สำหรับเรื่องของเพื่อนที่เราจะมาเล่าในตอนนี้ เธอเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมของเราเอง
คือเราเรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่ม.1 จนถึงม.3 ก่อนที่เพื่อนคนนี้จะย้ายไปเรียนที่อื่น เพราะว่าที่ที่เรียนอยู่ไม่มีสายศิลป์ฝรั่งเศส
เพื่อนคนนี้เป็นคนหัวดีมาก เห็นมันฮา ๆ บ้า ๆ บอ ๆ แบบนั้น เอาจริงเรื่องเรียนไม่ใช่เล่น ๆ เลยนะ
แถมมันยังมีความตั้งใจว่าจะเรียนสายศิลป์ฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่รู้จักกันเลยล่ะ
เคยถามมันอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเรียนฝรั่งเศส
มันก็เล่าให้ฟังว่า มันมีญาติอยู่ฝรั่งเศสแล้วเขาไปแต่งงานกับคนฝรั่งเศสแล้วเขาก็มีลูกเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส แถมยังเป็นผู้ชาย ที่หน้าตาดีมาก
'เชื่อแล้วว่าผู้ชายมีผลกับการเลือกอนาคตของตัวเราได้ขนาดนี้'
หลังจากที่รู้หัวใจตัวเอง เพื่อนเราก็มุ่งมั่นตั้งใจในการสอบเข้าสายศิลป์ฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก
เรียกว่าโชคเข้าข้างด้วยแหละ ที่ญาติมันพูดฝรั่งเศสได้ เขาก็สอนมันให้หัดพูด หัดเขียน
จนในที่สุดเรากับเพื่อนคนนั้นก็ถึงเวลาห่างกัน
เรื่องไม่ได้จบแค่นี้นะ อันนี้มันแค่เพิ่งเริ่มต้น
คือหลังจากที่เรากับเพื่อนคนนี้ย้ายไปเรียนด้านที่ต่างเองถนัด
เราก็ไม่ได้เลิกติดต่อกันซะทีเดียว เพราะเราคุยกันบ่อยมากกก นัดเจอกันบ่อยมากกกก
นี่สินะคำว่าเพื่อนของจริง
เราติดต่อกันมาเรื่อย ๆ จนเมื่อไม่นานมานี้เราได้ทำการปรึกษาเพื่อนคนนี้ในเรื่องของความอยากเรียนต่อของเรา เราบอกมันทุกอย่างเลยว่าเราไม่มั่นใจเลยวะ ภาสง ภาษาเราก็สู้คนอื่นเขาไม่ได้ ยิ่งถ้าเรื่องเขียน เรื่องคุยนะ โอ้โห ตายราบ55555 แล้วก็ยังเล่าให้มันฟังต่ออีกว่าพ่อแม่คงไม่ให้ไปแน่เลย เพราะเราเป็นลูกคนเดียว ถ้าไปอยู่ต่างประเทศก็เหมือนกับเราต้องทิ้งครอบครัวไปเลยนะ
คำตอบที่เราได้จากมัน เป็นข้อความยาวเหยียดหลายบรรทัด
ซึ่งข้อความเหล่านั้นเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ
คือต่อให้เล่าก็คงอินไม่เท่าการได้มารู้มาเห็นด้วยตัวเอง
คือเพื่อนเราคนนี้แม่งโคตรเชื่อมั่นในตัวเราอะ ทั้ง ๆ ที่เราแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเราไม่เชื่อมั่นใจตัวเอง การได้คุยกับมัน เหมือนปลุกไฟในตัวเราให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
มีคำ ๆ นึงที่มันบอกเรา มันบอกว่าไม่ต้องกังวลว่าพ่อแม่จะไม่ให้ไป เพราะถ้าเราสอบได้ ยังไงท่านก็ต้องภูมิใจอยู่แล้ว มันเลยบอกให้เราตั้งใจฝึกฝนตัวเองไปเรื่อย ๆ และมันเชื่อว่าเราต้องทำได้แน่นอน
เราบอกมันว่าเราอยากเรียนทางสายวรรณกรรม เพราะเราชอบอ่าน ชอบเขียน
มันเลยบอกว่า เราทำได้อยู่แล้ว ขนาดแต่งนิยายลงในเน็ตยังทำได้เลย
เราก็ตอบไปว่า แต่นั่นมันเรื่องเวิ่นเว้อทั้งนั้นเลยนะ
มันบอกเราว่า อย่าคิดงั้นดิ เพราะถ้าให้กูไปทำอะไรแบบนั้น กูก็ทำไม่ได้นะเว้ย
แค่คำตอบสั้น ๆ แต่มันกลับทำให้เราภูมิใจในตัวเองเล็ก ๆ
โอเค เราจะสู้ต่อไป
จะพยายามให้หนักขึ้น เท่าที่เป็นไปได้
และไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เราก็จะไม่เสียใจ
เพราะแค่เราสู้มาจนถึงขนาดนี้ก็นับว่าโอเคมากแล้ว
ขอบใจแกมากนะที่คอยผลักดันให้เราได้เห็นอีกด้านหนึ่งของตัวเอง
พระคุณนี้เราจะไม่มีวันลืมเลยว่ะ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in