6 โมงเช้า ของวันที่ 2
ก่อนรถทัวร์จะเทียบท่าที่ ซาปา
เสียงแตรของรถทัวร์
ได้ทำหน้าที่ปลุกพวกเราได้สำเร็จ
สิ่งที่ตามมาหลังจากที่เสียงแตรหายไป
คือเสียง “แปะ.. แปะๆ.. แปะๆๆๆๆ” ที่คุ้นเคย..
เอาแล้ว! มันเล่นกูอีกแล้ววว อาถรรพ์วันที่2
ที่ซาปาแห่งนี้ ตัวเมืองตั้งอยู่บนที่ราบสูง ล้อมรอบด้วยภูเขา
เราจะเจอชาวเขามากมายหลายยี่ห้อที่หน้าโรงแรม
พวกเขาเหล่านั้น เป็นไกด์นั่นเอง ใครที่ไม่ได้จองไกดหหรือชอบตัดสินใจหน้างาน เข้าไปเจรจาดูได้
ที่ยิ่งกว่า คือถนนที่โคตรจะชัน และโคตรแคบ
ทำมา 3ปี ก็ยังไม่เสร็จ! หลบรถกันดีๆ
เราจะออกเดินทางในช่วงสาย และเราได้ติดต่อไกด์ชาวเวียดนามพร้อมรถไว้ตอน 8.00
พอมาถึง ก็แนะนำตัวกันเป็นอันเรียบร้อย
คร่าวๆว่า พี่ไกด์ชื่อ “ท๊วก” อายุ 29 ลูก 2 คน
เป็นไกด์ มา 3ปี ที่รู้ภาษาอังกฤษเพราะ งูๆปลาๆ
กับลูกค้าเนี่ยแหละ จุดที่สร้างความประทับใจเป็นอันดับต้นๆเลย คือเค้าไม่ยอมแพ้ที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามสื่อ
ดี! เราก็ไม่ยอมแพ้ที่จะอธิบายเหมือนกัน
“เยสๆ” “ฮาวมัช” “โนแฮฟ” “ปุมปุมเกิล” ก็ว่ากันไป
มาถึงด่านแรกของเราในวันนี้
คือยอดเขาที่สูงที่สุดในซาปา “ฟาน ซี ปัน”
และฝนยังคงตกอยู่ รอไปก็ไม่ได้อะไร
เดินดุ่มๆเข้าเกต ก้าวขึ้นกระเช้าลุยกันเลย
ออกมาได้ 5 นาที (ถึงรึปล่าวก็ไม่รู้)
กระเช้าแม่งหยุด! พร้อมเสียงประกาศที่ฟังไม่ออก
อาการเริ่มล่อกแล่ก แต่คนเยอะ เลยต้องคีพลุกไว้ก่อน
ผ่านไปสักพัก มีเสียงประกาศมาเรื่อยๆ
อดไม่ไหวจนต้องถาม ลุงๆป้าๆ ที่นั่งมาด้วย
ได้เรื่องคือ ตอนแรกเค้าแจ้งว่าเคเบิ้ลมีปัญหา
ต้องใช้เวลาแก้ไข 5 นาที และที่ประกาศหลังจากนั้นคือ แจ้งให้รอต่อไปอีก 10นาที - ต่อไป และต่อๆไป...
สลดสิครับ จุดหมายแรกของกูกลายเป็น การติดอยู่บนกระเช้าสูงเกือบ 1000 เมตร ข้างนอกหมอกฟุ้งไปหมด ขาวโพลนไปหมด เหมือนอยู่ใน The Mist
สนั่นไปด้วยเสียงตะโกนคุยกัน โช้งเช้งๆ
ในระยะไม่ถึง 2 เมตร ของหนุ่มสาวชาวเวียดนาม
ที่ติดแหง่กอยู่ด้วยกันบนคุกลอยฟ้าแห่งนี้
ผ่านไป 1 ชม. กระเช้าเริ่มขยับ!!
ในแววตาของทุกคนกลับมามีความหวังอีกครั้ง
เฮ! สิครับ รออะไร ให้เหมือนตอนไฟดับทั้งหมู่บ้าน
ทันทีที่ถึงยอดเขา แทบจะกราบพื้นกันทั้งแก๊งค์
พอเงยหน้าขึ้นมาปุ๊ป ทางขึ้นนี่ ขาวจั๊วะ!
มองไม่เห็นปลายทาง ไม่ได้แปลว่าไม่มีทางไป
มาถึงแล้ว ถอยได้ที่ไหน
ว่าแล้วก็หอบสังขารกันขึ้นไปจนสุด
หลังจากนั้นอีก 1 ชม เราหิ้วปีกกันกลับมาที่รถสำเร็จ
พี่ท๊วกสุดหล่อ พูดขึ้นมาว่า “ยู เคม แบค โซ ฟาส”
มืงจะบ้าหรอ ตอนนี้กูฆ่าคนได้นะท๊วก
เข้าสู่ช่วงบ่าย ซึ่งฝนก็ยังคงตกอยู่
แต่ต้องไม่ย่อท้อ จุดหมายถัดไป ห่างจาก ฟาน ซี ปัน ไป 45 นาที เค้าเรียกกันว่า “ Love Waterfall “
รัก ไม่รัก เดี๋ยวก็รู้!!
มาถึงทางเข้า ถามข้อมูลเรียบร้อย เจ้าหน้าที่บอกว่า เดินเข้าไปแค่ 1 กม. เท่านั้น
แล้วท่านจะพบกับความสวยงามที่ตามหา
ตัดภาพมา หลังจากผ่านไป 20 นาที
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ กล้องก็ต้องแบก
สังขารก็เริ่มไม่เที่ยง “นี่กูโดนหลอกอีกแล้วใช่มั้ย?”
ระหว่างทางไม่สามารถเก็บภาพใดๆมาฝากได้ เพราะฝนตกหนักมาก แต่ร้องไห้หนักกว่า
สภาพแต่ละคนเหมือนไปเล่นสงกรานต์ที่พระประแดง
แต่เปลี่ยนจากแป้งเป็นโคลน
ต้องขอบคุณ SONY และ CANON ที่ยังมีฟังค์ชั่นกัน "ละอองน้ำ"
ขาไปว่าหนักแล้ว ขากลับเนี่ย หนังชีวิต
สรุปแล้ว ใช้เวลาไป-กลับทั้งสิ้น 1 ชม. นิดๆ
ทุกส่วนของร่างกายแฉะเข้าไปถึงเนื้อใน
กระเป๋ากล้องที่กันน้ำ ไม่มีส่วนใดไม่เปียก
บันไดทางขึ้นแม่งก็ชันเหลือเกิน
แต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่สุงสิงกับใครทั้งนั้น
ถึงรถปุ๊ป ภาพเดิมเลย เห็นหน้าพี่ท๊วกนั่งยิ้มอยู่ไกลๆ
“ท่าทางชอบใจนะเราอะ”
หลังรอดจากน้ำตกมาได้ ตามตารางทัวร์แล้ว
เรายังเหลืออีกที่นึง คือหมู่บ้านชาวเขาของที่นี่
นั่นคือ Cat-cat Village
(อ่านว่า กั๊ด-กั๊ด ฟันกรามกระทบกัน 2 ครั้ง)
ห่างจากน้ำตกไปประมาณ 30 นาที
เห็นสภาพเพื่อนๆของเราอิดโรยกันเกินขนาดแล้ว
ไอ้เราก็อุส่าหวังดี ชวนไปเดินเล่นหาอะไรติดไม้ติดมือกลับกันซะหน่อย
พอห่างจากรถได้ระยะทางหน่อย ฝนที่คิดว่าหยุดแล้ว ก็ตกลงมาตามสูตร
จนต้องหนีไปหลบในศาลา ที่เต็มไปด้วย
แก๊งค์เด็กดอย มองแว่บแรก “โอ้ว น่ารั๊กกกก”
พอเข้าไปในรัศมีเท่านั้นแหละ แต่ละคนก็ชักอาวุธออกมาทันที มันคือ... พวงกุญแจ!! พร้อมกับชูสองนิ้ว
วิ่งเข้าใส่พวกเราเต็มสปีด “ช่วยด้วยยยย!”
30 นาที ที่นั่งตัวเปียกฝน พร้อมรับมือกับเด็กดอยทั้งแก๊งค์ไปด้วย ทำให้หนึ่งในเพื่อนร่วมทาง น็อตหลุดเดินดุ่มๆผ่าฝนกลับรถไปแบบไม่นัดแนะใดๆ
.
.
ตัดภาพมาหลังจากถึงที่พักก็เย็นแล้ว
ต่อจากนี้เป็นโปรแกรมรีแลกซ์
หลังจากผ่านช่วงมรสุมชีวิตมา
ขอตัวไปแฮงค์เอ้าท์กันในเมืองต่อ
จุดหมายของวันถัดไปคือ “ดานัง”
ไว้เจอกันโพสต์ถัดไป
ปล. คืนนั้นเอง มีไฟไหม้โรงแรมไม่ไกลจากที่เราพัก ทีเป็นอันรู้กันว่า ใครมาเยือน
ขอความโชคดีจงสถิตกับท่าน
@มึงกูไปเที่ยวกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in