เป้าหมายของผู้กระทำเป็นใคร เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเดือน เขาลอบเหลือบดูสีหน้าของเมฆ แต่ใบหน้าของชายหนุ่มไม่แสดงออกถึงสิ่งอื่นใดนอกจากความสงสัยและกังวล ไม่มีความโกรธหรือหวาดกลัวปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย ต่างจากสีหน้าบ่าวไพร่คนอื่นและพวกพะทำมะรง
“อ้ายอีคนไหนมันช่างกล้าทำเรื่องอัปรีย์เช่นนี้” มั่นกัดฟันกรอด เห็นชัดได้ว่าขุ่นเคืองแทนบุตรชายคนรองของเจ้าคุณผู้เป็นนายของตน ฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง ชายร่างใหญ่ก็ชะงักนิ่งเหมือนฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหันไปมองหน้าของเมฆ ซึ่งมองตอบกลับมา “หรือว่าจะเป็น...”
“ยังสรุปความเช่นนั้นไม่ได้ดอก พี่มั่น” เมฆเอ่ยเรียบ ๆ รักษากิริยาอันสงบไว้ดุจเดิม แต่แสดงให้รู้เป็นนัยว่าเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะพาดพิงถึงผู้ใด
“ฉันจะเรียกมาสอบถามแน่ พี่มั่นไม่ต้องกังวลไป” ชายหนุ่มว่าอย่างรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย “ตอนนี้ พวกพี่กลับไปทำงานเถิด ประเดี๋ยวฉันจะใช้บ่าวสักคนไปนิมนต์หลวงพี่สนที่วัดมาจัดการ ส่วนความเรื่องคุณไสยนี้ รอให้ได้ความมากกว่านี้เสียก่อน รีบร้อนเกินไปนักจะแตกตื่นกันไปเสียเปล่า ๆ”
“ฉันเห็นด้วยกับพี่เมฆ เรื่องเช่นนี้อย่าให้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวออกไปภายนอกเลย หากต้องเป็นคดีความถึงโรงศาลกรมแพทยากันจริง ก็ขอให้ได้หลักฐานที่ชัดเจนก่อนเถิด เกิดโทษผิดคนผิดตัว บาปกรรมจะตกแก่คนในเรือน” เดือนเสริมคำของเมฆ และเหตุผลดังกล่าว โดยเฉพาะข้อหลังสุด ก็ทำให้มั่นดูใจเย็นมากขึ้น ยอมรับการตัดสินใจดังกล่าวของเมฆได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งอะไรอีก
“ถ้าอย่างไร พี่มั่นก็คอยจับตาดูขำเอาไว้ให้ดี หากมีพิรุธหรือมีทีท่าว่าจะหนี ฉันให้พี่มั่นเป็นคนตัดสินใจว่าจะกระทำอย่างไรไม่ให้เขาหนีพ้นไปได้ และบอกกับพวกบ่าวไพร่ด้วยว่าไม่ต้องนำความเรื่องนี้ไปพูดต่อให้อึงไปแม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้น ฉันจะไม่ใจดีด้วยและอาจจะต้องมีใครสักคนถูกลงโทษให้เข็ดหลาบ” เมฆเอ่ย และมั่นก็ดูจะพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับมอบหมาย
“ส่วนพ่อเดือน” ชายหนุ่มหันมาทางเด็กหนุ่มที่ยืนรอฟังความอยู่ใกล้ ๆ “พี่วานพ่อเดือนขึ้นเรือนไปเล่าเรื่องที่เราพูดกันนี้แก่แม่ผิวแทนพี่หน่อยเถอะ แล้วหล่อนจะทราบเองว่าควรทำอย่างไร พี่จะแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับเจ้าคุณพ่อที่เรือนใหญ่เอง เมื่อเสร็จการแล้ว เราไปพบกันที่ห้องหนังสือ”
ความที่เมฆไหว้วานและนัดแนะกันไว้ชัดเจนมากพอที่จะไม่ต้องทบทวนอันใดอีก เมื่อพูดคุยกันรู้เรื่องแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปกระทำในสิ่งที่ตนเองพึงกระทำ
ขณะที่เมฆตรงไปที่เรือนใหญ่ เดือนขึ้นเรือนของเมฆเพื่อบอกกล่าวเรื่องที่เกิดขึ้นกับภรรยาของชายหนุ่มที่เป็นคนสำคัญของเขาเท่ากับที่เป็นคนสำคัญสำหรับหล่อน
หากเป็นเมื่อสามสี่ปีก่อน เมื่อครั้งที่เดือนเพิ่งรู้ว่าเมฆต้องออกเรือน เดือนคงรู้สึกว่าตนเองคงวางหน้าวางตัวกับแม่ผิวไม่ถูกนัก ทว่าในเวลานี้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ชีวิตร่วมชานเรือนเดียวกันกับเมฆและแม่ผิว เด็กหนุ่มกลับรู้สึกวางใจที่จะเข้าหาและพูดคุยกับภรรยาของเมฆมากขึ้น และรู้สึกคล้ายยอมรับได้มากขึ้นว่า ความรักของตนที่มีต่อเมฆคงไม่มีวันที่จะมอบให้อีกฝ่ายได้มากเกินกว่าความเข้าใจและความปรารถนาดีเท่านั้น
เดือนไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวของแม่ผิวมากนัก รู้แต่ว่าหล่อนเคยเป็นคุณข้าหลวงในตำหนักเสด็จในกรมพระองค์หนึ่ง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่วงทีของหล่อนละมุนละม่อมเรียบร้อย มีความสามารถในด้านงานดอกไม้และงานครัวที่ต้องใช้ฝีมือเป็นเลิศ จริตกิริยาก็แตกต่างกว่าหญิงผู้ดีบางคนที่เดือนเคยรู้จัก อย่างน้องสาวของเดือนที่เกิดจากภริยารองของบิดาก็ยังไม่ชดช้อยแต่คล่องแคล่วได้เท่านี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเดือนคือ ผิวอ่านหนังสือมากและไม่มีวันไหนที่เดือนเห็นหล่อนหยุดอ่าน มิได้อ่านเฉย ๆ แต่จดจำและเข้าใจเรื่องราวที่อ่านมาถ่ายทอดให้พวกเด็กผู้หญิงในเรือนฟังได้อีกทอดหนึ่งด้วย คนที่เข้ากับผิวได้ดีที่สุดคือมะลิ น้องสาวท้องเดียวกับเมฆที่เรียกได้ว่าเป็นลูกหลง มะลิยังไม่โตเป็นสาวดีนัก แต่แววฉลาดของหล่อนก็ฉายชัดกว่าใคร จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กหญิงจะถือเอาผิวเป็นเหมือนพี่สาวแท้ ๆ ของตนอีกคน
นอกจากนี้ ผิวยังเป็นกุลสตรี เป็นศรีภริยาของสามี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามีของหล่อนรับราชการใกล้ชิดกับเจ้านาย ไม่ใช่เพียงเพราะหล่อนมีกิริยาวาจาเรียบร้อย แต่หล่อนมีความคิดเท่าทันกันกับผู้เป็นสามี และหากวันหนึ่งเมฆต้องแยกครอบครัวออกไปเป็นเจ้าเรือนเอง ผิวก็ย่อมสามารถปกครองบ่าวไพร่และกิจการในเรือนทุกอย่างได้อย่างไม่มีข้อกังขา ยิ่งหล่อนสามารถเปิดใจรับสิ่งที่ข้าราชการบางคนประชดประเทียดเมฆว่าเป็นพวกหัวใหม่และรับเอาความเชื่อของสามีในส่วนที่ตรองแล้วว่ามีเหตุผลและไม่กลัวที่จะเปิดใจรับสิ่งใหม่ เดือนก็สามารถบอกตนเองได้ในทันทีว่า ตนยินดีกับการครองคู่ของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้อย่างเต็มหัวใจ แม้จำต้องยอมรับความผิดหวังในความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ไว้ในส่วนลึกของความรู้สึกก็ตาม
ความจริง เมฆรู้อยู่ว่าเดือนรักและความรักที่มีให้เมฆนั้นยังคงเดิม แต่เมฆก็ยังตัดสินใจให้เดือนเป็นคนบอกกล่าวเรื่องราวแก่ผิวแทนที่จะบอกหล่อนด้วยตนเอง เดือนรู้ว่าเมฆไม่ได้ลืมความจริงข้อนี้ ทว่าสิ่งที่เมฆตัดสินใจนั้นก็เป็นที่เข้าใจได้ ทั้งเรื่องการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่ และในแง่ของการเผชิญหน้ากับความจริงที่ต้องยอมรับให้ได้ หากเป็นก่อนหน้านี้ บททดสอบนี้อาจไม่ง่าย แต่ในเวลานี้ เดือนค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองจะรับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายและทำใจให้รักอีกฝ่ายอย่างพี่น้องหรือมิตรสหายให้ได้ในวันหนึ่งเท่านั้น
เมื่อล้างเท้าจนสะอาดและเดินขึ้นบันไดไปบนเรือนของเมฆ เดือนพบว่าแม่ผิวยังคงอยู่ที่หอนั่ง แต่ระหว่างนั้นก็สอนน้องสาวสองคนของเมฆให้คัดดอกมะลิสำหรับกรองมาลัยหรือร้อยมาลัยไปด้วย มิได้อยู่ว่างและทำตนเสมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แม้บ่าวไพร่บางคนจะยังคงดูอกสั่นขวัญแขวนกับเรื่องราวที่เป็นเหตุให้เกิดความแตกตื่นขึ้นในเรือน แต่เพราะนายยังสงบนิ่ง ฝ่ายบ่าวจึงจำเป็นต้องนิ่งและทำตนให้เป็นปกติตามไปด้วย
“คุณพี่ฝากพ่อเดือนให้มาบอกว่ากระไร”
คำแรกที่ผิวเอ่ยถามเมื่อเดือนนั่งลงบนขอบยกพื้น รักษาระยะห่างจากพวกผู้หญิง นั่งไม่ต่ำกว่าเด็กหญิงและไม่สูงเกินหญิงสาวที่อาวุโสกว่า เป็นคำถามที่เข้าเป้าและตรงประเด็น ไม่มีอ้อมค้อมอย่างใดทั้งสิ้น แต่ในขณะเดียวกันก็บอกให้รู้เป็นนัยว่า หล่อนทราบว่าผู้ใดใช้เขาให้มาบอกกล่าวข่าวคราวที่เกิดขึ้น
“คุณพี่เมฆให้มาเรียนคุณพี่ว่า เป็นของอัปมงคลจริงขอรับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะคุณพี่เมฆให้คนไปนิมนต์พระคุณเจ้าที่มีวิชามาจัดการแล้ว และช่วงบ่ายนี้ คุณพี่จะเรียกคนที่อาจเกี่ยวข้องมาสอบถามต่อไปให้ได้ความ”
แม้จะรายงานด้วยท่าทีนิ่งเฉยที่สุดแล้ว ทว่าเนื้อความที่กล่าวออกไปนั้นก็ยังทำให้คนที่ได้ยินถึงกับมองตากัน บางคนหน้าซีดลงถนัดใจ บางคนทำท่าเหมือนอยากออกความเห็นหรือซักถามรายละเอียดจากเดือน แต่ก็ถูกปรามเอาไว้ด้วยเสียงกระแอมเบา ๆ ของภริยาเจ้าของเรือน ซึ่งวางมือจากดอกไม้ รินน้ำชาขึ้นจิบ และเทน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้เด็กหนุ่มผู้มารายงาน
“พ่อเดือนดื่มน้ำชาเสียก่อน ค่อยกล่าวต่อ” หญิงสาวว่า “คุณพี่กำชับเรื่องใดฝากมาเป็นพิเศษหรือไม่ พี่จะได้สั่งให้คนในเรือนทำตามและระมัดระวังเอาไว้”
“ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษขอรับ” เดือนตอบ และส่งถ้วยชาคืนผ่านมะลิไปให้ผิว “เพียงแต่บอกว่า ไม่ควรให้เรื่องนี้อื้อฉาวออกไปภายนอกก่อนที่ความจริงจะแจ้งชัด”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาว โดยฝ่ายหลังพยักหน้าน้อย ๆ และยิ้มให้
“พี่จะกำชับให้คนในเรือนมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปให้คนภายนอกได้รู้” ผิวกล่าว เสียงของหล่อนเข้มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และดวงตากวาดจับยังบ่าวไพร่ที่นั่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงจนครบทุกคน เป็นอันรู้กันว่าแต่ละคนต้องทำตัวอย่างไร ก่อนจะเหลือบตากลับมาทางเดือนและเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามปกติ “พี่ขอบใจพ่อเดือนมากที่มาแจ้งข่าว”
“มิเป็นไรขอรับ กระผมยินดี”
เดือนยิ้มให้ ในขณะที่ผิวยิ้มตอบ ทำท่าเหมือนอยากกล่าวอะไรสักอย่าง แต่ติดอยู่ตรงที่มีคนอยู่ด้วยมากเกินไป
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว พี่ขอไหว้วานพ่อเดือนสักหน่อย” หญิงสาวเอ่ย และลุกขึ้นจากท่านั่งพับเพียบบนหอนั่ง “พี่ยืมหนังสือมาจากห้องหนังสือของท่านเจ้าคุณและคุณพี่ที่เรือนใหญ่ จะฝากพ่อเดือนไปคืนให้คุณพี่ที่นั่นแทนพี่ทีเถิด”
เมื่อได้ยินคำตอบรับแล้ว ผิวก็เดินกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ซึ่งอยู่ติดกับห้องของเมฆ หายไปชั่วอึดใจหนึ่งก็กลับมาพร้อมกับหนังสือที่บอกว่ายืมมาจากเรือนใหญ่
“หนังสือฝรั่ง พี่อ่านไม่ออกดอก แต่รูปวาดข้างในงามนัก พี่เลยยืมมาดูเล่น” หญิงสาวส่งหนังสือให้เด็กหนุ่มรับไป “ระหว่างนำกลับไปที่ห้องหนังสือ พ่อเดือนลองเปิดอ่านดูก่อนก็ได้”
ข้อเสนอแนะนั้นไม่ใช่คำแนะนำธรรมดา แต่มีนัยบางอย่างที่เดือนจับได้ และผิวเองก็จงใจส่งสารให้ทราบ
และระหว่างที่ขอตัวกลับไปที่เรือนใหญ่ เดือนก็พลิกหน้าหนังสือออกดู และพบกับสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ว่าจะต้องมี
แม่ผิวฝากสารบางอย่างไปถึงเมฆและสารนั้น หล่อนยินดีให้เดือนได้รับรู้ด้วย
To be continued...
แต่ถึงยังไงน้องก็ยังเป็นคนที่คุณพี่วางใจให้อยู่ข้างๆนะลูกกกกกกกก
/น้องเดือนอาจจะอยากบอกเราว่า คุณพี่ขอรับ ยังเห็นกระผมอยู่ในสายตาอยู่ไหม อุแง น้องเดือนให้อภัยพี่เถิดหนา พี่เพียงแค่ชื่นชมแม่ผิวจริงๆ จ๊ะ ;-;
น้องเดือนไม่น้อยใจแน่ๆ ค่ะ เพราะเรื่องนี้ยังไงพี่ๆ คนอ่านก็คงจะเอ็นดูน้องอยู่ดี รักได้ทีละหลายๆ คนเลยค่ะ