“พ่อเดือนต้องการพบพี่ มีเรื่องอันใด” เมฆเอ่ยถาม เมื่อรับเอาหนังสือภาษาอังกฤษจากมือของคนอายุน้อยกว่ามา แล้ววางลงบนโต๊ะแบบฝรั่งในห้องทำงาน “ได้ยินว่าพักนี้ พ่อเดือนไปเรียนภาษากับพวกหมอมะริกัน”
ดวงตาสีนิลของเด็กหนุ่มสบมองใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของคำถามนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มน้อย ๆ ออกมาแทนคำตอบ
“ที่ไปเรียน มิใช่แค่เรื่องภาษากระมัง”
คำถามดังกล่าวทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเดือนคลี่กว้างขึ้นอีก ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังมากขึ้น
“กระผมคิดเอาไว้แล้วทีเดียวว่าคุณพี่คงจะทราบ” เดือนเอ่ย
“เรื่องอาการป่วยของแม่ผิวอย่างนั้นใช่ไหม”
“ใช่ขอรับ กระผมลองถามความเห็นหมอฝรั่งมา เผื่อว่าจะมีคำตอบให้แก่อาการของคุณพี่ผิวบ้าง”
“พ่อเดือนไม่ควรต้องลำบาก”
“เพื่อความสบายใจของคุณพี่และเพื่อสนองความใคร่รู้ของตัวเอง กระผมมิได้มีความลำบากอันใดเลย”
คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นซื่อตรง เช่นเดียวกับน้ำเสียงและสายตาของเจ้าของคำตอบ
“หมอทอมสันที่กระผมไปเรียนภาษาอังกฤษด้วยยืนยันเช่นเดียวกับที่หมอปลัดเลบอกคุณพี่” เดือนกล่าว
“อาการไข้ของคุณพี่ผิวนั้น อาจเกิดขึ้นจากการอยู่ไฟและยาขับน้ำคาวปลาที่อาจออกฤทธิ์แรงเกินไป เพราะตามตำราทางตะวันตกนั้นมิให้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรอยู่ในที่อับลม แต่ต้องอยู่ในที่เย็นสบาย มีลมถ่ายเทสะดวก และมิจำเป็นต้องเร่งขับน้ำคาวปลา เพียงแค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ และหมั่นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งให้และรักษาความสะอาดก็เพียงพอแล้ว”
คำอธิบายที่ไม่ติดขัดและเรียงลำดับจับความมาเป็นอย่างดีเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นได้ขัดถึงความตั้งใจดีของเดือนที่จะช่วยเหลือเขาเต็มความสามารถ ไม่เพียงพูดแต่ปาก หากแต่ลงมือทำให้เห็นจริงอีกด้วย
“ที่แม่ผิวหายใจไม่ออกนั้นอาจเกิดจากการอยู่ในที่อับอากาศ ปอดทำงานไม่ดี จึงหายใจไม่คล่อง” เมฆพยักหน้ารับอย่างครุ่นคิด “เมื่อย้ายมาอยู่ในห้องของพี่จึงค่อยหายใจได้สะดวกขึ้น เป็นไปได้ว่าการอยู่ในเรือนไฟอาจมีส่วนกระตุ้นให้อาการป่วยที่อาจมีอยู่แต่เดิมกำเริบ”
“หมอทอมสันคาดว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ หมอเดื่อที่มาเรียนวิชาแพทย์ฝรั่งกับหมอทอมสันก็ยืนยันเช่นกัน” เดือนว่า “ที่คุณพี่ผิวหายใจไม่ออกระหว่างอยู่ในเรือนไฟ เพราะอยู่ในห้องอับลม อากาศไม่เพียงพอ ถูกรมควันสมุนไพรที่ไม่ถูกกับธาตุ และที่จับไข้หลังออกมาจากอยู่ไฟแล้วนั้น อาจเป็นเพราะอยู่ในอากาศร้อนและเปลี่ยนมาเป็นเย็นอย่างกะทันหันทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน หรืออาจติดเชื้อโรคระหว่างอยู่ในเรือนไฟ หรือเกิดอาการในร่างกายอักเสบเพราะยาขับน้ำคาวปลามีฤทธิ์แรงเกินไป คุณพี่ผิวจึงจับไข้หนัก มิใช่เพราะคุณพี่พาออกมาจากเรือนไฟจึงเกิดอาการไข้และหนาวสั่นอย่างที่บางคนเข้าใจขอรับ”
สิ้นประโยค คนตรงหน้าก็ถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วง สีหน้าของชายหนุ่มทำให้เดือนเผลอเอื้อมมือออกไปจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างลืมตัวและลืมมารยาทที่พึงมีต่อผู้อาวุโสกว่าไปจนหมดสิ้น
“พี่ไม่เป็นไร พ่อเดือน ได้ฟังเช่นนี้แล้วพี่ค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง” ชายหนุ่มส่ายหน้า วางมือลงเหนือมือของอีกฝ่ายที่กุมต้นแขนของตนเองไว้เป็นการปลอบใจ “ขอบใจพ่อเดือนมากที่คอยช่วยเหลือพี่”
ถึงจะพูดด้วยภาษากายว่าไม่ต้องกังวล ทว่ามีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเมฆที่เดือนจับสังเกตได้และไม่อยากปล่อยให้ผ่านเลยไป
เท่าที่เดือนรู้มาจากพี่ชาย เมฆเป็นมหาดเล็กซึ่งมีความคุ้นเคยกับจมื่นไวยวรนาถหรือคุณช่วง เป็นมหาดเล็กคนสนิทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และฝั่งวชิรญาณภิกขุกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์* ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของพวก ‘หัวใหม่’ ที่สนใจและนิยมวิทยาการฝั่งตะวันตก
ยิ่งเมื่อพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบันมิได้ทรงตั้งกรมพะราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าและมิได้ตั้งเจ้าจอมคนใดขึ้นเป็นพระอัครมเหสี ด้วยมีพระราชดำริว่าจะมอบราชสมบัติให้วชิรญาณภิกขุหรือเจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในสมณเพศต่อไป ทำให้พระโอรสธิดาไม่มีสถานะเป็นเจ้าฟ้า ด้วยเหตุนี้กรมหลวงรักษ์รณเรศซึ่งทรงสนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์จึงไม่พอพระทัยนักและวางตนเป็นปรปักษ์กับวชิรญาณภิกขุเป็นพิเศษ สถานการณ์ทางการเมืองทำให้เมฆต้องคอยระวังตัวจากการถูกเพ่งเล็งด้วยในฐานะมหาดเล็กที่สนิทสนมกับ ‘พวกหัวใหม่’ ทั้งหลายด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่ผิวระหว่างอยู่ไฟ และท่าทีของเมฆที่มีความสนใจหนังสือตะวันตกเป็นพิเศษ รวมถึงไปมาหาสู่กับมิชชันนารีอเมริกันอยู่บ่อยครั้ง เพราะเรื่องหนังสือทำให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการรับเอาความรู้ฝั่งตะวันตกมาใช้มองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก และหนึ่งในนั้นคือญาติฝั่งแม่ผิวที่มองว่าการเชื่อหมอฝรั่งมากเกินไปเป็นเหตุให้ภรรยาที่เพิ่งคลอดของเขาล้มป่วย
เมฆควรจะมีความสุขกับบุตรและภรรยาอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งควรมี แต่ความเป็นจริงนั้น สถานการณ์ของชายหนุ่มยากลำบากอยู่ไม่น้อย
บางที ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เมฆอาจโดดเดี่ยวกว่าที่ใครจะคาดคิด
“กระผมเชื่อว่าสิ่งที่คุณพี่ทำเพื่อคุณพี่ผิวและแม่เหมือนย่อมมีเหตุผล”
“พ่อเดือน...” มือของเมฆที่กุมเหนือมือของเดือนกำแน่นขึ้นอีก
“ตลอดเวลาที่กระผมได้รับความเมตตาจากคุณพี่ กระผมทราบดีว่าคุณพี่ไม่เคยยอมให้ความเชื่อของตนเองทำร้ายคนที่ตนเองรัก” เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเสียงของตนกำลังสั่นน้อย ๆ แม้ไม่อาจควบคุมได้ แต่เขาเลือกที่จะเอ่ยต่อ “ไม่ว่าคุณพี่จะกระทำสิ่งใด ขอให้คุณพี่รับทราบว่ากระผมเชื่อในตัวคุณพี่และจะอยู่เป็นคู่คิดของคุณพี่อย่างที่เคยรับปากเอาไว้”
ไม่มีคำกล่าวตอบใด ๆ ออกจากปากของเมฆ แม้แต่คำขอบคุณ
มือที่กุมมือของเดือนเอาไว้คลายออก
ก่อนที่ชายหนุ่มจะรวบเอาร่างของเดือนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนและกอดเอาไว้แน่น
แน่นเท่ากับที่เคยกอดเขาไว้ในวันที่เดือนได้รับรู้ความรู้สึกของเมฆและหัวใจของตัวเอง
To be continued...
----------------------------
หมายเหตุ* วชิรญาณภิกขุหรือเจ้าฟ้ามงกุฏ ในเวลาต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ส่วนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนจมื่นไวยวรนารถ (ช่วง บุนนาค) ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็กในสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อมาในแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ พระยาศรีสุริยวงศ์ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหม
พ่อเดือนของพี่ต้องอดทนนะลูก