เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความสนใจของเขาและเธอก็แตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่ยังให้ความสนใจและทุ่มเทเหมือนกันคือวอลเล่ย์บอล แต่นอกเหนือจากนั้น อิวะอิสึมิ ฮาจิเมะและโออิคาวะ โทรุก็มีเรื่องที่สนใจเหมือนกันน้อยจนแทบนับนิ้วได้
เขาจับกลุ่มกับเพื่อนผู้ชายสี่ห้าคน ถูกชักชวนไปหัดเล่นดนตรี ในกลุ่มมีคนที่เล่นเป็นทั้งกลองทั้งกีต้าร์อยู่แค่คนเดียว ที่เหลือจึงเริ่มพร้อมกันหมด ค่อยๆ คลำทางฝึกไป เพี้ยนบ้าง พลาดบ้าง แต่ก็สนุกสนานกันดี
เด็กหนุ่มหัดเล่นกีต้าร์ ค่อยๆ ตีคอร์ดไปอย่างเชื่องช้า มีเพื่อนคนหนึ่งอาสาร้องนำ วาดฝันกันไปว่าจะสร้างวงดนตรี แต่ก็เป็นเพียงความคิดติดสนุกตามประสาเด็กวัยคะนองเท่านั้น
“เราอาจจะได้เล่นในงานวัฒนธรรมกันก็ได้นะเว้ย”
“หรือไม่ก็กลายเป็นวงอินดี้หน้าใหม่ไฟแรง”
“สาวๆ ต้องตามกรี๊ดเราแน่”
ฟังเพื่อนแต่ละคนฟังแล้วได้แต่ส่ายหัว อดขำกับความฝันเฟื่องของพวกมันไม่ได้ “ไร้สาระ”
“อย่าว่าความฝันคนอื่นไร้สาระสิ! ไอ้คนน่าเบื่อนี่”
ตบหัวเพื่อนเข้าให้ทีหนึ่งฐานต่อว่ากันไร้เหตุผล แล้วเขาก็ดีดกีต้าร์ต่อไป ไม่สนใจจะเถียงอีก
นอกจากจะเริ่มเล่นดนตรี อิวะอิสึมิยังถนัดกีฬาหลายชนิด เขาใช้วันว่างจากการฝึกชมรมไปกับการเล่นฟุตบอลบ้างในบางครั้ง และถูกหยอกกึ่งทาบทามให้ย้ายชมรมอยู่เรื่อย
แต่อิวะอิสึมิก็ปฏิเสธทุกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังชอบเล่นวอลเล่ย์บอลมากที่สุดอยู่ดี
เพื่อนของเขาเป็นกลุ่มเด็กผู้ชายในห้องและนอกห้องเหมือนอย่างเด็กหนุ่มวัยซนทั่วไป หากจะให้พูดไปแล้ว เพื่อนสนิทเกือบทั้งหมดของเขาก็เป็นเพศเดียวกัน คุยกับเด็กผู้หญิงบ้างแต่ไม่สนิทใจมากนัก ทั้งพวกหล่อนบางคนยังติดจะหวาดเขาหน่อยๆ ... บางทีกิริยาวาจาของเขาคงหยาบกระด้างเกินไป
โออิคาวะยังคงเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เป็นเพศตรงข้ามกับเขา
คงเพราะอิวะอิสึมิรู้จักอีกฝ่ายมานานก่อนที่จะรู้ว่าเพศหญิงและชายแตกต่างกันอย่างไร เขาจึงไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงสักเท่าไรนัก
ใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยสัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างเขากับหล่อนหรอกนะ
ตั้งแต่เข้ามัธยมปลาย โออิคาวะมักจะไปไหนมาไหนกับกลุ่มเพื่อนสาวมากขึ้น ทั้งยังมีบรรดาสาวน้อยรุ่นน้องล้อมหน้าล้อมหลังด้วยความชื่นชมแทบตลอดเวลาที่อยู่โรงเรียน ในระหว่างวัน พวกเขาจึงไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไรนัก
ครั้นเลิกเรียน ต่างฝ่ายต่างก็ทำกิจกรรมชมรมของตนเอง แต่พวกเขายังคงนัดหมายเวลากลับบ้านพร้อมกันแทบทุกครั้งที่ทำได้ หากไม่ได้ติดธุระปะปังใดๆ จึงมักจะพบกันทุกวันในตอนเย็น
กระทั่งช่วงหลังมานี้…
“ขอโทษนะ อิวะจัง วันนี้ต้องกลับบ้านก่อนจริงๆ ล่ะ”
เป็นประโยคที่เขาได้ยินบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
โออิคาวะมักจะประกบสองมือเข้าหากัน พร้อมค้อมศีรษะเป็นการขอโทษขอโพย ราวกับว่าการไม่ได้กลับบ้านพร้อมกันจะทำให้อิวะอิสึมิหัวเสียขนาดหนักจนฆาตกรรมเธอได้ก็ไม่ปาน
กับอีแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เขาจะไปโมโหทำไม
ไม่ใช่เด็กประถมที่ต้องจูงมือกันกลับบ้านเสียหน่อย
“เออๆ แยกกลับแล้วกัน” และเขาก็จะตอบกลับไปด้วยประโยคนี้ทุกครั้ง
บางที โออิคาวะจะอ้าปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างต่อ แต่แล้วก็ปิดปากลงทุกครั้ง เป็นซ้ำไปมาจนเขาต้องเอ่ยปากถาม แต่ไม่ได้คำตอบกลับมา
เด็กสาวแค่ยิ้ม ส่ายศีรษะ หาเรื่องหยอกเขาบ่ายเบี่ยงประเด็น แล้วก็ชิ่งหนีไปเสียทุกครั้ง
อิวะอิสึมิได้แต่ปล่อยให้เธอวิ่งจากไป
และทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น ก็อดมองตามเธอที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่ได้
ได้แต่สงสัย… ว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาจะกว้างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้จนถึงเมื่อไรกัน
เมื่อพบหน้าอีกครั้ง สถานที่ที่พบกันกลับกลายเป็นร้านหนังสือ
ขณะนั้นเป็นวันอาทิตย์ อิวะอิสึมิกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนฝูง ก่อนที่สายตาของเขาจะตกลงยังใบหน้าของโออิคาวะ โทรุ
แว่วเสียงเพื่อนเรียกหา เมื่อพบว่าเขาไม่ได้เดินตามไป ก่อนที่บรรดาเด็กหนุ่มจะถอยหลังกลับมาหาเขา ส่งเสียงคุยดังเซ็งแซ่หนวกหู
“อ้าว นี่มันควีนนี่นา!!”
ว่าแล้วเพื่อนนักร้องนำก็คว้านิตยสารวัยรุ่นขึ้นมาเชยชม พลางชี้ชวนกันดูกับเพื่อนที่เหลือ
อิวะอิสึมิได้แต่จับจ้องใบหน้าของเด็กสาวบนนิตยสารแฟชั่นอยู่อย่างนั้น
ใช่แล้ว เป็นโออิคาวะ โทรุไม่ผิดแน่ ภาพเจ้าหล่อนแต่งหน้าแต่งตาสวยงาม สวมชุดทันสมัยนำเทรนด์ปรากฏอยู่บนแผงหนังสือ มีเสน่ห์แบบเด็กสาวแรกรุ่นไร้เดียงสา แต่ดึงดูดสายตาได้ชะงัดนัก
เขาจ้อง จ้อง และจ้อง
ก่อนจะหันไปดันหลังเพื่อนให้เดินต่อ บรรดาเพื่อนหนุ่มที่เหลืออ้อยอิ่งวิจารณ์เพื่อนร่วมโรงเรียนอยู่พักใหญ่ กระทั่งเขาขู่ว่าถ้ายังไม่ไปจะกลับบ้านก่อน ถึงได้แตกฮือเดินต่อกัน
ทุกย่างก้าวนำเขาเคลื่อนตัวออกห่างใบหน้าเคยคุ้นที่เขาไม่แน่ใจอีกแล้วว่าเป็นเพื่อนสนิทคนเดิมของเขาหรือไม่
...และเป็นทุกย่างก้าวนั้นเองที่เพิ่มระยะห่างระหว่างเขากับเธอให้มากขึ้นกว่าเดิม...
—...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in