ห้าวันผ่านไปตามกำหนดที่นัดแนะผ่านบ่าวที่เดือนใช้ให้นำหนังสือมาคืน ไม่เพียงแต่มาเยือนถึงเรือนตามเวลา แต่เดือนยังทำในสิ่งที่เมฆไม่ได้คาดคิดเอาไว้อีกด้วย
“กระผมนำบุตรชายมาฝากตัวฝึกทำราชการกับเจ้าคุณขอรับ” บิดาของเดือนเอ่ยกับบิดาของเมฆอย่างเป็นพิธีการ เมฆซึ่งนั่งอยู่กับบิดาที่หอนั่งของเรือนใหญ่ถึงกับหันขวับไปมองคนที่พระธัญกิจโกศลเอ่ยถึงอย่างลืมตัว ในขณะที่คนอายุน้อยกว่ามองตอบกลับมาและค้อมศีรษะให้แทนคำตอบว่าสิ่งที่บิดาของตนพูดเป็นเรื่องจริง
“กระผมสนใจงานด้านตระลาการ แต่เมื่อลองฝีกติดตามคดีพิพาทเกี่ยวกับที่นาในกรมที่คุณพ่อทำราชการอยู่ กระผมพบว่าไม่ใช่ความถนัดของตนเอง” เดือนชี้แจงแก่ผู้อาวุโสที่สุดในที่นั้น “กระผมอยากสืบเสาะหาเหตุและความจริงมากกว่า จึงเรียนคุณพ่อว่าจะมาขอฝึกทำราชการกับคุณลุง หวังว่าคุณลุงจะเมตตารับกระผมไว้ช่วยงาน จะเป็นเสมียน ทนาย หรือประแดงคัดหนังสือกระผมก็ยินดีขอรับ”
“ความจริง หลานนึกเสียดายที่น้องชายจะไม่รับราชการกรมท่าอยู่บ้างขอรับ คุณลุง เพราะพ่อเดือนหัดอ่านเขียนหนังสืออังกฤษจนคล่องพอใช้การได้ แต่การเจรจาค้าขายมิได้อยู่ในวิสัยของเขา” ด้วงกล่าวเสริม “หลานจึงเห็นพ้องกับคุณพ่อว่า หากนำมาฝากไว้ฝึกหัดการงานกับคุณลุงจะเป็นการเหมาะสมกว่า อีกอย่างหนึ่ง ได้ทราบว่าระยะหลังพ่อเมฆได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยและพระทัยให้เป็นตระลาการชำระคดีของคนในสังกัดกรมวัง พ่อเดือนจะได้เรียนรู้จากเขาได้อีกทางขอรับ”
เจ้าคุณผู้ทำหน้าที่ตุลาการนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย เหลือบมองบุตรชายคนรองของตนเองที่นั่งอยู่ในที่นั้นด้วยเป็นเชิงขอความเห็น แต่ฝ่ายบุตรชายที่หันมาสบตาก็รู้ได้ทันทีว่าบิดาไม่ขัดข้องและออกจะยินดีด้วยซ้ำที่เพื่อนสนิทนำตัวบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนมาฝากตัวหัดทำราชการ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา บิดาของเขาก็รักทั้งด้วงและเดือนเหมือนญาติสนิทอยู่แล้ว และยิ่งเพื่อนให้ความสำคัญและไว้วางใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านยิ่งกว่าพร้อมเสียอีก
“นับแต่เลื่อนศักดิ์เป็นพระยา คุณพ่อไม่ได้รับใครมาช่วยราชการมานานนัก เห็นทีว่าสมควรแก่เวลาแล้วกระมังขอรับ” เมฆที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยพลางขยับผ้าพาดไหล่และเปลี่ยนท่านั่ง “คุณพ่อเคยกล่าวกับลูกไว้ว่า พ่อเดือนมีทางเจริญในทางกฎหมายอยู่มาก...”
“เจ้าพูดเหมือนกลัวว่าพ่อจะไม่ยอมรับน้องเอาไว้ ไม่ต้องเตือนความจำพ่อดอก” พระยาสุจริตวินิจฉัยหัวเราะ สัพยอกบุตรชายคนรองแต่ก็เป็นคนโปรดคนหนึ่งอย่างรู้ทัน ส่วนชายหนุ่มก็ไม่ว่ากระไร ทำเพียงยิ้มรับ
ชายกลางคนหันไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งพับเพียบอย่างสำรวมอยู่ตรงหน้าของตน
“พ่อเดือนเริ่มทำงานสัปดาห์หน้าก็แล้วกัน จะได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมข้าวของ ลุงจะฝากให้แม่บัวกับแม่มะลิจัดการเรื่องห้องหับให้ เมื่อว่างก็ค่อยกลับไปเยี่ยมบ้าน” พระยาสุจริตวินิจฉัยบอกและหันไปหาบุตรชาย “ถ้าหากเป็นราชการที่พาพ่อเดือนไปด้วยไม่สะดวก พ่อฝากเจ้าดูแลและช่วยสอนน้องแทนพ่อด้วย”
“ได้ขอรับ” เมฆรับคำ ดวงตาทอดจับยังคนอายุน้อยกว่า ในขณะที่อีกฝ่ายสบตาตอบกลับมา “เดือนเป็นคนเก่งและหมั่นขวนขวายหาความรู้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงดอกขอรับ”
เดือนก้มลงกราบขอบคุณและฝากตัวกับทั้งสองคนไปในคราวเดียวกัน
“หากคุณลุง คุณพ่อ และพี่ด้วงไม่ว่ากระไร กระผมขอตัวนำหนังสือที่คุณพี่เมฆให้ยืมเมื่อหลายวันก่อนไปคืน และขอคำชี้แนะบางประการจากคุณพี่ด้วย” เด็กหนุ่มขออนุญาต และหยิบเอาหนังสือที่ ‘ยืม’ จากผู้ที่ตนเอ่ยชื่อที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา
“พ่อเดือนตามพี่มา” เมฆบอก หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองอนุญาต และบ่าวยกเอากาน้ำชากับของว่างมาตั้งให้แขก
ถึงขอตัวและเดินนำคนอายุน้อยที่เดินตามมาอย่างว่าง่ายในอาการสงบ แต่ใครเลยจะรู้ว่าใจของเมฆเต้นแรงเพียงใด
To be continued...
พี่เมฆงานเข้าจริงๆ แล้วล่ะค่ะ คราวนี้ แต่จะเป็นยังไง
น้องหรือพี่จะเป็นฝ่ายลำบากมากกว่าก็ต้องลุ้นกันต่อนะคะ ฮาา
พี่อยากจะจับตี
ใจอ่อนง่ายดายเหลือเกินพ่อ
ทีนี้ก็ได้เข้าไปอยู่เรือนเดียวกับพี่เขาแล้ว
/กรีดร้องด้วยความสมใจ