วันคืนผ่านไป เดือนไม่ได้ตามด้วงมาแวะเที่ยวหาเหมือนอย่างเคย หากเป็นคนอื่น เมฆคงคิดว่าเป็นเช่นนั้นก็สมควรแล้ว แต่สำหรับเดือนนั้นมิใช่
เดือนไม่เหมือนคนอื่น เดือนที่เขารู้จักมาตั้งแต่เล็กจนโตไม่ใช่คนที่เอาอารมณ์ของตนเองเป็นใหญ่ และนั่นยิ่งทำให้เขาเป็นห่วง แต่เมื่ออดรนทนไม่ได้จนต้องถามหาคนน้องจากคนพี่อย่างด้วง ก็ได้คำตอบว่าเดือนสนใจเรียนภาษาของพวกหมอสอนศาสนามะริกันจึงไปเรียนกับพวกหมอเหาที่สำเพ็ง ซึ่งใกล้กับวัดปทุมคงคาที่เคยบวชเณรเรียนหนังสือและวิชาความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่องานราชการ เมฆก็ค่อยเบาใจลงได้บ้าง เพราะคนตรงและเปิดเผยอย่างด้วงก็ไม่มีเหตุจะต้องปกปิดเรื่องเดือนกับเขา แต่สังหรณ์บางอย่างในใจบอกชายหนุ่มว่า เดือนกำลังคิดและมีแผนการอะไรบางอย่างที่เขายังคาดไม่ถึง
ในวันที่เดือนบอกกับเขาว่าจะคอยเป็นคู่คิดเคียงข้าง ท่าทางและแววตาของเด็กหนุ่มดูมุ่งมั่น แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนมีอะไรอยู่ในใจ ทว่าสิ่งนั้นยังไม่ชัดเจนนักจึงยังไม่เอ่ยหรือเผยออกมาให้เขาได้รับรู้
“ดูท่าน้องชายฉันจะไปอยู่กรมท่าขวาเสียแล้วกระมัง” ด้วงซึ่งรับราชการเป็นล่ามกรมท่าซ้ายที่เกี่ยวข้องกับการค้ากับจีนและทางตะวันออกว่า เมฆฟังแล้วไม่เห็นด้วยนักว่าเดือนคิดจะทำงานเป็นล่ามในกรมที่ต้องติดต่อค้าขายกับพวกฝรั่งหรือชาวตะวันตกและชาวตะวันออกกลางที่เรียกกันว่าพวกแขก แต่ทว่าเขาก็ทำเพียงพยักหน้ารับรู้ โดยไม่ออกความเห็นอะไรต่อ
เดือนไม่เคยแสดงออกให้เห็นว่าชอบการค้าขายเจรจา เด็กชายมักจะนั่งสำรวมตนอยู่ระหว่างที่ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาสนทนากัน แต่เมฆสังเกตเห็นมาตลอดเวลาว่า เดือนกำลังตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียด และซักถามในจังหวะที่สามารถทำได้และในเรื่องที่เป็นประเด็น
การตั้งคำถามของเดือนตรงเข้าเป้าทุกครั้ง อายุไม่ใช่อุปสรรค และไม่ใช่ข้อจำกัดของความคิดอ่าน
การกระทำของเดือนย่อมมีเป้าหมาย การบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขา เป็นคู่คิดของเขาไม่ใช่สิ่งที่เดือนใช้เพียงแต่ปากพูดด้วยอารมณ์ ทว่าผ่านสมองตรองหลายชั้นมาแล้ว จึงกล้าพูดอย่างมั่นใจได้ถึงขนาดนั้น
มีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวันที่เขาเล่าปัญหาหนักอกเกี่ยวกับสุขภาพของภรรยาให้ฟัง
เป็นไปได้ไหมว่า การที่เดือนไปเรียนภาษาอังกฤษกับหมอสอนศาสนาที่สำเพ็งจะเป็นการพยายามค้นคว้าหาคำตอบบางอย่างในเรื่องที่เขาเองก็ติดใจให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ผิวระหว่างอยู่ไฟกันแน่
คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่เขาเห็นว่า เดือนเองก็สงสัยอะไรบางอย่าง แม้ว่าจะไม่เคยพบแม่ผิวเลยก็ตาม
เขาอยากรู้ว่าเดือนสงสัยในสิ่งที่เขาสงสัยอยู่ด้วยหรือไม่
การแต่งงานเป็นเรื่องความเหมาะสมส่วนหนึ่ง และมีเหตุผลอื่นด้วยอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเหตุผลดังกล่าวทำให้เสด็จทรงไม่ประสงค์จะให้แม่ผิวไปถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเจ้านายพระองค์นั้น และบิดาของหล่อนที่หวงลูกสาวนักหนา ยอมให้แม่ผิวแต่งงานกับเขาแบบอาวาหมงคลคือ ให้เจ้าสาวมาอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าว แทนที่จะเป็นแบบวิวาหมงคลคือ ให้เจ้าบ่าวแต่งเข้ามาอยู่กับครอบครัวของฝ่ายเจ้าสาว ทั้งที่ฐานะและศักดิ์ของเจ้าคุณบิดาของแม่ผิวสูงกว่าบิดาของเขาในเวลานั้น
“ให้แกล้งโง่ก็หลอกได้เฉพาะคนโง่ คนฉลาดด้วยกันก็หลอกเขามิได้ดอก ถึงข้าจะคุ้มครองนางผิวมันตลอดเวลาไม่ได้ นางผิวมิใช่คนผิดก็จริง แต่จะให้อยู่วังต่อก็อันตราย ให้ออกไปอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ไม่มีเหตุ มีแต่ออกเรือนไปเสียให้หมดเรื่องเท่านั้นที่พอจะแก้ปัญหาได้ ค่าที่ข้ารักนางผิวเหมือนลูกก็ย่อมอยากได้คนที่คู่ควรให้ลูก คนที่จะเป็นผัวก็ต้องไม่ใช่คนโง่ หรือถ้าไม่ฉลาดนักก็ขอให้นิสัยใจคอดี มีความซื่อสัตย์ เมตตาลูกเมียบ่าวไพร่เป็นใช้ได้”
เสด็จในกรมที่แม่ผิวถวายตัวรับใช้บอกแก่คุณหญิงมารดาของแม่ผิวมาเช่นนั้น และหล่อนเป็นคนบอกแก่เขาด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเป็นตัวเลือกแรกที่ไม่มีใครผู้ใดคาดคิด และที่ยิ่งไม่คาดคิดคือเสด็จทรง ‘รู้จัก’ เขาและพอพระทัยขนาดตัดตัวเลือกอื่นที่มารดาของผิวกลับเข้าวังไปทูลขอคำปรึกษา
ใช่เพราะแค่เสด็จเจาะจงตัวมา แต่ยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างทำให้เมฆตอบตกลง แม้ว่าจะยังไม่ใครรู้จักนิสัยใจคอของแม่ผิวดีนัก แต่เหตุที่ทำให้หล่อนจำต้องลาออกจากราชการมาแต่งงานก็ทำให้เขาเริ่มสนใจในตัวหล่อนมากขึ้น และเมื่อได้พบหน้าพูดคุยกันให้ดีสักครั้งหรือสองครั้ง และตรึกตรองทุกด้านให้รอบคอบแล้ว เมฆก็ตัดสินใจบอกแก่มารดาของแม่ผิวว่าจะให้มารดาของเขาไปสู่เขา
เพราะสังเกตเห็นความผิดปกติของบัญชีและคุณข้าหลวงที่รับผิดชอบด้านบัญชีเป็นญาติกับหม่อมของเจ้านายอีกพระองค์หนึ่งซึ่งจะมาขอแม่ผิวไปเป็นหม่อมอีกคนหนึ่ง แม่ผิวที่นำข้อพิรุธนี้ไปทูลเสด็จจึงตกที่นั่งลำบาก ยิ่งเป็นคนโปรดที่ถูกเรียกใช้ให้ไปท่องกลอนอ่านหนังสืออยู่ประจำเพราะเสียงเพราะ อ่านเขียนหนังสือคล่องก็ยิ่งมีคนคอยจ้องมองอยู่เป็นทุน ทางเลือกเดียวที่หล่อนมีจึงเป็นการลาออกจากการรับราชการเป็นคุณข้าหลวงโดยอ้างเหตุออกเรือน และการแต่งงานไปกับคนที่ทำงานให้ฝ่ายหน้าอย่างเขาก็ทำให้ไม่ต้องพูดหรืออธิบายสิ่งใดให้มากความ
พระปรีชาญาณของเสด็จนั้นดียิ่ง เพราะไม่เพียงแต่เมฆจะเข้าใจความจำเป็นของแม่ผิวได้โดยง่ายแล้ว ยังเป็นคนหนุ่มที่มีสถานะและการวางตัวที่ดี เหมาะสม และมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อีกทางการแต่งงานไปเสียก็ช่วยให้เขารอดพ้นจากสายตาของเจ้านายชายบางพระองค์ที่โปรดคนที่มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาและการแต่งกายสะอาดสะอ้านอย่างเขาด้วย
ในการแต่งงานครั้งนี้ เมฆรู้ดีว่าเดือนจะกระทบกระเทือนมากที่สุด เป็นความกระทบกระเทือนที่ไม่มีใครรู้และมิอาจบอกให้ใครรู้ ทางเดียวที่มีอยู่คือบอกความจริงให้เดือนเข้าใจตนเองและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เมฆยินดีพร้อมรับผลที่ตามมาทุกอย่าง เดือนก็ยังเป็นเดือนคนเดิมที่เขารู้จักมาแต่น้อย เขารู้ว่าหัวใจของอีกฝ่ายอาจบอบช้ำ แต่นั่นยังดีกว่าการปล่อยให้เดือนรอคอยไปโดยไม่รู้อะไรเลย เพราะในวันหนึ่งเดือนต้องเติบโต มีหน้าที่การงาน และอาจออกเรือนไปในไม่ช้าเมื่ออายุและฐานะเหมาะสม และในวันนั้นเขาขอเพียงได้เฝ้ามองความสำเร็จก้าวหน้าของอีกฝ่ายอยู่ก็มากพอแล้ว
เมฆไม่เคยหวังไกลไปถึงขั้นที่เดือนจะจำสิ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้ได้ สัญญาว่าจะเป็นคู่คิดคอยเคียงข้าง และยิ่งไปกว่านั้นคือ เดือนลงมือทำในสิ่งที่เขาไม่กล้าร้องขอจากใครเพราะยังมีเพียงแต่ข้อสันนิษฐาน
“คุณเมฆขอรับ เตรียมเรือไว้พร้อมแล้ว” ชื้น ทนายของเมฆเข้ามาบอก ก่อนเชิญพานหมากกับผ้านุ่งสำหรับผลัดเปลี่ยนก่อนเข้าเวรของเขาออกไปจากห้อง แต่แล้ว ชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ วางสิ่งของในมือกลับลงที่เดิม และกล่าวอภัย พร้อมแจ้งว่าบ่าวของหลวงสรรพกิจโกศลนำเอาหนังสือจากคุณเดือนมาฝากไว้ให้
ชื้นหายไปพักหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมหนังสือฝรั่งจากโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ที่เขาให้เดือนยืมกลับไปดูที่เรือน และออกไปรอข้างนอกโดยไม่ต้องให้ออกปากสั่ง
เมฆพลิกเปิดไปยังหน้าที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแทรกอยู่ และพบกับกระดาษเขียนด้วยหมึกที่พับเอาไว้
ลายมือในหนังสือนั้นเป็นลายมือที่สวยงาม เป็นระเบียบ มีจังหวะการเขียน เว้นช่อง และการตวัดของเส้นที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของผู้ใด
“กระผมจะพบคุณพี่ได้เมื่อใด โปรดแจ้งผ่านบ่าวที่กระผมฝากหนังสือมาให้ด้วย”
เมฆเป็นนายพินัยราชกิจ มหาดเล็กเวรศักดิ์ ซึ่งจะเข้าเวรในช่วงเวลาข้างขึ้นสลับกันกับเวรฤทธิ์ ส่วนเวรสิทธิ์กับเวรเดชนั้นสลับกันเข้าเวรในช่วงจันทร์ข้างแรม อีกไม่นานจะพ้นเวร หลังจากนั้นก็จะได้พักปฏิบัติงานไปอีกพักใหญ่ เวลาที่จะพบกันได้สะดวกที่สุดคือช่วงเวลาถัดจากนี้ไปอีกสี่หรือห้าวัน
“ชื้น บ่าวของคุณเดือนยังอยู่หรือไม่”
เมฆนำหนังสือไปเก็บไว้ในตู้และหยิบเอาหนังสือภาษาต่างประเทศอีกเล่มหนึ่งออกมา และส่งให้ทนายของตน
“นำไปให้บ่าวของคุณเดือน แล้วฝากบอกเขาบอกให้คุณเดือนทีว่า อีกสักห้าวันค่อยนำมาคืน”
To be continued....
ตอนนี้โทนนิยายเริ่มเปลี่ยนแล้ว จากหม่นๆเริ่มมีเรื่องการสืบสวนเข้ามา ตื่นเต้นน น้องจะได้เบาะแสอะไรมาให้พี่กันนะ // เอ็นดูคุณพี่ น้องหายไปหน่อยก็มีคนเป็นห่วงจนแอบเสียอาการไปซะแล้ว 5555
จริงๆ เซ็ตให้เป็นแนวสืบสวนมาแต่แรก แต่ถ้าไม่ปูพื้นความสัมพันธ์ก็ไปต่อยาก ต่อไปนี้จะไม่อึมครึมแล้วนะคะ :)
เอาคืนลูก
เอาคืนเลย!
ให้พี่เขาเรียกร้องให้สาแก่ใจ