอับน่าดูพอผมเอาผ้าไปอบที่เครื่องหยอดเหรียญส่วนกลางของคอนโดพี่อู๋กับคุณหมูพีก็มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองพวกเขาคงคุยกันกระหนุงกระหนิงหรือไม่ก็นัวบนโซฟาแน่ๆ แต่เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครเลยพี่อู๋นอนสลบบนเตียงในห้องนอนใหญ่ ส่วนคุณหมูพีคุยโทรศัพท์ตรงระเบียง
ผมไม่ได้ตั้งใจจะสาระแนแต่เสียงของเขาดังมากพอจนได้ยินว่ากำลังคุยธุระเรื่องอะไร ดูเหมือนว่าคุณหมูพีกำลังดีลงานบางอย่างเขาบอกปลายสายว่าของานนี้ให้พี่อู๋เถอะ เขาผ่านN2*(การสอบ JLPTวัดระดับภาษาญี่ปุ่นที่จัดขึ้นทุกปีโดยทดสอบ 2
ผมกลอกตาไม่พอใจนิดหน่อยที่คุณหมูพีกดดันพี่อู๋ทางอ้อมด้วยการแอบเอางานมาให้แต่พอฟังบทสนทนาในซักพักก็ต้องประหลาดใจ คุณหมูพีบอกว่าแปลโฆษณาจากไทยเป็นญี่ปุ่นประมาณห้านาทีใช่ไหมบทสนทนายาวหรือเปล่า ถ้าหลายบรรทัดช่วยเพิ่มเงินหน่อย พี่อู๋ผ่าน
ผมได้ยินพวกเขาต่อรองราคาเหมือนจ่ายตลาดอยู่หลายนาทีคุณหมูพีมีทักษะโน้มน้าวใจเก่งชะมัดเขาขายความสามารถพี่อู๋เก่งกว่าเซลล์แมนแผนกเครื่องนอนเสียอีก เมื่อเจรจาจนได้ค่าจ้างที่ลงตัวคุณหมูพีก็พูดว่าพี่ขอให้เต้เพิ่มเงินอีกสามพันได้ไหม เต้ไม่ต้องจ่ายส่วนต่างนี้นะพี่จะโอนเข้าบัญชีเต้ แล้วเต้ก็บอกพี่อู๋ว่าค่าจ้างทั้งหมดหมื่นนึง
“พี่อู๋ไม่รู้หรอก เขานอนอยู่”
คุณหมูพีตอบก่อนจะหันมาเจอซินเดอเรลก้องที่กำลังนั่งพับผ้าบนพื้นหลังจากนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป เขาบอกคุณเต้ว่าแชทคุยกันนะ พี่ไม่สะดวกพูดแล้ว
พอได้ยินแบบนั้นผมเริ่มสัมผัสได้ถึงความรักที่คุณหมูพีมีให้พี่อู๋แล้ว ทั้งของดีๆที่ซื้อมาใส่ตู้เย็นทั้งหางานและแอบเพิ่มเงินเพื่อให้พี่อู๋มีกินมีใช้ แถมยังขายเก่งพูดชื่นชมแฟนตัวเองจนได้งาน ไหนจะแวะเวียนมาทำงานบ้านจนสะอาดเอี่ยมอ่องอีกความรักที่คุณหมูพีมีให้พี่อู๋มันเป็นแบบนี้นี่เอง เขาแสดงมันออกมาด้วยการมอบสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดแต่ไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วแฟนของตัวเองกำลังป่วยทางใจงานและเงินช่วยให้พี่อู๋หายเครียดไม่ได้ต้องพึ่งยาและจิตแพทย์เหมือนกอริลลาก้องเท่านั้น
“ก้องได้ยินใช่ไหม?”
ผมให้สัญญาแล้วเดินเลี่ยงไปรีดผ้าในห้องนอนใหญ่พี่อู๋ยังคงหลับบนเตียง เขาดูเหมือนคนป่วยจนผมเริ่มไม่สบายใจผมอยากจะเดินไปเช็กดูแทบแย่ แต่เพราะคุณหมูพีเดินเข้ามาปลุกเขาเสียก่อนซินเดอเรลก้องก็เลยต้องรีดผ้าต่อไป
“พี่ -- ว่างไหม?ช่วยเพื่อนเราหน่อยสิ”
พี่อู๋เงยหน้าจากหมอนเขาขยี้ตาและดูงัวเงียผิดปกติ เมื่อถามว่าจะให้ช่วยอะไรคุณหมูพีก็บอกว่าช่วยรับงานแปลโฆษณาจากไทยเป็นญี่ปุ่นให้หน่อยความยาวประมาณห้านาทีกว่าๆ ค่าจ้างหมื่นนึง พี่อยากทำไหม
“ไปจ้างไอ้นนท์เหอะ มันกำลังหาเงินซื้อนมให้ลูก”
พี่อู๋ตอบปัดๆแล้วนอนต่อแต่คุณหมูพีก็เซ้าซี้อยู่นั่นแหละ เขาอ้างว่าตั้งหมื่นนึงเลยนะโฆษณาแค่ไม่กี่นาทีเอง เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้อย่าปล่อยผ่านเลย รับงานเถอะ พี่แปลเก่งแป๊บเดียวก็เสร็จ เผลอๆไม่ถึงสามชั่วโมงก็ได้เงินแล้ว
คุณอุรัสยาที่กำลังคิดเรื่องเอาเงินไปทิ้งที่ข้าวสารตัดสินใจลุกขึ้นนั่งเขาตอบเออๆๆๆแล้วเดินไปเปิดแล็ปท็อปเพื่อเช็กอีเมลตามที่คุณหมูพีเตี๊ยมกับเพื่อนเอาไว้ผมไม่รู้รายละเอียดของงานแปลพวกนี้เท่าไหร่แต่ต้องยอมรับว่าตอนเห็นพี่อู๋เปิดคลิปไปพร้อมกับเขียนภาษาญี่ปุ่นลงบนกระดาษนี่โคตรเท่เลยเขาเริ่มถอดสคริปท์ภาษาไทยจากคลิปก่อน พอจะแปลก็กดพอร์สเมื่อจบประโยคแล้วตวัดข้อมือเขียนภาษาญี่ปุ่นคำไหนไม่มั่นใจก็เปิดพจนานุกรมเพื่อความถูกต้องและทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คุณหมูพีว่าจริงๆ พี่อู๋ใช้เวลาแปลโฆษณาห้านาทีแต่หลายสิบประโยคแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนเงินโอนเข้าก็ดังขึ้น พี่อู๋ยิ้มหน้าบานเขาบอกผมว่าเย็นนี้เราไปกินสเวนเซ่นส์กันเถอะ
ประโยคนั้นทำคุณหมูพีหน้างอส่วนกอริลลาก้องได้แต่รู้สึกผิดในใจเพราะเงินหมื่นที่ว่านั้นจริงๆแล้วเป็นของคุณหมูพีตั้งสามพันเขายอมจ่ายเงินเพื่อปลุกจิตวิญญาณนักแปลของแฟนแต่สุดท้ายพี่อู๋กลับชวนเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าไปกินไอศกรีมด้วยเงินของเขาหน้าตาเฉยแถมไม่ได้รู้สึกอยากกลับไปทำงานด้วย ในหัวพี่อู๋มีแต่เรื่องกินกับนายก้องเกียรติไม่มีแม้แต่คำขอบคุณที่คุณหมูพีหางานมาให้เลย
“สรุปคือพี่จะพาก้องไปกินไอติมแทนที่จะไปข้าวสารกับเราเหรอ?”
“ใช่” พี่อู๋ตอบหน้าตาเฉย“พีก็รู้ว่าพี่มีบัตรสมาชิก โปรวันอังคารคือซื้อหนึ่งสกู๊ปได้ฟรีอีกหนึ่งสกู๊ปพีจะไปกินด้วยกันหรือเปล่า?”
“พี่ก็รู้ว่าเราไม่กินหวาน งั้นพี่ไปกับก้องเถอะเรานัดเพื่อนไว้ที่บริค คืนนี้คิวเราจองโต๊ะ”
“เค”
พี่อู๋ตอบสั้นๆไม่ถามด้วยซ้ำว่าไปกับเพื่อนกลุ่มไหนนอกจากเดินเข้าห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซินเดอเรลก้องที่ชุ่มเหงื่อจากการตรากตรำทำงานบ้านก็ต้องทำความสะอาดตัวเองเหมือนกันเมื่อเราพร้อมออกจากห้อง คุณหมูพีก็ไม่อยู่เสียแล้ว
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำไปจะไม่มีความหมายในสายตาของพี่อู๋เลยผมชักสงสารคุณหมูพี ความรักที่ให้เท่าไหร่ก็ไม่เคยได้กลับมานี่ทรมานน่าดูแต่ถึงจะสงสารและเสียดายเงินค่าไอศกรีมขนาดไหน ผมก็ไม่ปล่อยให้ผู้ปกครองไปเมาหัวทิ่มที่ข้าวสารหรอกผมต้องยื้อพี่อู๋ให้ห่างจากเหล้าให้ได้ ยังไงสเวนเซ่นส์ก็ไม่เกินสามร้อย แต่ถ้าไปบริคบาร์พี่อู๋ต้องจ่ายหลักพันซึ่งมากกว่าค่าไอศกรีมเกือบสามเท่าเพราะฉะนั้นไปสเวนเซ่นกันเถอะ
ระหว่างกำลังขึ้นรถพี่อู๋ก็เริ่มมีสีหน้าลังเลเดาได้เลยว่าคงวางแผนพาผมไปกินไอศกรีมแล้วชิ่งไปข้าวสารต่อ ดังนั้นผมจึงพูดว่าอยากกินสติ๊กกี้ชูวี่ ช็อกโกแลตจังเลยครับ กินเสร็จขอไปดูหนังสือที่ร้านนายอินทร์ด้วยได้ไหมผมอยากได้หนังสือซักเล่ม ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ช่วยไปเป็นเพื่อนผมหน่อย มีเหรอที่ผู้ปกครองของผมจะปฏิเสธเขารีบจัดให้ตามคำขอ เราไปสเวนเซ่นส์ด้วยกันแต่ไม่ได้กินคนละหนึ่งสกู๊ปตามที่บอกคุณหมูพีเอาไว้แต่เราสั่งเดอะเฮอริเคนถ้วยโตมาเลย ผมว่าต้องมีคนเป็นเบาหวานตายเพราะไอศกรีมเร็วๆนี้แน่นอน
☁
หลังจากนั้นงานก็เข้าเรื่อยๆเพราะคุณหมูพี
แน่นอนว่าเขาแอบเพิ่มเงินค่าจ้างทุกครั้งเพื่อจูงใจให้แฟนของตัวเองทำงานแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จพี่อู๋ยังคงขี้เกียจเหมือนเดิม ยิ่งหลังๆเขาไม่เอาด้วยแล้ว ต่อให้ค่าจ้างหลายพันกับการแปลไม่กี่ประโยคเขาก็ไม่ทำพี่อู๋เริ่มกลายเป็นกอริลลาขึ้นทุกวันๆจนผมไม่สบายใจผมว่าคุณหมูพีควรรู้ได้แล้วว่าแฟนของตัวเองอยู่ในภาวะไม่ปกติ และเขาควรเลิกยัดเยียดงานให้พี่อู๋เสียทีเพราะอีกหน่อยสงครามโลกครั้งที่สามต้องเกิดขึ้นในซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดแน่ๆ
ครั้งหนึ่งคุณหมูพีหลอกพี่อู๋ไปงานบูธแฟร์อะไรซักอย่างเขาแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเน็กไทเรียบร้อย กางเกงสแล็คสีดำกับรองเท้าหนังทำให้พี่อู๋ดูดีผิดหูผิดตาผมเผลอมองเขาด้วยความชื่นชมอยู่นานในหัวเริ่มคิดว่าโตไปอยากเท่ได้ซักครึ่งหนึ่งของเขาจัง ผมอยากเป็นคนเก่งและมีเงินกินของอร่อยเยอะๆแบบพี่อู๋แต่ไม่ขอเป็นคนขี้เมานะ ไม่อยากเป็นภาระเดือดร้อนให้เพื่อนต้องแบกมาส่งที่ห้อง
“ไปงานอะไรเหรอพีต้องแต่งเต็มยศขนาดนี้?”
“งานเปิดบูธแฟร์อาหารนานาชาติที่โรงแรมไงบ้านเราก็ไปด้วย ยังไงพี่ไปกับเราหน่อยนะ พ่อกับแม่บ่นว่าไม่เห็นหน้าพี่นานแล้ว”
คุณหมูพีจัดเน็กไทให้พี่อู๋ก่อนจะบอกซินเดอเรลก้องให้เฝ้าบ้านดีๆผมรับปากว่าครับแล้วได้แต่มองพวกเขาตาละห้อยวันนี้เป็นอีกวันที่ต้องอยู่เงียบๆคนเดียว ห้องที่ไม่มีพี่อู๋ไม่สนุกเลยงานบ้านก็เสร็จหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะทำแล้ว ดังนั้นผมจึงนอนดูเน็ตฟลิกซ์ดูการ์ตูนญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีโอกาสดูด้วยความเพลิดเพลินแต่ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากที่พวกเขาออกจากบ้านไปประมาณสิบชั่วโมง พี่อู๋กับคุณหมูพีก็เดินปึงปังกลับเข้ามาในห้องพวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว
“พี่ -- เราไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่เราแค่อยากให้พี่ลองงานใหม่ๆบ้าง อีกอย่างเอเจนซี่ก็เคยติดต่อให้พี่แปลมาหลายครั้งแล้วคราวนี้เขาขาดคนจริงๆเพราะปีนี้มีงานประชุมแน่นมาก ล่ามเก่งๆที่ทำประจำโดนจองตัวกันหมดแล้วเขาก็เลยขอให้เราชวนพี่ เราแค่ไม่อยากให้พี่พลาดโอกาสดีๆ ไป อย่างน้อยพี่ก็ได้ประสบการณ์ล่ามsimul* ในงานใหญ่ๆไง” (Simultaneous
“มึงบอกว่าไม่หลอก แต่ไปถึงก็พากูส่งเอเจนซี่เลยนะ”
พี่อู๋พูดคำหยาบพลางถอดเน็กไทที่คุณหมูพีซื้อให้ทิ้งถังขยะ
“N1กูสอบมาสี่รอบแล้วยังไม่ผ่านนี่มึงหวังให้กูไปล่าม simul ในงานใหญ่โดยไม่บอกกันเลยเหรอถามจริงเถอะ เอเจนซี่ไหนมันดีลงานกับมึง มันกล้าเสี่ยงถึงขนาดจ้างล่ามทั้งๆที่ตัวล่ามเองยังไม่รู้เรื่องเลยเนี่ยนะต่อไปไม่ต้องเสือกรับงานให้กูอีก ถ้ามีคราวหน้า มึงต้องรับผิดชอบเองเพราะ กู --ไม่ -- ทำ”
ผู้ปกครองของผมกระทืบเท้าหายเข้าไปข้างในคุณหมูพีรีบวิ่งตาม แล้วพวกเขาก็ทะเลาะกันอย่างเคยกอริลลาก้องได้แต่นั่งฟังคำด่าที่สาดใส่กันด้วยสีหน้าเอือมระอาแต่ก็ยังแอบฟังดูเหมือนว่าคราวนี้คุณหมูพีทำเกินไปหน่อย เขาแอบรับงานแทนพี่อู๋จากเอเจนซี่ที่สนิทกันโดยไม่บอกผู้ปกครองของผมแถมเป็นงานเกี่ยวกับยาซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พี่อู๋ถนัด แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการล่ามแปลพร้อมเป็นงานที่พี่อู๋ทำไม่ได้เพราะเขาไม่สามารถฟังและแปลเป็นคำพูดได้ในเวลาเดียวกัน
“เอเจนซี่นั่นก็เหี้ยที่ไม่ติดต่อหากูโดยตรงแต่ที่เหี้ยกว่าคือมึง ไอ้พี มึงแม่งไม่เคยรู้อะไรเลยมึงคิดว่าล่ามสามารถแปลได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้เหรอ กูไม่เคยทำด้านยามาก่อน ศัพท์ก็ไม่ได้เตรียมไปมึงคิดว่ากูจะล่ามได้เหรอ ยิ่งล่าม simul อีกมึงส่งกูไปตายในตู้นั้นชัดๆ!”
หลังจากนั้นพี่อู๋ก็เอาแต่ด่าๆๆจนคุณหมูพีร้องไห้เขาถามว่าเขาผิดมากเหรอที่มั่นใจในตัวพี่อู๋จนอยากให้รับงานที่ท้าทายบ้าง พี่อู๋ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นมาหลายเดือนแล้วถ้าไม่ฝึกเลยจะลืมทุกอย่างที่เคยเรียนมาหมดนะ ผู้ปกครองของผมรีบสวนกลับทันทีว่าท้าทายห่าอะไรไม่รู้เหรอที่เพื่อนเอเจนซี่เหี้ยๆของมึงเลือกเขาเพราะจงใจประหยัดงบไม่จ้างคนเก่งเพราะสู้ค่าตัวไม่ไหว เพื่อนในวงการรู้กันทั้งนั้นว่าพี่อู๋ไม่เก่งพอจะล่ามsimul เลยด้วยซ้ำ มีแต่คุณหมูพีนั่นแหละที่ชอบเอาเขาไปอวดคนอื่นว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้แถมงานที่ต้องล่ามก็ไม่ใช่สายที่เขาเคยทำ ศัพท์ก็ไม่รู้ นี่ถ้าไม่มีล่ามอีกสองคนคอยสลับอยู่ในตู้ทุกสิบห้านาทีป่านนี้ได้ขายขี้หน้าคนทั้งงานแล้ว
พี่อู๋คงโกรธมากจริงๆถึงระเบิดเอาความในใจออกมาเขาบอกว่าตัวเองผ่านแค่ N2 จะสู้ล่าม N1 ที่ไปเรียนในญี่ปุ่นมาหลายปีได้ยังไงเขาทำงานบริษัทในไทยมาเกือบสิบปี ส่วนใหญ่ก็แค่ล่ามตามบทสนทนาในที่ประชุมกับทำงานเอกสารเท่านั้นแต่นี่มันเรื่องเหี้ยอะไร คุณหมูพีกลับส่งเขาเข้าตู้ล่ามในงานระดับใหญ่โดยไม่มีการบอกล่วงหน้าให้เตรียมตัวไม่มีเอกสารรายละเอียดเนื้อหาเกี่ยวกับงานจากนายจ้าง สัญญาก็ไม่ได้เซ็นแถมยังโดนล่ามในตู้อีกสองมองเหยียดเพราะแปลไม่คล่องอีก แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วพอเถอะพี กลับไปเลย ตอนนี้ไม่อยากเห็นหน้ามึงแล้ว
สุดท้ายทุกอย่างจบลงตรงที่คุณหมูพีโดนผลักออกจากห้องพี่อู๋ปิดประตูโครมเสียงดังแล้วเก็บตัวเงียบคนเดียวผมได้ยินเสียงคุณหมูพีร้องไห้พร้อมกับเคาะประตูขอให้พี่อู๋ออกมาคุยกันดีๆแต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนเท่าไหร่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ พี่อู๋คงชัตดาวน์ตัวเองไปแล้วเขาคงไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำขอโทษจากใครอีกแล้ว
นายก้องเกียรตินั่งกอดหมอนอิงเงียบๆบนโซฟาพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพราะกลัวว่าระเบิดจะตกใส่ตัวเอง คุณหมูพีสะอึกสะอื้นอีกพักใหญ่จึงเดินเข้ามาที่โถงนั่งเล่นตาเขาแดงก่ำและบวมช้ำจนน่ากลัว พอเราสบตากัน เขาก็จ้องผมเขม็งราวกับจะกล่าวโทษว่าต้นเหตุของสงครามคือนายก้องเกียรติที่นอนดูเน็ตฟลิกซ์ทั้งวันและยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ
“พี่อย่าร้องไห้เลยครับพี่อู๋โกรธง่ายหายเร็ว เขาคงเสียเซลฟ์ที่ทำงานออกมาได้ไม่ดีเฉยๆผมว่าพรุ่งนี้เขาก็ลืม เดี๋ยวพวกพี่ก็ดีกันเหมือนเดิม ทุกอย่างจะเหมือนเดิมครับ”
ผมพูดพร้อมกับแอบมองสีหน้าของเขาแน่นอนว่าไม่มีแม้แต่รอยยิ้มปลอมๆเหมือนอย่างเคย ท่าทางคำปลอบของกอริลลาจิตป่วยคงช่วยอะไรไม่ได้ดังนั้นผมจึงต้องพูดตรงๆชี้ให้คุณหมูพีเห็นปัญหาก่อนที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะแย่ลงจนต้องเลิกรากันไป
“จริงๆ -- ผมมีเรื่องอยากบอกพี่มาซักพักแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส”ผมเกริ่นนำ “เรื่องงานที่พี่หาให้พี่อู๋ ผมว่าช่วงนี้พี่อย่าเพิ่งกดดันพี่อู๋เลยดีกว่าครับพี่อู๋ยังเครียดๆ ผมว่าน่าจะปล่อยให้เขาพักอีกหน่อย --”
“ก้องจบโรงเรียนอะไรเหรอ?”
คุณหมูพีเปลี่ยนเรื่อง เมื่อผมตอบว่าโรงเรียนรัฐบาลแถวบ้านเขาก็เหยียดยิ้ม
“จบแค่มอหกแต่กล้าสอนคนจบปริญญาโทเหรอเดี๋ยวนี้ชักจะอวดดีเกินไปแล้วนะ แค่มีพี่อู๋คอยให้ท้าย ไม่ได้แปลว่าจะก้าวร้าวกับใครก็ได้”
ผมรู้สึกเหมือนโดนเหยียดหยามและไม่เข้าใจการแนะนำว่าอย่าเพิ่งกดดันพี่อู๋คือการก้าวร้าวตรงไหน หลังจากนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นคุณหมูพีแกล้งพูดลอยๆว่าไม่รู้ตัวเหรอว่าที่พี่อู๋ไม่ยอมออกไปทำงานก็เพราะใคร ที่เขาไม่คิดพัฒนาตัวเองก็เพราะใครที่พวกเขาต้องทะเลาะกันทุกวี่ทุกวันก็เพราะใคร
“เพราะก้องไง”
เขากล่าวโทษผม
“ตั้งแต่พี่อู๋เจอก้องรู้ไหมชีวิตเขาตกต่ำแค่ไหน ลำพังไม่มีงานก็ลำบากแล้ว แทนที่จะได้ออกไปทำงานทำการตามปกติกลับต้องอยู่เฝ้าบ้านจ่ายเงินดูแลเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยคำว่าจะฆ่าตัวตายๆ มันไม่ใช่เรื่องนะก้องพี่อู๋ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ไม่ใช่มูลนิธิ ไม่ใช่โรงทานทำไมเขาต้องรับผิดชอบชีวิตก้องด้วย”
ผมทั้งโกรธทั้งเจ็บใจที่ไม่กล้าตอกหน้าคุณหมูพีตรงๆว่าเหตุผลที่พี่อู๋ไม่ทำงานไม่ใช่เพราะต้องดูแลนายก้องเกียรติหรอกแต่เพราะเขาเสียความมั่นใจต่างหาก ทั้งเรื่องของเอมและเรื่องที่มีแฟนประสาทแดกแบบเขานั่นแหละที่ทำให้พี่อู๋กลายเป็นแบบนี้
“พี่อู๋ไม่ได้เอ็นดูหรือสงสารอะไรหรอกมันก็ตอแหลไปเรื่อย” คุณหมูพีพูดต่อ “พี่อู๋แค่เลี้ยงมึงไว้เอาฟรีต่างหากก็เหมือนผูกปิ่นโต เลี้ยงไว้ให้กินดีอยู่ดีจนตายใจแล้วค่อยสั่งให้ตอบแทนด้วยการนอนโก้งโค้งนอนให้มันเอาxxx ยัดเข้าตูดมึงไง”
ผมขมวดคิ้วแล้วจ้องหน้าหมูพี
ไอ้เหี้ย ไอ้ทุเรศ ไอ้หน้าสัส
ผมสบถด่าในใจ ไอ้หมูบ้ากล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไงเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันพี่อู๋ไม่เคยลวนลามผมเลยเราอยู่กันแบบพี่น้อง ดูแลเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน คนนอกอย่างมึงจะมาเข้าใจอะไรคนขี้หึงจนหน้ามืดและเป็นโรคจิตที่ดีแต่สร้างปัญหาแบบมึงมีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงพี่อู๋ในแง่ร้าย
ไอ้ชาติหมา
“พูดตรงๆเลยนะ กูไม่สบายใจที่มึงอยู่ที่นี่”
ไอ้หมูพีมองหน้าผม สรรพนามที่เคยเรียกกันอย่างสุภาพหายไปแล้วก็ดี พูดมึงกูกันเลย ผมพร้อมจะระเบิดใส่เขาเหมือนกัน
“ต่อให้บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับแฟนกูก็เถอะแต่สำหรับกู แค่รู้ว่าพี่อู๋เอาเด็กมานอนด้วยก็เจ็บใจมากพอแล้วยิ่งรู้ว่าเด็กคนนั้นทำให้ชีวิตเขาพังอีกคิดว่ากูแฮปปี้กับการสงเคราะห์เด็กจรจัดแบบมึงนักเหรอ? พอทีเถอะ เราไม่ต้องเสแสร้งใส่กันอีกแล้วบอกตรงๆเลยว่ากูไม่ชอบมึง มึงทำชีวิตพี่อู๋พัง และกูอยากให้มึงย้ายออกไปตอนนี้ --เดี๋ยวนี้”
ผมเถียงไม่ออกเพราะที่หมูพีพูดมาก็จริงเกือบทุกอย่างผมมันแค่กาฝากที่เกาะพี่อู๋กิน แต่สาเหตุที่พี่อู๋เลื่อนลอยไม่ทำงานนั้นไม่ใช่เพราะนายก้องเกียรติแต่เพราะนายญี่ปุ่นเฮงซวยนั่นต่างหากไอ้หมอนั่นทำลายความมั่นใจของพี่อู๋จนเขาเครียด ไหนจะเรื่องของเอม และความประสาทแดกของหมูพีที่ชอบตบตีเขาอีกทุกอย่างไม่ใช่เพราะผมคนเดียว สาเหตุไม่ได้มาจากกอริลลาก้องอย่างที่ใครๆคิด
“หน้าตามึงก็ดี ยังเด็กๆใสๆอยู่ กูหาคนผูกปิ่นโตคนใหม่ให้เอาไหม?จะหาให้รวยกว่าพี่อู๋ เอาให้มึงอยู่หรูนอนสบายกว่าตอนนี้เลยด้วย ดีหรือเปล่า?”
หมูพีถามในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจผูกปิ่นโตคืออะไร หมายความว่าเป็นเด็กเสี่ยทำนองนั้นเหรอ นี่มันชักจะเกินไปแล้วผมไม่ได้ขายตัวนะ ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาตัวเข้าแลกกับพี่อู๋ด้วยเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายขออุปการะผมจากลุงชัย เขาเลี้ยงผมเหมือนเลี้ยงเอม เราไม่เคยมีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนความคิดสกปรกของใครบางคน
“ผมไม่คิดเลยว่าคนจบปริญญาโทจะคิดต่ำๆยิ่งกว่าคุณโสแถวสนามหลวง”
ผมเชิดหน้ามองหมูพีโดยไม่เกรงกลัวผมไม่มีอะไรจะเสียและอดทนกับความงี่เง่าของเขามามากพอแล้ว วันนี้ทุกอย่างต้องจบหมูพีควรรู้ว่าผมก็เป็นคน ผมมีศักดิ์ศรี มีแม่คอยสั่งสอนเลี้ยงดูมาจนเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้นายก้องเกียรติไม่ใช่ขยะที่เขาจะเหยียบย่ำด้วยคำพูดได้
“ตอนแรกผมสงสารพี่แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมความสัมพันธ์ของพวกพี่ถึงระหองระแหงเหมือนจะไปกันไม่รอดเพราะพี่แม่งไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับแฟนตัวเองเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่อู๋กำลังป่วยเพราะวันๆพี่สนใจแค่เรื่องของตัวเองคิดแค่อยากครอบครองพี่อู๋ อยากให้เขาเป็นของตัวเองคนเดียว แต่เคยรู้บ้างไหมว่าเขารู้สึกยังไงพี่อู๋จะเป็นบ้าตายก็เพราะพี่นั่นแหละ เขาเครียดจนติดเหล้าติดเซ็กส์ก็เพราะใครล่ะไอ้หมูบ้า!”
นั่นคือประโยคยาวที่สุดที่ผมพอจะจำได้หลังจากนั้นกอริลลาก้องก็อาละวาดด้วยการตะคอกใส่คุณหมูพีเหมือนคนเก็บกดมานานพอกันที ผมอดทนมามากพอแล้ว พี่อู๋เจ็บตัวก็เพราะมัน เขาต้องเสียความมั่นใจต้องอับอายขายหน้าในวันนี้ก็เพราะมันทุกอย่างเป็นเพราะไอ้หมูเวรนี่ทั้งนั้นแต่กลับไม่รู้ตัว
เก็บความหวังดีที่มีแต่ทำร้ายพี่อู๋ไปเถอะวันนี้ -- ผมจะสั่งสอนมัน
ผมจะบอกให้มันรู้ทุกเรื่อง และจะตอกย้ำด้วยว่ามันเป็นแฟนที่ส้นตีนแค่ไหนขนาดพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพี่อู๋มันยังไม่เอะใจคิดแค่ว่าดีแล้วที่ได้ออกไปเมาเหล้าเอากันทุกคืน ถ้ารักพี่อู๋แบบผิดๆก็อย่ารักเลยดีกว่าปล่อยเขาไปเถอะ เขาสมควรเจอคนดีๆที่เข้าอกเข้าใจ ไม่ใช่ไอ้หมูบ้าที่ชอบใช้กำลังข่มขู่ทำร้ายตัวเองแบบนี้
ผมยังบอกเหตุผลให้หมูพีรู้อีกว่าที่พี่อู๋ไม่ยอมหางานทำเพราะเขาโดนไล่ออกเป็นการไล่ออกที่โคตรไม่ยุติธรรมและหักหน้าเขาด้วย พี่อู๋ไม่ได้โบนัสซักเดือน แถมยังโดนจ่ายค่าเสียหายบ้าบอจากการแปลผิดพลาดตั้งเกือบแสนทั้งๆที่พี่อู๋เจอเรื่องหนักขนาดนี้แต่คนเป็นแฟนอย่างมันกลับไม่รู้อะไรเลยวันๆเอาแต่ชวนกันไปกินเหล้าเพราะชอบให้เขาเมาแล้วออดอ้อนตอนพี่อู๋สร่างก็ไม่คิดจะดูแลถามไถ่ความเป็นไปของเขาเลยคิดว่าอาหารดีๆพวกนั้นช่วยพี่อู๋ได้เหรอคิดว่าเหล้าและเซ็กส์ทำให้พี่อู๋มีความสุขจริงเหรอพิจารณาเอาเองก็แล้วกันว่าคุณเป็นแฟนประเภทไหนที่พี่อู๋ไม่อยากแชร์เรื่องราวทุกอย่างให้รู้คุณมีค่าแค่ตอนเขาเมาเท่านั้นแหละ เขาแค่อยากเอาคุณ เขาไม่ได้รักคุณแล้ว ได้ยินไหมพี่อู๋หมดรักคุณไปตั้งนานแล้ว ไม่มีใครทนแฟนประสาทแดกที่ชอบใช้กำลังแบบคุณได้หรอกคุณมัน --
เพล้ง
เสียงจานแตก หลังจากนั้นคุณหมูพีกระโดดพุ่งเข้าใส่ผมเหมือนหมาบ้า
ช่วงเวลานั้นชุลมุนจนเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้ผมรู้แค่ว่าโดนคุณหมูพีผลักลงบนพื้นแล้วตบหัวอย่างเอาเป็นเอาตายเขากรีดร้องเหมือนสัตว์ป่าคุ้มคลั่งพร้อมกับตะโกนใส่หน้ากอริลลาก้องว่า มึงตาย
พอเราแยกกันได้ซักพักก็พุ่งใส่กันอีกข้าวของบนโต๊ะร่วงแตกเป็นเศษเล็กๆเต็มไปหมด พจนานุกรมเล่มหนาเป็นนิ้วถูกปาใส่หัวผมน่าเสียดายที่ผมไม่ใช่พี่อู๋ ผมไม่เคยรับมือกับอาการนรกแตกแบบนี้มาก่อนดังนั้นผมจึงเป็นฝ่ายโดนทำร้ายมากกว่าลงมือ ผมโดนคุณหมูพีวิ่งกวดจนสะดุดขาตัวเองล้มเขาฉวยหยิบเศษจานชิ้นใหญ่ที่แตกเกลื่อนพื้นขึ้นมาแล้วทิ่มผมอย่างเอาเป็นเอาตาย
ผมกรีดร้อง
“พี่อู๋!! -- ”
เหมือนความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเมื่อเศษจานเฉียดผ่านคอไปมาอยู่หลายหนแต่ที่โดนหนักหน่อยน่าจะเป็นแขนเพราะผมยกขึ้นมาป้องกันตัว คุณหมูพีที่กำลังคุ้มคลั่งฝากรอยบาดจนเลือดซิบไว้บนร่างกายของกอริลลาก้องหลายจุดหลังจากพยายามปาดคอผมอยู่นานในที่สุดเขาก็ได้โอกาสกดเศษจานลงบนลูกกระเดือกแต่ดันพลาดไปโดนปลายคางเพราะผมรีบหดคอลงตามสัญชาติญาณ
“มึงทำบ้าอะไรเนี่ย!!!!!!!”
ทันทีที่เสียงของพี่อู๋ดังขึ้นคุณหมูพีก็ถูกผลักกระเด็นจนชนขอบโต๊ะ ส่วนกอริลลาก้องถูกพยุงขึ้นโดยผู้ปกครองพี่อู๋มองสำรวจตามจุดต่างๆของผม พอเห็นเลือดไหลซึมทั้งแขนทั้งคางทั้งหางคิ้วเขาก็อาละวาดหนักกว่าที่คุณหมูพีเคยทำเสียอีก
“เป็นบ้าอะไรอีกวะ?!!!
พี่อู๋ตะคอกถาม เขาเอาตัวบังผมไว้ราวกับจะปกป้องแต่มันสายไปแล้วผมเจ็บไปทั้งตัว เลือดซึมออกมาเรื่อยๆจนเริ่มไหลถึงปลายนิ้วผมว่าสงครามโลกครั้งที่สามของจริงเริ่มต้นขึ้นแล้ว คุณหมูพีค่อยๆลุกขึ้นยืน เขามองมาที่ผมกับพี่อู๋ด้วยแววตาอาฆาตแค้นก่อนจะเริ่มสาดความในใจออกมาด้วยน้ำเสียงราบนิ่งต่างจากปกติมันเป็นบทสนทนาที่ไม่มีการตัดพ้อหรือโวยวาย แต่แค่พูดกันตรงๆด้วยเหตุผลและชัดเจนเหมือนพวกผู้ใหญ่คุยกัน
“ที่ไอ้เด็กนั่นบอกว่าพี่โดนไล่ออก-- เรื่องจริงเหรอ?”
ผู้ปกครองของผมพยักหน้ารับ เมื่อหมูพีถามต่อถามว่าที่ไม่อยากหางานก็เพราะรับไม่ได้ที่ตัวเองพลาดใช่ไหมพี่อู๋ก็พยักหน้ารับอีก คราวนี้คุณหมูพีน้ำตาไหล เขาร้องไห้เงียบๆแต่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแววตาที่เขามองมาทางพี่อู๋นั้นแฝงไปด้วยความรักและความรู้สึกผิดในเวลาเดียวกันผมเห็นคุณหมูพียืนใจสลายอยู่ตรงข้าม เขาคงเจ็บปวดมากเมื่อรู้ว่าความรักความปรารถนาดีของเขาทำร้ายพี่อู๋มาโดยตลอด
“ทำไมพี่ไม่บอกเรา”
“พี่ไม่อยากพูดถึง”
“พี่ไม่เห็นต้องอายเลย ก็แค่ตกงานหรือเปล่าวะใครๆก็โดนไล่ออกได้ทั้งนั้น”
“ความภูมิใจของเราไม่เหมือนกันนะพี”
ผู้ปกครองของผมตอบเรียบๆ เขาไม่อธิบายเพิ่มว่าทำไมนอกจากยืนจ้องหน้าแฟนหนุ่มนานหลายวินาทีคุณหมูพียังคงร้องไห้จนผมรู้สึกสงสารแต่ความสงสารนั้นไม่ช่วยให้ผมหายเกลียดเขาเพราะผมแยกความรู้สึกระหว่างสองสิ่งนี้ได้
“อีกแค่สามเดือนก็ครบรอบสิบปีของเราแล้ว”
“พี่รู้”
“แล้วพี่รู้ไหมว่าเรารักพี่มากจนให้ทุกอย่างได้”
“พี่รู้”
พี่อู๋ตอบ ริมฝีปากของคุณหมูพีสั่นจนพูดเป็นคำๆไม่ได้เขาเริ่มพึมพำเกี่ยวกับความทรงจำแสนหวานของพวกเขาตลอดสิบปีก่อนจะถามพี่อู๋ว่าสรุปที่ผ่านมาพี่คบกับเขาเพราะเซ็กส์ใช่ไหม ผู้ปกครองของผมส่ายหน้าทันทีเขาตอบว่าเซ็กส์ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้เขาอดทนคบกับคุณหมูพีแต่เป็นเพราะความสงสารต่างหาก
พี่อู๋แค่สงสารคุณหมูพีจนตัดใจทิ้งไม่ลงคนที่เจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจแบบเขาคงไม่มีใครรับมือได้ดังนั้นพี่อู๋ก็เลยอดทนมาหลายปี เขาทน จนถึงจุดที่ไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว
คำตอบของพี่อู๋ทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมไม่ต้องเดาเลยว่าต่อไปเกิดอะไรขึ้น คุณหมูพียังคงร้องไห้แต่ไม่อาละวาดผมรู้สึกว่าทุกอย่างดูแปลกไป พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงเหมือนเช่นทุกทีจนผมนึกสงสัยในเมื่อเคลียร์กันดีๆก็ได้นี่นา แล้วที่ผ่านมาพวกเขาทำร้ายร่างกายกันไปทำไม
“รู้ไหม? พี่ทำให้เรารู้สึกว่าสิบปีของเราสองคนไม่มีความหมายเลย”คุณหมูพีตัดพ้อ “ทั้งๆที่เราทำเพื่อพี่ทุกอย่างเราอยู่กับพี่ตลอดเวลา ตอนพี่เกือบติดเอฟเราก็หาติวเตอร์มาติวให้ตอนพี่ขับมอเตอร์ไซต์ชนฟุตปาธ เราก็นอนเฝ้าพี่เป็นอาทิตย์ เราผ่านเรื่องดีและร้ายด้วยกันมาตั้งเยอะแต่ทำไมพี่ถึง -- ทำไม --”
“พี่ขอโทษ”
แค่นั้นก็ชัดเจนสำหรับพวกเขาสองคนแล้วพี่อู๋มองหน้าคุณหมูพีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันมาหากอริลลาก้องที่ยืนน้ำตาคลอด้านหลังไม่ใช่เพราะเศร้ากับคำพูดของคุณหมูพี แต่เป็นเพราะเริ่มเจ็บแผลต่างหากพอเห็นแบบนั้นเขาก็กระซิบบอกว่าเดี๋ยวไปหาหมอกันนะ แต่ยังไม่ทันได้ตอบตกลงคุณหมูพีก็ระบายความในใจและถามคำถามสุดท้าย
“เรารู้ว่าตัวเองไม่ปกติเรารู้ว่าเราชอบใช้อารมณ์ ถ้าการเลิกกันครั้งนี้เป็นเพราะพี่เบื่อที่เราคุมตัวเองไม่ได้เบื่อที่ต้องเจ็บตัวเพราะเราทำร้ายพี่ เราจะไม่โกรธเลยเพราะเราผิดเองที่เป็นบ้าแต่พี่ช่วยตอบตรงๆอย่างนึงได้ไหม?”
“ได้สิ” พี่อู๋ขานรับ
“พี่ไม่ได้มีคนใหม่ใช่ไหม?”
“ไม่มี ตลอดสิบปีที่ผ่านมาพีคือแฟนคนเดียวของพี่”
“ไม่ใช่ เราหมายถึงคนที่พี่ชอบ”คุณหมูพีน้ำตาไหลอีกครั้ง “พี่ไม่ได้กำลังชอบคนอื่นที่ไม่ใช่เราใช่ไหม?”
น้ำเสียงของคุณพีรพัฒน์นิ่งจนผมเริ่มหวั่นใจเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนสึนามิที่จู่ๆน้ำทะเลก็ลดอย่างรวดเร็วก่อนจะตามมาด้วยคลื่นลูกใหญ่นั่นคือสิ่งที่ผมมองเห็นในตอนนี้ความใจเย็นและสงบนิ่งของคุณหมูพีน่ากลัวว่าตอนเขาอาละวาดเสียอีกแต่ที่น่ากลัวที่สุดคือคำตอบของพี่อู๋มันอาจชี้เป็นชี้ตายของเหตุการณ์หลังจากนี้ได้เลย
“พี่ขอโทษ”
“สรุปก็คือ --
พวกเขาคุยกันเป็นนัยแฝงสายตาของคุณพีรพัฒน์เหลือบมองผมก่อนจะเบนกลับไปที่พี่อู๋อีกครั้งด้วยความคาดหวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่กังวล
“ใช่”
พี่อู๋ยอมรับตรงๆ แต่ผมไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“พี่ขอโทษที่ไม่กล้าบอกตรงๆเพราะกลัวพีเสียใจจนฆ่าตัวตายพี่ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องตายอีกแล้ว พีเข้าใจพี่ใช่ไหม?”
แต่คุณหมูพีส่ายหน้าผมเริ่มกลัวนิดหน่อย
อย่าเชียวนะ
ผมคิดในใจ
อย่าทำแบบนั้นต่อหน้าเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างผมเลยนะ
“พี่จะพูดคำนั้นหรือจะให้เราพูด?”
คุณหมูพีถาม พี่อู๋นิ่งไปพักใหญ่ แววตาของเขาก็เศร้าไม่แพ้กันแต่เขายังมีความกล้ามากพอที่จะบอกสิ่งตัวเองต้องการ
และเป็นสิ่งที่คุณหมูพีไม่อยากได้ยินมากที่สุด
พี่อู๋บอกหลังจากนั้นก็ตามด้วยคำอธิบายสั้นๆว่าถ้าฝืนคบกันต่อไปมีแต่จะทรมานด้วยกันทั้งคู่พี่หมดรักหมูพีมาซักระยะและเริ่มทนไม่ไหวที่ต้องเจ็บตัวซ้ำๆเวลาทะเลาะกัน พีเองก็เบื่อที่ต้องระแวงว่าพี่จะมีคนใหม่เพราะฉะนั้นจากกันด้วยดีเถอะ หลังจากนี้พีจะยังเป็นน้องชายของพี่เสมอขอบคุณสำหรับสิบปีที่ผ่านมา พี่มีความสุขมากที่มีพีอยู่ด้วยในช่วงวัยรุ่น ขอบคุณนะขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ
คุณหมูพีร้องไห้เงียบๆไม่โวยวายหรือขว้างปาสิ่งของใส่พี่อู๋เขามองมาทางพวกเราด้วยแววตาเจ็บปวดจนเหมือนคนพร้อมจะขาดใจตายทุกเมื่อใบหน้าของคุณหมูพีแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากไม่ยอมหยุดตั้งแต่พี่อู๋พูดประโยคนั้นออกมาหลังจากที่ห้องตกอยู่ในความอึดอัดเกือบๆนาทีในที่สุดคุณหมูพีก็ได้สติและเริ่มบอกลา
“เราก็อยากขอบคุณพี่สำหรับทุกอย่างเหมือนกันรู้เอาไว้นะว่าเรารักพี่มาก หมูพีจะรักพี่อู๋คนเดียว และรักตลอดไป”
ผมใจไม่ดีแล้ว
“แต่จะให้กลับไปเป็นน้องชายเราคงทำไม่ได้”เขากำเศษจานในมือแน่น ผมกับพี่อู๋เริ่มรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น “
“พี -- อย่าทำแบบนั้นเลยพี่ขอร้อง”
พี่อู๋อ้อนวอนแต่สายไปแล้วคุณหมูพีบอกรักพี่อู๋ครั้งสุดท้ายแล้วกระหน่ำกรีดข้อมือตัวเองซ้ำๆจนเลือดสาดเต็มพื้นผู้ปกครองของผมทิ้งผมไว้ข้างหลังเพื่อรีบไปหาแฟน เขาแย่งเอาเศษจานออกจากมือคุณหมูพีก่อนจะดึงมากอดแน่นเพื่อปลอบให้สงบลง
“พอเถอะนะพี อย่าทำแบบนี้เลยอย่าทำแบบนี้กับพี่เลย”
พี่อู๋อ้อนวอนขอร้องด้วยน้ำเสียงจะเป็นจะตายยิ่งกว่าคืนที่เราทะเลาะกันเสียอีกผมรู้สึกได้ถึงความใส่ใจที่ไม่เท่ากันพี่อู๋ให้คุณหมูพีมากกว่านายก้องเกียรติหลายเท่า นั้นคือสิ่งที่ผมเพิ่งรู้
“มาเถอะ พี่จะพาไปโรงพยาบาลอดทนไว้นะ พี่ขอโทษจริงๆ ขอโทษที่ทำให้พีเสียใจ”
แล้วพี่อู๋ก็จูบหน้าผากคุณหมูพีการกระทำทั้งหมดของเขาอยู่ในสายตาของกอริลลาที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดไม่ต่างกันผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่มีวันเลิกกันได้หรอก ตราบใดที่คุณหมูพีทำแบบนี้และพี่อู๋ใจอ่อนกับการฆ่าตัวตายแบบนี้พวกเขาคงต้องอยู่เป็นคู่เวรคู่กรรมไปจนวันตายนั่นแหละ
พี่อู๋แบกคุณหมูพีขึ้นหลังแล้วรีบออกจากห้องไปทิ้งกอริลลาก้องที่กำลังบาดเจ็บไว้เบื้องหลังโดยไม่แม้แต่จะหันหลับมามองผมจ้องบานประตูที่เปิดทิ้งไว้ก่อนจะเดินไปปิด ห้องกลับมาเงียบอีกครั้งเหลือเพียงผมยืนอยู่คนเดียวกลางห้องที่ท่วมไปด้วยเลือดของคุณพีรพัฒน์และเลือดตัวเองผมยกแขนขึ้นมาดูเพราะอยากรู้ว่ามันแย่ขนาดไหน มีแค่รอยบาดเล็กๆน้อยๆ เหวอะบ้างถากบ้าง ไม่ได้โดนกรีดลึกถึงกระดูกเหมือนใครอีกคนจนต้องไปโรงพยาบาล
ช่างมันเถอะ
แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก
ผมเข้าใจว่าคนที่เจ็บหนักกว่าย่อมได้รับความสนใจมากกว่าเป็นธรรมดาแต่ไหนๆก็จะไปโรงพยาบาลแล้ว ทำไมไม่พาผมไปด้วยทำไมไม่หันมาบอกผมให้ขึ้นรถไปด้วยกัน ทำไมไม่ถามว่าเจ็บไหม ไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งๆที่ก่อนหน้าแสดงออกว่าเป็นห่วงผมมากกว่าคุณหมูพีตั้งเยอะแต่พออีกฝ่ายเอาแก้วกรีดแขนตัวเอง พี่อู๋ก็ทิ้งผมแล้วไปกับแฟนหน้าตาเฉยไม่สนใจเลยว่ากอริลลาก้องเจ็บไหม ไหวหรือเปล่า เลือดหยุดไหลหรือยังไม่แม้กระทั่งชายตามองเลย
นายก้องเกียรติที่ตัวเปรอะเลือดมองเงาตัวเองในกระจกเลือดเริ่มแห้งกรังแล้ว แต่ที่ยังเปียกอยู่คือแก้มของผมเองมันเป็นน้ำตาที่เกิดจากความน้อยใจ แต่ซักพักก็สำเหนียกได้ว่าผมมันกาฝาก เป็นเด็กเหลือขอที่เขาเก็บมาเลี้ยงดูจะหวังให้เขามารักมาสนใจมากกว่าแฟนคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผมจึงเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบแบงค์ห้าร้อยที่ลุงชัยให้ไว้ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วกดลิฟต์ไปชั้นล่างเพื่อซื้อเบตาดีนกับปลาสเตอร์ยาที่เซเว่นหน้าปากซอย
ทุกย่างก้าวที่มุ่งหน้าไปร้านสะดวกซื้อบีบคั้นเอาน้ำตาจากกอริลลาก้องผมร้องหนักขึ้นเรื่อยๆจนต้องหยุดนั่งบนบันไดหน้าธนาคารกสิกรเพื่อระบายเต็มที่เมื่อน้ำตาเริ่มเหือดแห้งถึงเดินเข้าเซเว่นเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำแผลชีวิตมันก็แบบนี้แหละ ผมรำพึง ในเมื่อไม่มีแม่ ไม่มีเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือแล้วก็ต้องดูแลตัวเองต่อไปจนกว่าจะตาย
เมื่อซื้อของเสร็จก็เดินกลับห้องลุงยามถามด้วยสีหน้าตื่นตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น โดนใครทำอะไรมา ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปโรงพยาบาลดีไหม เผื่อติดเชื้อบาดทะยัก เผื่อต้องเย็บคิ้วด้วยนะ มาสิลุงจะออกไปโบกแท็กซี่ให้
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
ผมตอบด้วยความซาบซึ้งแล้วขอตัวกลับขึ้นห้องทันทีที่อยู่ในลิฟต์เพียงลำพังผมก็สะอื้นออกมาเสียงดังเหมือนคนบ้าพร้อมกับท่องในใจซ้ำๆ
อยู่ให้ได้นะก้องเกียรติ ต้องอยู่คนเดียวให้ได้
เพราะหลังจากนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in