นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามยี่สิบเจ็ดนาที
กอริลลาก้องเริ่มมีความคิดอยากเตะคุณหมูพีแรงๆซักเปรี้ยงเพราะคืนนี้เขาพานายอุรัสยาไปท่องราตรีอีกแล้วทั้งๆที่พี่อู๋พยายามบ่ายเบี่ยงด้วยคำแก้ตัวห่วยๆแต่คุณหมูพีก็ลากเขาออกจากบ้านจนได้ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นความผิดของคุณหมูพีคนเดียว ไอ้พี่อู๋นี่ตัวดีเลย ปากบอกว่าจะไม่ไปจะอยู่เป็นเพื่อนก้อง เป็นห่วงก้อง ไม่อยากให้ก้องรอ แต่กลับเอาความผีเข้าผีออกของคุณหมูพีมาบังหน้าแล้วเปลี่ยนคำพูดพี่ต้องไปจริงๆนะก้อง ถ้าไม่ไปพีต้องโมโหแน่ๆ
ต่อให้คนที่ได้ยินเป็นไอ้แดงมันก็คงหอนเสียงสองว่าตอแหลเหมือนที่ผมคิด
ซึ่งพี่อู๋รู้แน่ว่าผมไม่พอใจ แต่เขาก็สรรหาวิธีทำให้กอริลลาก้องโกรธไม่ลงจนได้เดี๋ยวนี้เวลากลับจากข้าวสารเขาชอบทำตัวตลกๆให้ผมหลุดขำ ครั้งหนึ่งพี่อู๋ทั้งร้องทั้งเต้นเพลงผีเสื้อราตรีด้วยจริตแคทรียาจนคำด่าในหัวหายวับไปในพริบตาผมไม่อะไรพูดออก ได้แต่เก็บเสื้อผ้าที่เขาถอดทิ้งเรี่ยราดแล้วเข้านอนพร้อมผู้ปกครองที่ไม่ยอมหยุดร้องเพลงเสียที
“ก้องงงง”
เสียงมาก่อนตัวแบบนี้ เดาได้เลยว่าคงหัวทิ่มเรี่ยราดเหมือนคืนก่อนผมรีบเดินไปหน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งของพวกกุญแจ พอบานประตูเปิดออกผมก็เห็นพี่อู๋ยืนยิ้มแฉ่งกับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณหมูพี
“น้องก้องใช่ไหม?”
“ครับ”
“พี่ชื่อตั้มนะเป็นเพื่อนไอ้ขี้เมา” เขาแนะนำตัว ผมรีบยกมือไหว้เมื่อรู้ว่าเขาคือเพื่อนของผู้ปกครอง“พาไอ้อู๋ไปนอนเถอะ พี่แค่แวะมาฉี่น่ะ”
ผู้ชายคนนั้นบอก ผมเข้าไปพยุงคุณอุรัสยาที่เดินหลังคู้ทันทีวันนี้พี่อู๋มาแปลก เขาไม่ร้องหรือเต้นเพลงผีเสื้อราตรีแล้ว แต่ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนอยากอ้วกตลอดเวลา
“พี่ไหวไหมเนี่ย?”
ผมถามขณะที่ย่อตัวลงถอดรองเท้าให้ พี่อู๋ไม่ตอบเขายืนโงนเงนไปมาจนผมชักเป็นห่วง แต่จังหวะที่เงยหน้ามองผู้ปกครอง อ้วกอุ่นๆก็พุ่งออกจากปากเขาราดลงบนหัวกอริลลาก้อง จนไหลย้อยไปถึงคาง
ไอ้
“เชี่ย”
พี่ตั้มรีบเข้ามาช่วยพาคนขี้เมาไปนอนในห้องใหญ่แต่ระหว่างทางเขาก็ยังแหวะออกมาเป็นกองเล็กๆเรี่ยราดอีกสองสามจุด ผมได้แต่มองของเสียบนพื้นพร้อมกับกำหมัดแน่นทั้งโมโห ทั้งขยะแขยงจนต้องรีบเดินเข้าห้องน้ำเล็กเพื่อล้างอ้วกออกจากหัว เศษข้าวที่ยังย่อยไม่หมดติดเป็นเม็ดๆตามไรผมยิ่งใช้มือสางก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นอะไร ไอ้พี่อู๋เพิ่งกินข้าวมันไก่มาแน่ๆ เพราะผมเห็นหนังไก่ที่ย่อยไม่หมดและได้กลิ่นน้ำจิ้มเปรี้ยวๆด้วย
“น้องก้องครับ รอแป๊ปนึงนะเดี๋ยวพี่ออกไปช่วยเช็ด”
พี่ตั้มตะโกนบอกผมขานตอบแค่ครับแล้วทำความสะอาดตัวเองต่อ เมื่อเช็กจนแน่ใจว่าไม่มีเศษข้าวมันไก่ติดบนหัวผมจึงเปิดน้ำใส่ถังและเทน้ำยาถูพื้นสองฝาจากนั้นก็ออกไปเช็ดสิ่งที่พี่อู๋ปล่อยทิ้งเอาไว้บนพื้นตั้งแต่หน้าประตูถึงห้องนอนใหญ่มือหนึ่งใช้ทิชชู่โกยเศษข้าวใส่ถังขยะ อีกมือก็เอาผ้าชุบน้ำยาตามเช็ดเรื่อยๆผมทั้งเหม็นทั้งเหนื่อยจนเริ่มพาล อยากสาดน้ำเปื้อนอ้วกใส่หน้าไอ้พี่อู๋ซักครั้งโทษฐานทำตัวไม่ดีที่จริงผมน่าจะปล่อยให้เขานอนจมกองอ้วกตัวเองเผื่อวันหลังจะสำนึกได้ว่าไม่ควรออกไปกินเหล้าตั้งแต่แรก
เสียงไอแหบแห้งดังลอดผ่านบานประตูที่แง้มอยู่ผมได้ยินพี่ตั้มตบหลังพี่อู๋เบาๆแล้วส่งถังขยะให้ ผู้ปกครองของผมอ้วกเอาเป็นเอาตายเขาโก่งคอเสียงดังราวกับจะเค้นเอาน้ำย่อยออกจากกระเพาะให้หมดจนหยดสุดท้าย
“อู๋ กูถามจริงเถอะช่วงนี้มึงเป็นอะไรวะ?”
คำถามของพี่ตั้มเรียกความสนใจซินเดอเรลก้องหยุดทำความสะอาด รีบคลานเข่าไปใกล้บานประตูเพื่อแอบฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่
“ปกติมึงบ้างานจะตาย ข้าวสารก็แทบไม่ไปทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นแบบนี้วะ? มึงเป็นอะไร ทะเลาะกับหมูพีเหรอ?”
“เปล่า” พี่อู๋ตอบเสียงดูหมดเรี่ยวหมดแรงกว่าที่คิดไว้ “ช่วงนี้กูนอนไม่หลับต้องกินเหล้านิดๆหน่อยๆถึงหลับง่าย”
“นอนไม่หลับก็ไปหาหมอหรือถ้าไม่อยากไปทำไมไม่โทรคุยกับพ่อ พ่อมึงเป็นหมอไม่ใช่เหรอ?”
“โทรทำไม กูไม่ได้เป็นอะไร”
“เป็น เป็นมากด้วยช่วงนี้มึงทำตัวแปลกๆจนพวกไอ้โจคิดว่ามึงป่วยแล้ว”
ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าพี่อู๋ป่วยเป็นอะไรตอนอยู่ด้วยกันเขาก็ดูสบายดี แม้แต่คุณหมูพีที่เป็นแฟนยังไม่เคยเอะใจหรือรบเร้าขอให้เขาไปหาหมอเลย
“ยังเสียใจเรื่องงานเหรอ? อย่าคิดมากสิวะไม่ใช่แค่มึงคนเดียวที่โดนไล่ออก”
ผมอึ้งเมื่อได้ยินคำว่าไล่ออกเพราะจำได้ว่าครั้งแรกที่ไปกินสตาร์บัคส์ด้วยกันเขาบอกผมว่ากำลังจะลาออกตอนสิ้นเดือนแต่พี่ตั้มเพิ่งเฉลยความจริงว่าพี่อู๋ต่างหากที่โดนไล่ออกแถมเป็นการไล่ออกที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาและดูเหมือนว่าพี่อู๋จะเสียความมั่นใจเพราะเรื่องนี้มาก
ผู้ปกครองของผมด่านายจ้างให้พี่ตั้มฟังเกี่ยวกับการประท้วงในบริษัทพี่อู๋เป็นคนกลางเขามีหน้าที่แปลก็แปลตามข้อความที่ทั้งสองฝ่ายพยายามเจรจาต่อรองกัน แต่ความซวยก็คือหัวหน้าคนงานตอบไม่ตรงคำถามเขาพูดไปเรื่อย อ้างนั่นอ้างนี่จนนายญี่ปุ่นโมโห พอปัญหายืดเยื้อหลายสัปดาห์เจ้านายก็โทษพี่อู๋หาว่าพี่อู๋ไม่ตั้งใจแปล แปลผิด หาว่าเข้าข้างหัวหน้าคนงานบ้างไม่ใส่ใจทำงานเหมือนตอนเอมยังไม่ตายบ้าง หนักเข้าคือด่าพี่อู๋กลางที่ประชุมต่อหน้าพวกผู้บริหารสำหรับคนที่มีประสบการณ์เกือบสิบปีมีเหรอจะทนได้ เขาทำงานถวายหัวให้บริษัทนี้มาสี่ปีสุดท้ายจบกันแบบนี้จะไม่ให้เสียเซลฟ์ได้ยังไง เขาไม่เคยโดนไล่ออกมาก่อนเลยมีแต่ชิงลาออกเพื่อปรับเงินเดือนเท่านั้นเรื่องนี้จึงละเอียดอ่อนสำหรับพี่อู๋พอสมควร เขาเคยเป็นคนมั่นใจในตัวเอง เขาเชื่อว่าตัวเองเก่งจนเลือกงานที่ไหนก็ได้ต่อรองเรียกเงินเดือนเฉียดแสนก็เคยทำมาแล้ว แต่บริษัทนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นล่ามกระจอกๆที่ไม่มีความสามารถมากพอจะทำงานจนจบเดือน
ถ้าถามผม ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาคือความสงสารผมสงสารเขาที่ต้องเสียความมั่นใจตอนอายุสามสิบเอ็ดปี พี่อู๋คิดว่าตัวเองมีความสามารถมาตลอดจากคนที่เคยเป็นที่ต้องการ คนที่หย่อนเรซูเม่บริษัทไหนก็มีแต่คนเรียกสัมภาษณ์กลับกลายเป็นฝ่ายโดนไล่ออกกำแพงของความภูมิใจในตัวเองก็เลยพังลง พี่อู๋ไม่อยากสมัครงานหรือทำงานกับใครอีกแล้วเพราะรู้สึกว่าชีวิตมีจุดด่างพร้อยเขาคิดว่าตัวเองไม่เก่งจริงถึงโดนไล่ออกกลางเดือนแบบนั้น
“ใครๆก็รู้ว่าบริษัทตั้งใจบีบมึงเพราะอยากประหยัดงบเงินเดือนมึงคนเดียวจ้างเด็กจบใหม่ได้ตั้งสามสี่คน ฟังนะ --มันไม่ใช่ความผิดมึงเลย ส่วนใหญ่ทำกันแบบนี้ทั้งนั้น บริษัทกูก็ทำแต่กูเงินเดือนไม่เยอะเหมือนมึงก็เลยไม่โดนไง”
ผมเห็นด้วย เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไม่ดีพวกเขาก็คงอยากลดค่าใช้จ่าย มันไม่ใช่ความผิดของพี่อู๋หรอก ตราบใดที่เขาทำเต็มที่และมั่นใจว่าแปลไม่คลาดเคลื่อนจากเนื้อความจริงๆผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา แต่เป็นเพราะหัวหน้าคนงานที่พูดไม่มีสาระมากกว่า
“มึงอยากลองเริ่มใหม่ไหม?เมื่อวันก่อนจ๊ะเอ๋โพสต์ในไลน์กลุ่มว่าที่ชลบุรีมีโรงงานหาล่ามอยู่ รีเควสN2เงินเดือนต่อรองได้ตามประสบการณ์ กูว่าน่าสนใจดีนะ”
“กูยังไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นว่ะตั้มกูเหนื่อย” พี่อู๋บอก น้ำเสียงอ่อนล้ายิ่งกว่าประโยคที่บอกเพื่อนเสียอีก
พอได้ยินแบบนั้น พี่ตั้มก็รัวคำถามใส่พี่อู๋แล้วจะอยู่อย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ พีรู้เรื่องนี้ไหม พ่อกับแม่ล่ะว่าไงคนที่บ้านรู้หรือเปล่าว่ามึงตกงาน ต่อให้พี่อู๋ไม่ตอบผมก็เดาได้ คำตอบคือไม่รู้ไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้ สั้นๆคือพี่อู๋ไม่ได้บอกใคร แม้กระทั่งนายก้องเกียรติที่อยู่กับเขาคนที่ใช้เงินของเขาเหมือนเป็นเงินตัวเองยังไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“อู๋ มึงเป็นคนเก่งเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะมึงกากหรือห่วยแตกนะเว้ย”
ผมได้แต่นั่งฟังพี่ตั้มปลอบใจพี่อู๋เขาใช้คำพูดสวยหรูตามฉบับพวกไลฟ์โค้ชบนอินเทอร์เน็ตผมฟังดูแล้วยังคิดเลยว่ามันไม่ได้ผลหรอก คำปลอบไม่ช่วยให้เราได้ความมั่นใจคืนมาเวลาต่างหาก เวลาเท่านั้นที่จะทำให้พี่อู๋กลับมารู้สึกดีกับตัวเองได้
ระหว่างที่ฟังพวกเขาไป ถูพื้นไปจากเรื่องงานก็วนเข้าเรื่องคุณหมูพี ดูเหมือนพี่อู๋ชักจะเริ่มหมดความอดทนพอพี่ตั้มถามว่ากลับไปคืนดีทำไมถ้าไม่ได้รักพีแล้วคำตอบของพี่อู๋ทำให้ผมอยากเอาถังอ้วกคว่ำใส่หัวเขาจริงๆ
“อยากเอาเฉยๆ ไม่มีอะไร”
เหตุผลของคุณอุรัสยาค่อนข้างทุเรศสำหรับผมเลยเขานี่มันขี้เอาอย่างที่คุณหมูพีว่าจริงๆ แล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวอีกว่าพี่ไม่ได้ขี้เอาพี่แค่อยากมีใครซักคนคอยให้กำลังใจ แต่เมื่อกี๊เขาเพิ่งพูดเองว่าต้องการที่ระบายเฉยๆพอคุณหมูพีเสนอ เขาก็แค่สนอง พี่อู๋บอกตั้งแต่คืนแรกที่กลับไปแล้วว่ามันจะไม่เหมือนเดิมนะเขาคงเต็มที่กับคุณหมูพีเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ แต่เพราะนั่นคือคุณพีรพัฒน์ผู้ไม่เคยโดนขัดใจดังนั้นผลของการขี้เอาจึงกลับมารัดคอเขาเอง
“มึงนี่เหี้ยจริงๆไอ้อู๋”
พี่ตั้มด่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย พี่แม่งเหี้ยจริงๆพี่อู๋
“มึงก็รู้ว่าพีชอบทำร้ายตัวเองเวลาโมโหนี่ถ้าพีรู้ว่ามึงแค่อยากเอาเฉยๆ ไอ้อู๋เอ๊ย -- เตรียมตัวเลยเพื่อนรักพี ครอบครัวพี คนรอบตัวพีจิกมึงตายห่าแน่โทษฐานทำร้ายเทวดาตัวน้อยของบ้าน”
พี่อู๋ถอนหายใจ เขาบ่นให้พี่ตั้มฟังเกี่ยวกับความขี้หึงที่น่ารำคาญจนเกินพอดีเดี๋ยวนี้คุณหมูพีไม่อยู่เฝ้าร้านอาหารของที่บ้านแล้วแต่แวะมาที่นี่สัปดาห์ละห้าหกวันจนพี่อู๋อึดอัด เขาบอกพี่ตั้มว่าอยากอยู่ห้องเงียบๆแบบไม่มีใครกดดันทุกครั้งที่คุณหมูพีมา เขาจะพูดเรื่องหางาน เรื่องสอบวัดระดับปีหน้าเรื่องกินเรื่องเที่ยวเหมือนสมัยที่เคยคบกันซึ่งพี่อู๋ไม่อินอะไรทั้งนั้นเขาแค่อยากพักผ่อนให้คุ้มกับสิบปีที่เอาแต่ทำงานจนร่างกายพัง พอพูดถึงตรงนี้พี่ตั้มก็หัวเราะเขาบอกว่าร่างกายมึงไม่ได้พังเพราะงานหรอกอู๋ เพราะเหล้าต่างหาก
“กูกินเพราะตอนเมามันช่วยให้ลืมทุกอย่างจริงๆ”พี่อู๋บอกเหตุผล “กูลืมเอม ลืมนายเหี้ยๆลืมงาน ลืมทุกอย่าง กูแค่สนุกกับการเต้นบนเก้าอี้ พอได้ที่ก็ไปเอากับพีแล้วค่อยกลับห้องมาเจอก้องเห็นไหม? ชีวิตเสรีฟรีดอม”
“ฟรีดอมอย่าลืมคอนดอม”
“เออ กูซื้อตุนเป็นแพ็คเลย”
พวกเขาหัวเราะส่วนซินเดอเรลก้องได้แต่ทำหน้าอี๋ เรื่องของคุณหมูพียังเป็นหัวข้อสนทนาอีกพักใหญ่ถ้ามีใครพูดว่าผู้หญิงเป็นมนุษย์ขี้นินทา ผมบอกเลยว่าคิดผิด พวกผู้ชายต่างหากที่นินทาเก่งแต่ละเรื่องที่พวกเขาพูดกันนั้นเจ็บแสบจนผมคิดว่าถ้าคุณหมูพีเป็นคนมีชื่อเสียงเรื่องของเขาคงได้ลงเพจอีเจี๊ยบเลียบด่วนแล้ว
“มึงว่าถ้าพีรู้ความจริง --วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นวะ?”
หลังจากรำลึกวีรกรรมที่คุณพีรพัฒน์เคยทำตั้งแต่คบกับพี่อู๋พี่ตั้มก็ถามคำถามที่น่าสนใจนี้ขึ้นมาเมื่อก่อนคุณหมูพีเคยเอาคัตเตอร์กรีดขาเพราะโกรธที่ผู้ปกครองของผมไปเที่ยวเกาะล้านโดยไม่บอกไหนจะใช้เล็บจิกหน้า จิกหัวพี่อู๋เวลาโมโห หนักเข้าคือตบพี่อู๋เลยบางทีก็ปาของใส่จนเขาเจ็บตัว พอได้ยินแบบนี้ผมชักสงสารคุณอุรัสยาแล้วที่มีแฟนประสาทแดกต่อให้ผลประโยชน์คือเรื่องบนเตียง แต่ในความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่มีใครสมควรถูกทำร้ายไม่ใช่เหรอ
“เอาตรงๆนะ ถ้าทะเลาะกันสองคนอ่ะกูโอเค กูทนได้ กูคิดว่ากูเอาตัวรอดได้” พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ“แต่ถ้าก้องอยู่ข้างๆนี่กูกลัวห้ามไม่ทันว่ะพีแม่งขี้หึงไม่เข้าเรื่อง บางทีก็หาเรื่องก้อง บางทีก็ทำเหมือนก้องเป็นคนใช้ กูไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นเหี้ยอะไรถึงชอบแกล้งเด็กอายุสิบเจ็ด”
“ก็คงหวงมึงนั่นแหละ พีรักมึงจะตายถึงจะชอบตบตีมึงก็เถอะแต่สุดท้ายมันรักมึงคนเดียวนะเว้ย”
“รักขนาดไหน แต่ทำกูเจ็บตัวตลอดนี่มันก็ไม่ควรทนหรือเปล่าวะ?”
จริงที่สุด
พี่ตั้มเสนอทางเลือกสุดท้ายให้คุณอุรัสยาผู้น่าสงสารเขาบอกว่ายิ่งปฏิเสธคุณหมูพีเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี หากฝืนดันทุรังแบบนี้ต่อไปคงเลิกยากคุณหมูพีน่าจะไม่ยอมจบง่ายๆเพราะพี่อู๋ตักตวงความสุขจากตัวเขาจู่ๆจะมาชิ่งเอาดื้อๆ มีหวังคุณหมูพีได้ปาดคอตายแน่ แต่ต้องลุ้นอีกทีว่าจะเป็นคอของใครหนึ่ง คอของตัวเขาเอง สอง คอของพี่อู๋ หรือสาม คอของกอริลลาก้อง
เดี๋ยวนะ
“พีหวงมึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
“เออ มันหึงก้องทุกวันนี้ลากกูไปบริคเพราะจะพาไปต่อที่ห้อง ไม่ยอมให้กูกลับบ้าน”
“แล้วมึงทำไง?”
“เอาเสร็จก็กลับดิ ไม่กลับได้ไงก้องรออยู่”
ผมควรดีใจที่ต่อให้พี่อู๋ออกไปแรดนานขนาดไหนสุดท้ายก็ยังตั้งใจกลับบ้านเพราะรู้ว่ามีคนรอ แต่ถ้าจะให้ดีคือไม่ต้องไปตั้งแต่แรกซึ่งเป็นไปไม่ได้หรอก พี่อู๋กำลังสนุกกับเหล้าและเซ็กส์ เขาคงไม่หยุดง่ายๆ
พี่ตั้มคุยกับพี่อู๋เรื่องคุณหมูพีอีกนิดหน่อยก่อนหวยจะมาลงที่ซินเดอเรลก้องดูเหมือนว่าการอุปการะเด็กอายุสิบเจ็ดจะเป็นที่กล่าวขวัญในวงสนทนาของพวกเขาพอสมควรพี่ตั้มเอาแต่ยิงคำถามว่าพี่อู๋เจอผมที่ไหน คิดยังไงถึงพามาอยู่นี่แล้วจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ มึงไม่ใช่สถานสงเคราะห์นะอู๋ นี่ไม่ใช่หน้าที่มึงที่ต้องคอยอุปการะชีวิตใครแถมแนะนำให้พี่อู๋ส่งผมไปหน่วยงานราชการที่ดูแลปัญหาเรื่องนี้แต่ผู้ปกครองของผมค้านหัวชนฝา ยังไงพี่อู๋ก็ไม่ยอมเขาบอกพี่ตั้มว่าไม่มีวันส่งนายก้องเกียรติไปที่ไหน เขาอยากดูแลผมเองอยากเห็นผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีอนาคตดีๆ พอพูดถึงตรงนี้ผมก็พอเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้ว
พี่อู๋ไม่ได้พาผมมาแทนที่คุณหมูพีเขาพาผมมาแทนที่เอมต่างหาก
“แต่มึงจะเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาแทนที่น้องชายตัวเองไม่ได้อู๋ -- มึงฟังกูนะ ก้องไม่ใช่เอม แค่นิสัยก็ไม่เหมือนกันแล้วเด็กคนนั้นไม่มีวันเป็นเอมให้มึงได้หรอก”
“กูไม่เคยเห็นก้องเป็นเอมกูแค่อยากให้ก้องได้โอกาสเหมือนที่เอมเคยได้ก็เท่านั้น” พี่อู๋อธิบาย“มันผิดตรงไหนถ้ากูจะเอ็นดูใครซักคน ในเมื่อเอมไม่อยู่แล้วกูไม่มีน้องต้องส่งเสียเลี้ยงดูแล้ว แทนที่จะหยุดแค่นั้นทำไมไม่ส่งต่อโอกาสให้เด็กที่ต้องการความช่วยเหลือวะ?”
“มึงจะดูแลใครก็ได้ถ้ามีการมีงานทำไม่ใช่ขาดรายรับมาเป็นเดือนๆแถมยังต้องจ่ายเงินเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ญาติตัวเองอีก”
“เสือกกก” พี่อู๋ด่าพี่ตั้ม“พวกมึงเป็นเหี้ยอะไรกับก้องนักหนาปล่อยให้น้องมันอยู่เงียบๆไม่ได้เหรอ? ก้องก็ทำตัวดีมาตลอด เด็กรักดีแบบนี้จะปล่อยให้อดๆอยากๆไม่มีอนาคตได้ไง”
แล้วบรรยากาศก็เงียบ ผมเดาเอาว่าพี่อู๋คงโมโหนิดๆที่พี่ตั้มยุ่มย่ามกับการตัดสินใจของเขามากไปหน่อยแต่เงียบแค่ไม่นาน คำถามก็ถูกรัวใส่ผู้ปกครองของผมยิ่งกว่าปืนกลพี่ตั้มถามพี่อู๋ว่าหลังจากนี้จะเอายังไง จะส่งให้ผมเรียนมหาลัยจนจบเลยเหรอแล้วถ้าผมขี้เกียจไม่รักเรียนล่ะ ถ้าผมมาเพื่อเกาะเขากินไปจนตายล่ะถ้าผมเป็นมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาต้มเขาล่ะ พี่อู๋รับได้ไหม พร้อมรับความเสี่ยงนี้ไหม
“ก้องไม่ใช่เด็กแบบนั้นหรอกกูเลี้ยงมาหลายเดือน กูรู้” พี่อู๋แก้ต่างให้กอริลลาก้อง “
“ปากดี งานก็ไม่มีจะทำเสือกทำตัวเป็นเสี่ยเลี้ยงต้อย”
“มึงก็สาระแน น้องมึงไม่เคยตายมึงจะมาเข้าใจอะไร”
ผมว่าพวกเขาต้องพอก่อน จากการซุบซิบนินทาเริ่มกลายเป็นการประชดประชันแล้วขืนคุยต่ออีกหน่อยมีหวังได้สาดคำด่าใส่กันแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงลุกขึ้นทำทีเป็นเช็ดอ้วกไปถึงห้องนอนใหญ่ก่อนจะแง้มบานประตู ผมส่งยิ้มให้พี่ตั้มที่หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแล้วบอกว่าเสร็จเรียบร้อยครับสะอาดเหมือนเดิมครับ พี่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลพี่อู๋ต่อเอง
พี่ตั้มลุกขึ้นยืน เขาตบไหล่ผู้ปกครองของผมเบาๆก่อนจะขอตัวกลับแต่พอผมแกล้งเดินออกจากห้องได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาก็ซุบซิบกันอีก
“กูรู้แล้วทำไมพีถึงหึงจนหน้ามืดขนาดนั้น”
พี่ตั้มพยายามพูดเบาๆแต่กอริลลาก้องยังได้ยินอยู่ ประสาทหูของผมดีกว่าที่พวกเขาคิดเยอะ
“ก้องแม่งน่ารักจริงๆว่ะ ตอนยิ้มจนตาปิดนี่โอโห -- โลกสดใสในพริบตา”
“เห็นไหม กูบอกแล้ว”
“นี่ไง ชัดเลย --
กอริลลาก้องได้แต่กระพริบตาปริบๆขอบคุณที่ชมว่าน่ารักนะครับ แต่ไม่ต้องชมเรื่องนี้ก็ได้ ชมว่าทำกับข้าวอร่อยน่าจะดีกว่าผมรีบย่องออกห่างจากห้องนั้น ซักพักพี่ตั้มก็เดินออกมา เขาโบกมือบ๊ายบายแล้วฝากฝังให้ช่วยดูแลพี่อู๋ด้วยผมรับปากก่อนจะยกมือไหว้ ขับรถดีๆนะครับ สวัสดีครับ จบ ไปได้เสียที ถึงเวลาเทศนาคุณอุรัสยาแล้วเมื่อกี๊เขาเพิ่งพ่นข้าวมันไก่ใส่หัวผม อย่าหวังเลยว่าคืนนี้จะได้นอนดี
ผมล็อกห้อง ปิดไฟผูกปากถุงอ้วกจนแน่ใจว่ากลิ่นจะไม่เล็ดลอดออกมาแล้วจึงล้างถังและซักผ้าในห้องน้ำเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็กลับเข้าไปในห้องนอน ตั้งใจจะเรียกพี่อู๋มาคุยเรื่องที่เขาตกงานแต่พอเข้าไปถึง คุณอุรัสยาก็หลับเสียแล้ว ซินเดอเรลก้องจึงพับเก็บคำพูดไว้ก่อนผมช่วยเขาถอดกางเกงยีนแล้วห่มผ้าให้ หลังจากนั้นก็อาบน้ำสระผมล้างคราบอ้วกผมต้องเสียเวลานั่งเอาหัวจ่อพัดลมข้างนอกเกือบสิบนาที กว่าผมจะแห้งและหายเหม็นข้าวมันไก่เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง
ผมปิดไฟ เดินไปประจำที่ของตัวเองทันทีที่ล้มตัวลงนอน พี่อู๋ก็ขยับเข้ามาเหมือนรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้เขาเริ่มเอาหัวมาใกล้หมอนของผม ขาก่ายหมอนข้าง แต่มือวางพาดบนหน้าท้องกอริลลาก้องผมถอนหายใจเมื่อคุณอุรัสยาทำเหมือนผมเป็นหมอน เขาทำแบบนี้ประจำอีกซักพักคงกลิ้งเอาหัวมาชน เมื่อไหร่นิสัยนอนดิ้นของเขาจะแก้ได้เสียทีผมอึดอัดนะที่เขากอดหมอนข้างคนเดียวไม่แบ่งกันเลย
“พี่อู๋ ให้ผมกอดหมอนข้างด้วยสิ”
ผมบอกพร้อมกับเขย่าตัวเขาคุณอุรัสยาลืมตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยอมถอยไปนอนที่ตัวเองและสละหมอนข้างให้ด้วยการยกขาออกแต่แขนของเขายังพาดอยู่ที่เดิม วางบนพุงกะทิของกอริลลาก้อง ผมที่ง่วงเกินทนจึงปล่อยผ่านไปอยากทำอะไรก็ทำ ตอนนี้ต้องนอนก่อน ผมพลิกตัวนอนตะแคงไปหาพี่อู๋ ขาก่ายหมอนข้างแล้วฝังหน้าลงบนหมอนด้วยความง่วงงุนหลังจากปิดตาได้ไม่กี่นาทีผมก็ผล็อยหลับ และคืนนั้นผมฝันว่าถูกคุณหมูพีถือมีดไล่แทงจนตายด้วย
♡
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in